ตงฟางจิ่งลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ ช่วงนี้พระชายาของหม่อมฉันเป็นหวัด สุขภาพไม่ดีนัก เรื่องถวายการระบำ เกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อผิดหวังแล้ว และหวังว่าเสด็จพ่อจะไม่กล่าวโทษ”อ่ะฮะ?เฟิ่งเชียนอวี่มองเขาอย่างประหลาดใจ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหมอนี่จะช่วยตนแก้สถานการณ์?เวลานี้เอง สายตาที่เย็นชาของตงฟางจิ่งมองมา นางเข้าใจในทันที รีบยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก ไอสองสามทีอย่างให้ความร่วมมือเฟิ่งหลิงหลงเอ่ยปากแล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้เฟิ่งเชียนอวี่รอดตัวง่ายเช่นนี้“ฝ่าบาท ตอนนี้เป็นช่วงเข้าหน้าร้อน อากาศอบอุ่น ก็แค่ระบำหนึ่งบทเพลง คิดว่าคงไม่กระทบต่อสุขภาพของพระชายาอ๋องหกเพคะ”นางกล่าวพลางมองไปทางเฟิ่งเชียนอวี่แวบหนึ่ง “พระชายาอ๋องหก วันคล้ายวันราชสมภพของฝ่าบาทเป็นเรื่องสำคัญ ข้าคิดว่าท่านต้องยินดีถวายศิลปะแก่ฝ่าบาทแน่นอน ท่านว่าล่ะ?”เชี่ย ผู้หญิงชั่วคนนี้ไม่ยอมจบใช่ไหมเฟิ่งเชียนอวี่ลดแขนลงอย่างไม่สบอารมณ์ หรี่ตามองการแสดงออกที่ไร้อารมณ์ของนาง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จู่ๆ ก็ยิ้มอย่างสง่างามแล้วคำนับฮ่องเต้“เสด็จพ่อ แม้สุขภาพของหม่อมฉันไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สามารถระบำอวยพรเสด็จพ่อ เป็นวาสนาของห
ในฐานะที่เป็นนายหญิงของจวนตระกูลเฟิ่ง กลับพูดจาหยาบคายเหมือนแม่ค้าปากตลาด ช่างน่าขำจริงๆพลันหัวใจนางหลิ่วสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอีกแล้ว แต่ในใจยิ่งเกลียดชังเฟิ่งเชียนอวี่จนกัดฟันแน่นภายในห้องเปลี่ยนชุดฝั่งตะวันออกชุดระบำของเฟิ่งเชียนอวี่เป็นชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสี สีสันสดใส งดงามอย่างยิ่งเหลิ่งหนิงกำลังช่วยนางเปลี่ยนชุด สีหน้ากังวลเล็กน้อย “พระชายา ทำไมท่านถึงตอบตกลงเฟิ่งหลิงหลงนั่นล่ะ? แค่ดูก็ดูว่าเป็นกับดัก”เฟิ่งเชียนอวี่โบกมือ “เดี๋ยวก่อน เจ้าเบาหน่อย กระโปรงนี้ทำมาจากไหม เจ้าดึงแรงเช่นนั้น ระวังดึงขาดเสียล่ะ”เหลิ่งหนิงเบะปาก “แต่งงามเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? ถึงเวลาระบำไม่ได้ ก็ขายหน้าอยู่ดี”เฟิ่งเชียนอวี่ยังไม่ทันพูด เหลิ่งหานก็ตบศีรษะของเหลิ่งหนิงทีหนึ่ง“เจ้าพูดเช่นนี้กับพระชายาได้อย่างไร”เหลิ่งหนิงเบะปาก นางไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย จากนั้นก็กลอกตาหนึ่งรอบ ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง “พระชายา อีกเดี๋ยวตอนเฟิ่งหลิงหลงดีดพิณ ข้าทำสายพิณของนางขาดดีหรือไม่?”“ความคิดนี้เข้าท่า จะขายหน้าก็ต้องขายหน้าด้วยกัน”มุมปากเฟิ่งเชียนอวี่กระตุก “มันก็ไม่ถึงขั้นนั้น”เหล
ตอนนั้น เพื่อนนักศึกษาคณะอื่นหัวเราะเยาะพวกนางว่า คณะแพทยศาสตร์เป็นหนอนหนังสือ วันๆ ไม่หมกตัวอยู่ในห้องเรียนก็ห้องวิจัยเฟิ่งเชียนอวี่ในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นดาวประจำคณะแพทย์ ทั้งคณะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้นาง นางไม่มีทางเลือก ได้แต่กัดฟันลุยแล้วในเมื่อนางตัดสินใจที่จะทำ ย่อมต้องอยากทำให้ดีที่สุดด้วยเส้นสายของครอบครัว เฟิ่งเชียนอวี่ได้เชิญครูสอนระบำโบราณที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งมาสอนและช่วยออกแบบท่าเต้นให้ตัวเองในมุมมองของเฟิ่งเชียนอวี่ นั่นเป็นสองเดือนที่ทำตัวเหลวไหลที่สุดในชีวิตวัยเรียนของนาง เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปกับระบำโบราณแต่ดีที่ผลลัพธ์ออกมาค่อนข้างดีปัจจุบัน วิญญาณข้ามภพมาอยู่ในร่างเฟิ่งเชียนอวี่โบราณ ตอนนี้รู้สึกขอบคุณสองเดือนที่ผ่านมาจริงๆ ทำให้นางไม่ถึงกับต้องขายหน้าในงานเลี้ยงพระราชวัง และไม่เป็นไปดั่งใจของใครบางคนตอนที่นางเรียนเต้น ไม่มีพื้นฐานเลยสักนิด มันลำบากมากจริงๆ เฉพาะด้านความยืดหยุ่นทางร่างกาย ก็ทำเอานางร้องไห้แล้วและตอนนี้เฟิ่งเชียนอวี่ก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างคาดคิดไม่ถึง นางสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ร่างกายร่างนี้ของตัวเองมีความยืดหยุ่นสูงมากเมื่อเป็นเช่นนี
สายตาต่างๆ พากันมองไปที่ตัวเฟิ่งหลิงหลง นอกจากทุกคนตกใจแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจคุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นยิ่งพากันอุทาน และถึงขั้นลุกออกจากที่นั่ง พากันถอยหลังทีละคน“สวรรค์ เฟิ่งหลิงหลงไปกินอะไรมาเนี่ย เหม็นจัง”“คิดไม่ถึงจริงๆ เฟิ่งหลิงหลงปกติดูเย็นชาและเย่อหยิ่งเช่นนั้น กลับเสียมารยาทเช่นนี้ในที่สาธารณะ”“ไม่ไหวแล้ว เหม็นมาก น่าขยะแขยง ข้าจะอ้วกแล้ว”เมื่อคำพูดที่ไม่น่าฟังเหล่านี้เข้าหู ราวกับมีมีดแทงใส่ร่างกายเฟิ่งหลิงหลงอย่างแรง ทำให้นางอับอายมากแต่ตอนนี้นางไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายเช่นนั้น เพราะนางปวดท้องมาก ปวดจนจะตายอยู่แล้วเวลานี้เอง ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้น“ดูจากท่าทางคุณหนูใหญ่เฟิ่ง คงจะไม่ได้ขี้แตกแล้วกระมัง”ในที่สุดเฟิ่งหลิงหลงก็ทนไม่ไหวแล้ว พลันเหลือกตาเป็นลมไปโดยตรงงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ งานหนึ่ง แรกเริ่มก็เพราะเฟิ่งหลิงหลงทำให้ฮ่องเต้เทียนหยวนไม่พอใจ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนท้าย เฟิ่งหลิงหลงก็มาเป็นเช่นนี้อีกงานเลี้ยงพระราชวังดีๆ ต้องมาพัง สีหน้าฮ่องเต้เทียนหยวนเคร่งขรึมมาก เขาพ่นลมออกจากจมูกอย่างเย็นชา ในที่สุดก็ไม่เกรงใจอีกแล้ว สั่งให้คนล
จวนตระกูลเฟิ่ง‘ปัง’ เสียงดังสนั่น ภายในเรือนหลังหนึ่งของเรือนส่วนหลังเละเทะไปหมดเฟิ่งหลิงหลงสวมชุดชั้นในสีขาว เส้นผมกระจัดกระจาย สีหน้าซีดเซียว เบ้าตาแดงก่ำ คอเสื้อเปื้อนน้ำตา เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างอนาถ“ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด”ภายในห้อง สาวใช้เล็กใหญ่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสั่นเทานางหลิ่วรีบมาทางนี่ “ลูกแม่ นี่เจ้าจะทำอะไร นี่เป็นยาที่หมอจ่ายให้เจ้า เจ้าทุบทิ้งทำไม”“ท่านแม่ ลูกควรทำอย่างไร ลูกจบสิ้นแล้ว”ในงานเลี้ยงพระราชวังเมื่อวาน นางขายหน้าเช่นนั้น นางไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างสมบูรณ์แล้วทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ เฟิ่งหลิงหลงก็รู้สึกอับอายจนอยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ตอนนี้นางไม่กล้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ“ถุยๆ พูดเหลวไหลอะไร จบสิ้นอะไร”นางหลิ่วตบแขนนางอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างปวดใจ “ลูกแม่ พวกเราไม่คิดฟุ้งซ่านนะ”“เมื่อนานวันเข้า ก็จะไม่มีใครจำเรื่องเมื่อวานได้แล้ว”เฟิ่งหลิงหลงส่ายศีรษะฉับพลัน “ไม่มีทาง ตอนนี้ชื่อเสียงของลูกป่นปี้หมดแล้ว ท่านแม่ ทำอย่างไรดี ฮือๆ…”นางหลิ่วลำบากใจมากเช่นกัน นางก็รู้ว่าคำปลอบใจของตั
ครั้งนี้หลิวซูเร่งเร้าต่อ ไม่ได้ตามใจนาง“พระชายา ท่านอ๋องมาแล้ว กำลังรอท่านกินอาหารเช้าด้วยกัน ท่านรีบลุกดีกว่าเจ้าค่ะ”ฮืม?ตงฟางจิ่งมาแล้ว?เฟิ่งเชียนอวี่ตื่นตัวขึ้นหลายส่วน เปิดตาที่พร่ามัวขึ้น บิดขี้เกียจทีหนึ่ง หน้าทั้งใบย่นทันทีเชี่ย เกิดอะไรขึ้น เวลานี้เอง นางรู้สึกเพียงร่างกายไร้เรี่ยวแรงและปวดเมื่อย อีกทั้งยังรู้สึกปวดท้องเล็กน้อย ตื่นตัวเกินกว่าครึ่งทันทีคงไม่ได้เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนเมื่อวาน ตัวเองก็พลาดท่าแล้วกระมัง?เป็นไปไม่ได้นี่นา นางกินยาถอนพิษแล้ว ของเล่นเช่นนั้นไม่มีผลต่อนางจึงจะถูกสิเฟิ่งเชียนอวี่กอดหมอนลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก สีหน้าอมทุกข์ รู้สึกไม่สบายตัวไปเลย“หลิวซู เหมือนข้าจะป่วยแล้ว”เมื่อหลิวซูได้ยินก็ตกใจจนสะดุ้ง รีบยกมืออังหน้าผากของนาง จากนั้นก็สงสัย “พระชายา หน้าผากท่านก็ไม่ร้อนนี่นา อุ่นปกติ”นางโบกมือ “ไม่ได้เป็นไข้ แต่มันรู้สึกไม่สบาย พูดแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจ”พลันเฟิ่งเชียนอวี่ดึงผ้าห่มออก หลิวซูเบิกตากว้างทันที มองไปตรงที่ที่หนึ่ง “พระชายา”อะไรอีก?นางขมวดคิ้ว ก้มมองตามสายตาของหลิวซู พลันถึงกับสูดลมเย็นเข้าปอดไปทีหนึ่งทันทีนี่มันบ้า
เฟิ่งเชียนอวี่ยังอยู่ด้านหลังฉาก สวมใส่ผ้าอนามัยแบบโบราณด้วยความงุ่มง่าม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สะอาดสดชื่น คนถึงได้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกได้“พระชายา ท่านอ๋องยังรอท่านอยู่อีก” หลิวซูพูดเตือนออกมานางเม้มปาก ก่อนจะลูบท้องแล้วเดินออกไปและไม่รู้ว่าตงฟางจิ่งถูกลมแบบไหนพัดมาตั้งแต่เช้า ถึงวิ่งมาทานอาหารเช้าที่เรือนของนางในศาลาลานบ้านตงฟางจิ่งกำลังนั่งดื่มชาในชุดคลุมสีขาวอยู่ตรงนั้น บนโต๊ะหินมีชามโจ๊กและเครื่องเคียงมากมายพร้อมกับของว่างวางเอาไว้เฟิ่งเชียนอวี่เบิกตากว้างจ้องมองไป แล้ววิ่งก้าวใหญ่สามก้าวรวบเป็นสองก้าวไปตงฟางจิ่งเมื่อเห็นเข้าก็ขมวดคิ้วออกมา “วิ่งกระโดดไปมาเหมือนอะไรกัน? เจ้าจะไม่อาจเดินดีๆ ได้หรืออย่างไร?”นางไม่ได้ใส่ใจ รีบนับจานบนโต๊ะอย่างเร็ว จากนั้นชี้ไปยังจานหนึ่งในนั้น มองไปที่หลิวซู “นี่คืออะไร?”“พระชายา นี่คือซุปบ๊วยเขียวทอง”“ถ้าเช่นนั้นอันนี้เล่า?”“นี่คือเถียนเหอจิน”“ยังมีอันนี้?”“นี่เป็นขนมดอกชบาและแปะก๊วย”เฟิ่งเชียนอวี่หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดไปคำหนึ่ง เนื้อสัมผัสกรอบและนุ่มเอาชนะต่อมรับรสของนางได้อาหารในสมัยโบราณอาจจะไม่ได้เข้มข้นแ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เฟิ่งเชียนอวี่กลับเหมือนได้ระบายออกมา ทันใดนั้นอารมณ์ก็เปลี่ยนไปดีขึ้นมา แล้วเริ่มทานอาหารอย่างมีความสุขตงฟางจิ่งหลับตาลง ลอบพูดกับตนเองในใจว่า หญิงสาวคนนี้ช่างแปลกประหลาดนัก หากว่ามาโมโหนางก็คงจะไม่คู่ควร เพราะท้ายที่สุดแล้วคนที่โมโหก็มีเพียงแค่ตนเองเท่านั้นทันใดนั้น ปลายจมูกเขาก็ขยับขึ้นมาเล็กน้อย จับจ้องนางขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะขมวดคิ้วออกมา “บนกายเจ้ามีกลิ่นคาวเลือดมาจากที่ใดกัน เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เฟิ่งเชียนอวี่ที่เพิ่งจะกินโจ๊กเข้าไปอีกเพียงนิดก็แทบจะพ่นออกมา กระแอมอยู่ครั้งไม่ง่ายเลยที่กลับมาหายใจได้คล่องขึ้น ก่อนจะตบไปที่หน้าอกด้วยใบหน้าแปลกประหลาดเจ้าหมอนี่มีจมูกสนัขหรืออย่างไรกัน นี่ก็ได้กลิ่นด้งบ?นางดมไปยังเสื้อผ้าด้วยความระมัดระวัง ก็ได้กลิ่นเพียงแค่กลิ่นหอมน่าพึงพอใจเท่านั้นเฟิ่งเชียนอวี่เหลือบมองเขาอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ท่านอ๋องได้กลิ่นผิดไปแล้วกระมัง จะไปมีกลิ่นคาวเลือดจากที่ไหนได้ตงฟางจิ่งหรี่ตาลง เขาไวต่อกลิ่นเลือดมาก ไม่มีทางที่จะได้กลิ่นผิดไป ก่อนจะมองไปยังหลิวซูแล้วออกคำสั่ง “ไปเชิญท่านหมอมา”สีหน้าของเฟิ่งเชียนอวี่เปลี่ยนไป ไม่คิด