“ไม่ต้อง”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือออกมา เพียงแค่สิวเม็ดเดียวเท่านั้น จะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนที่ไหนกันนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเจ้าไปช่วยข้าเตรียมของเหล่านี้ ว่านหางจระเข้ กุหลาบ น้ำผึ้ง น้ำมันสน...”หลิวซูไม่เข้าใจ แต่ก็ยังออกไปเตรียมมา มอบเรื่องการแต่งกายให้อิ้งเสวี่ยหลังจากกินอาหารเสร็จ เฟิ่งเชียนอวี่ก็เริ่มศึกษาเตรียมทำมาส์กหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและกำจัดสิวด้วยตนเองนางบดยาในโถด้วยความสนใจ ก่อนจะมองเห็นด้านในกลายเป็นกลุ่มก้อนสีเขียว ดมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้กลิ่นหอมอ่อนสดชื่นออกมา แล้วพยักหน้าด้วยความพอใจเฟิ่งเชียนอวี่หยิบขึ้นมาตักไปชั้นหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทาไปทั่วใบหน้าในเวลานี้ หลิวซูก็ถือชาหอมเดินเข้ามา “พระชายา ลองชิมชานี้เถอะ บ่าวตั้งใจชงมันกับน้ำค้างที่เก็บรวบรวมมาในตอนเช้าเชียวนะเจ้า...”นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็พบใบหน้าอันน่าสังเวชของเฟิ่งเชียนอวี่ที่เต็มไปด้วยโคลนสีเขียว ก็รีบกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจออกมาทันที ชาเขียวกระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้องหนังสือของเรือนหน้า ตงฟางจิ่งกำลังฝึกเขียนพู่กันอยู่หูและดวงตาของเขาที่ไม่ธรรมดาก็ได้ยินเสียงนี้เข้า ท่าทางการเขียนที่เดิม
“พระชายา ผิวของข้าน้อยดูเหมือนว่าจะดีขึ้นไม่น้อย”“ใช่เจ้าคะ อีกทั้งยังนุ่มลื่นกว่าเดิมมาก”“หย๋า พระชายา สิวตรงหน้าผากของท่านก็หายไปแล้ว”เฟิ่งเชียนอวี่มองไปยังใบหน้าประหลาดใจของพวกนางด้วยความภาคภูมิใจเหล่าสาวใช้ที่คอยทำความสะอาดอยู่ด้านนอกเรือน ต่างก็พากันลอบมองไปยังด้านใน ทั้งอยากรู้และอิจฉา“พระชายา โคลนสีเขียวของท่านยังมีอีกหรือไม่เจ้าคะ แบ่งให้พวกเราสักน้อยเถอะ” เหลิ่งหนิงที่มีบุคลิกสบายๆ ไม่ใส่ใจมากนัก และไม่รู้จักเกรงใจแม้แต่น้อยเฟิ่งเชียนอวี่กลอกตาไปมา “โคลนสีเขียวอะไรกัน นั่นเรียกว่ามาส์กหน้า”ขณะที่นางพูดออกมานั้น จู่ๆ ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมา “จุ ทำไมข้าถึงได้ไม่คิดถึงเรื่องนี้เล่า ไม่ว่าจะที่ใด เงินของหญิงสาวก็ล้วนแต่ทำรายได้มากที่สุดอยู่แล้ว”นอกจากนี้แล้ว ที่นี่เป็นเมืองหลวง ที่ไม่ขาดก็คือภรรยาของเหล่าขุนนาง และพวกคุณหนูตระกูลมั่งคั่งที่มีเงินมากมายแต่ไม่มีที่ให้ใช้ “หากว่าข้าเปิดร้านสินค้าประทินผิว และเครื่องสำอางแล้ว การค้าจะต้องดีมากอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น เงินทองจะไหลมาเทมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกเหรอ?”เฟิ่งเชียนอวี่คิดไป ก็รา
“เครื่องสำอางพวกนั้น ข้าว่าจะเรียกว่าเครื่องสำอางก็คงจะได้ ทว่าไม่อาจจะเทียบกับที่ข้าทำได้เลย ขอเพียงแค่ข้าสามารถเปิดร้านได้ จะต้องทำเงินได้อย่างแน่นอน”ตงฟางจิ่งหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด “ที่พระชายาเรียกว่าตนเองทำนั้น ก็คือโคลนสีเขียวที่เจ้าศึกษามันเมื่อไม่กี่วันนี้ในเรือนเจ้าอย่างนั้นหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่โต้แย้งทันที “โคลนเขียวอะไรกัน นั่นเขาเรียกว่ามาสก์หน้า มาสก์หน้า ท่านไม่เข้าใจก็อย่าเรียกมั่วๆ ไป”ตงฟางจิ่งเองก็คร้านจะแก้ไขมัน อย่างไรเสียเขาก็มองว่า ของสีเขียวนั่นไม่รู้ว่าเป็นของเล่นบ้าอะไร หากว่ามีคนซื้อก็คงจะเรียกได้ว่าถูกผีหลอกเข้าแล้ว “หากว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเปิดเล่า?”เฟิ่งเชียนอวี่คิดเอาไว้แล้วว่าขาจะต้องมาไม้นี้ ก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย ส่งเสียงฮึมฮัมออกมา ก่อนจะพูดออกมาอย่างได้ใจว่า “ท่านอ๋อง ท่านอาจจะลืมเรื่องหนึ่งไปแล้ว”“จำได้ในตอนนั้น ที่ข้ารักษาพิษเหมันต์ให้ท่านั้น ท่านบอกว่าจะรับปากคำขอของข้าสี่ข้อ ข้าให้ไปหนึ่งข้อเพื่อแลกกับการออกนอกจวนอย่างอิสระแล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้ข้อที่สอง ข้าจะเปิดร้าน”นางพูดออกมาทีละคำทีละตัวอักษรตงฟางจิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนไปนัก ครั้งน
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโอกาสทางการค้าเฟิ่งเชียนอวี่พิมพ์ลงเป็นแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว ความคิดของนางผุดขึ้นมา โผล่ขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้นางตื่นเต้นเป็นอย่างมากและจากที่ใคร่ครวญแล้ว สินค้าเครื่องสำอาง ในตอนแรกเริ่มไม่ควรมีหลากหลายประเภท ให้แบ่งตามประเภทผิวสองประเภท ผิวแห้งและผิวมันอย่างละหนึ่งชุด จากนั้นค่อยเลือกสินค้าอีกสองสามชิ้นในนั้นก็พอแล้วเมื่อกำหนดประเภทแล้ว ก็จำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบจำนวนมากในการผลิตสินค้าเหล่านี้ นอกจากนี้แล้ว ด้วยแรงของนางเพียงคนเดียว จะต้องไม่เพียงพอต่อความต้องการของร้านได้เช่นนั้นก็ต้องรับสมัครคน...หลังจากที่เฟิ่งเชียนอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ หากว่าไม่ทำก็ไม่รู้ ทำไปแล้วถึงได้ค้นพบ การเปิดร้านจะต้องมีสิ่งที่ใคร่ครวญเยอะมากจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนางบ่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมจำนนแล้วต่อสู้กันต่อไป แล้วลอบปลอบใจตัวเองเงียบๆความลำบากในตอนนี้ ก็เพื่อที่ต่อไปจะทำเงินได้มากยิ่งกว่านี้ ต่อให้จะเหนื่อยล้า ก็เป็นเพียงแค่ความเหนื่อยในตอนเริ่มต้น รอเมื่อกิจการดำเนินไปด้วยดีแล้ว นางก็สามารถวางมือแล้วนอนรอเก็บเงินที่บ้านได้ว
อวิ๋นจิ่นเซ่อถูกเรียกว่าเผด็จการ ครอบงำ เพราะถึงแม้ว่าชายหนุ่มบนพื้นจะร้องขอชีวิต นางก็ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้โดยง่าย แส้ในมือเหวี่ยงไปมาอย่างยืดหยุ่น ก่อนจะกระแทกไปยังเขาอย่างแรงสองสามครั้ง ถึงได้หยุดลงชายหนุ่มบนพื้นถูกเด็กรับใช้ยกขึ้นแล้ววิ่งไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่ได้เห็นความครื้นเครงแล้ว ชาวบ้านที่อยู่รอบข้างต่างก็พากันล่าถอยและสลายตัวออกไปเฟิ่งเชียนอวี่มองไปยังอวิ๋นจิ่นเซ่ออย่างประหลาดใจ จู่ๆ สายตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นหันมามองตรงมา ทั้งสองคนสบตากันหัวใจของนางเต้นรัว และเมื่อเห็นว่าอวิ๋นจิ่นเซ่อยังเดินตรงมายังนาง ก็เปิดพัดขึ้นมาปิดใบหน้าของนางกว่าครึ่งโดยไม่รู้ตัว แล้วบ่นพึมพำออกมา“นางเดินมาทำไม? คงไม่ใช่ว่าจำข้าได้ใช่หรือไม่? ไม่ควรนะ พวกเราทั้งสองคนไม่ได้คุ้นเคยกัน”อวิ๋นจิ่นเซ่อมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของนาง สองมือประสานเอาไว้ตรงหน้าอก จับจ้องใบหน้านางมองยังนางด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเฟิ่งเชียนอวี่กระแอมออกมาเบาๆ “คุณหนูท่านนี้ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”“ข้ามักจะรู้สึกว่า ใบหน้าของเจ้าดูคุ้นเคย พวกเราสองคนเคยพบกันที่ไหนมาก่อนใช่หรือไม่?”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดออกมาอย่าค
นางยักไหล่ออกมา “ใช่แล้ว”หา?อวิ๋นจิ่นเซ่อมองไปยังเฟิ่งเชียนอวี่อย่างตกตะลึง นางเพียงแค่พูดออกไปก็เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายกลับพยักหน้าออกมา ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา“พาข้าไปด้วยเถอะ ข้าเองก็อยากไปด้วย ไม่ได้ไปนานมากแล้ว” หลิวซูและเหลิ่งหนิงทั้งสองคนกลับตกใจ พวกนางคิดว่าพระชายาเพียงแค่อยากจะออกมาเดินเล่นเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะยังคิดไปหอนางโลมอีก?“ไม่ได้นะเจ้าคะพระชายา ท่านอ๋องรู้เข้าจะต้องโมโหเป็นอย่างมาก”เหลิ่งหนิงเองก็พูดออกมาอย่างยากลำบาก “ใช่แล้วพระชายา ไม่อย่างนั้น พวกเราอย่าไปกันเลย”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือออกมา “วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าไปก็เพราะว่าก็มีเรื่องสำคัญ ไม่ไปเที่ยวเล่น”หอนางโลมเดิมทีก็ไม่ใช่สถานที่ถูกต้องนัก ไปที่นั่นแล้วจะมีเรื่องสำคัญอะไร? ในใจของเหลิ่งหนิงและหลิวซูลอบโต้แย้ง“สาวใช้สองคนอย่างพวกเจ้าทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระเช่นนี้ ก็แค่หอนางโลมเท่านั้น กลัวว่าพระชายาของพวกเจ้าจะถูกกินเข้าอย่างนั้นหรือ”อวิ๋นจิ่นเซ่อพูดออกมา แล้วคว้ามือเฟิ่งเชียนอวี่เข้า นำนางเดินมุ่งไปยังตรอกดอกไม้“ไปๆ ไม่ต้องไปสนใจพวกนาง”“เจ้าคงจะไม่รู้ ครั้งที่แล้วในงานเลี้ยงที่วัง
แม่เล้าตื่นตกใจ แล้วคิดที่จะเรียกคนโดยไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อเห็นอวิ๋นจิ่นเซ่อก็แข็งค้างไป รีบหลบหลีกไปตัวสั่นด้วยความกลัว“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูอวิ๋น ท่านมาได้อย่างไรกัน”ชื่อเสียงอวิ๋นจิ่นเซ่อดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางก่อเรื่องวุ่นวายมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีใครไม่รู้จักนางเฟิ่งเชียนอวี่มองไปก็ถอนหายใจออกมา ดูสิ ช่างเป็นดาวชั่วร้ายจริงๆนางเดินก้าวเข้าไป ด้านนอกของหออิ๋งชุนดูหดหู่ ส่วนด้านในนั้นก็ตกแต่งไม่ได้ดีไปกว่านัก โต๊ะเก้าอี้สามารถมองเห็นร่องรอยของความเก่าได้เฟิ่งเชียนอวี่จ้องมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีโต๊ะเก้าอีกจำนวนมากถูกทับซ้อนด้วยกัน ด้านบนนั้นยังมีสัมภาระจำนวนมากอยู่ จึงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “เถ้าแก่เนี้ย ท่านกำลังจะตกแต่งใหม่อย่างนั้นหรือ?”แม่เล้าของหออิ๋งชุนเมื่อได้ยินเข้าก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “การค้าของหอแย่ลงไปทุกปี คนของข้าก็แทบจะไม่มีข้าวกินแล้ว แล้วจะยังมีเงินที่ไหนมาตกแต่งปรับปรุงใหม่กัน”“ข้าตั้งใจจะขายหอนี้แล้ว ผู้จะรับช่วงต่อกำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจา เครื่องเรือนจำพวกนี้ ล้วนแต่จะขายไปด้วยกัน คงพอจะได้สักเล็กน้อย”ดวงตาของเฟิ่งเชียนอวี่เป็นประก
หา?แม่เล้าตื่นตกใจขึ้นมา “คุณชาย? ท่านต้องการจะซื้อหออิ๋งชุน?”“ใช่แล้ว ทุกอย่างในหอนี่ รวมทั้งแม่นางทั้งหลายนี้ด้วย เสนอราคามาคราวเดียวเถอะ หากว่าราคาเหมาะสม พวกเราก็จ่ายเงินแลกเปลี่ยนสินค้ากันทันที”ไม่นานแม่เล้าก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม เดิมทีนางวางแผนที่จะขายหออิ๋งชุนในราคาถูกอยู่แล้ว เพราะอย่างไรแล้วราคาของอาคารสีแดงก็อยู่ที่นั่น ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่แย่ที่สุดตรงท้ายถนน ต้องมีคนต้องการจึงจะสามารถขายในราคาสูงไม่คิดเลยว่า วันนี้จะมีเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งมาหาถึงประตู แน่นอนว่านางย่อมต้องมีความสุขทว่า...แม่เล้าก็ยังเหลือบมองไปยังอวิ๋นจิ่นเซ่ออย่างระมัดระวังอวิ๋นจิ่นเซ่อหรี่ตา “ดูอะไร ข้าขอเตือนเจ้า หากว่าเจ้ากล้าตั้งราคาสูง ก็ระวังว่าแส้ของข้ามันจะไม่มีตามองดู”มุมปากของเฟิ่งเชียนอวี่โค้งงอขึ้น จิบชาเข้าไปคำหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ว่า นำอวิ๋นจิ่นเซ่อมาเจรจาการค้า เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว“มิกล้า มิกล้า”แม่เล้าที่เพิ่งจะมีความคิดอื่นที่ขึ้นมาก็หดกลับไปในทันที ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณชายท่านนี้ ถ้าเช่นนั้น ก็สามพันตำลึงเป็นอย่างไร?”“เพียงแค่หอผุพังนี้ของ