เมื่อมู่หรงอวี้เดินมาถึงหน้าประตูเมือง ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่โดนเนรเทศอีกครั้งแม้ว่าสายตาของเขาจะหยุดมองอยู่บนเกวียน แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรงเขาหันไปกล่าวกับเว่ยเฉิงว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีเจิ้นเป่ยอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนน่าสมเพชเท่านั้น”เว่ยเฉิงหัวเราะเยาะพลางส่ายหน้า“ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านไร้การศึกษา ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้นเป่ยอ๋องมาก่อน คงทำให้ท่านอ๋องขบขันไม่น้อย”“ฮ่า ๆ เจ้าก็ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ภัยครั้งนี้ต้องขอบคุณในอุบายและแผนการของเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางแก้ไขน้ำท่วมและจัดหาที่ทางให้กับผู้ถูกเนรเทศได้เลย”ครั้งนี้เว่ยเฉิงช่วยให้เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านไม่น้อยเว่ยเฉิงไม่กล่าวอะไร แค่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ในขณะที่มู่หรงอวี้มองมานั้น เขาได้เปลี่ยนกลับมาดูเย็นชาและนอบน้อมถ่อมตัวอีกครั้ง“อยากจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเมืองตงโจวโดยสมบูรณ์ แค่การขุดลอกแม่น้ำยังไม่พอ แต่เพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนน้อยลง สู้เราไป
“ต้องอ้อมอย่างน้อยสองเดือนเลยหรือ?”พวกเขาออกจากเมืองหลวงนานเพียงนี้ เพิ่งเดินทางไปได้สองสามเดือนเท่านั้นอ้อมภูเขาลูกนี้ ต้องใช้เวลาถึงสองเดือน เห็น ๆ อยู่ว่าเทือกเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนภูเขาหู่หลางชื่อภูเขาบวกกับคำอธิบายของจางเอ้อร์ก็ฟังดูคล้ายกับหินก้อนใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจแต่กู้หว่านเยว่กลับมีแววตาเปล่งประกายเมื่อได้ยินชื่อภูเขา นางรู้สึกคุ้นหูอยู่ไม่น้อยจริงสิ ภรรยาของซูจื่อชิงรู้จักภูเขาหู่หลางไม่ใช่หรือ!เมื่อเอ่ยถึงสามีภรรยาคู่นี้ ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ พี่น้องของนางเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาและไม่เป็นสองรองใครนางนั้น...เป็นหญิงที่แข็งแรงมากกู้หว่านเยว่มองไปทางซูจื่อชิงที่อ่อนแอ แล้วก็ต้องหัวเราะเยาะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น“พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าหัวเราะอะไร?”ซูจื่อชิงมีสีหน้างุนงงกู้หว่านเยว่ยิ้มและกล่าวว่า “ต่อไปก็ให้ท่านอาเหยียนของเจ้าแบกพี่ใหญ่ของเจ้าไปละกัน เจ้าไม่ต้องแบก เมื่อโตขึ้นเจ้าก็อย่าเผลอไปแบกความกดดันที่มันมากเกินไปล่ะ ระวังตัวไว้ต่อไปภรรยาของเจ้าอาจจะไม่พอใจเจ้า”ภรรยา?เขายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ซูจื่อชิงถูกหยอกล
ซูจื่อชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามกู้หว่านเยว่โน้มตัวลง และใช้ปลายนิ้วถูพื้นผิววัตถุ หัวคิ้วของเขาขมวดกันแน่นกว่าเดิมพลางกล่าว “ที่นี่น่าจะเป็นภูเขาไฟ”“อะไรคือภูเขาไฟ?”ทุกคนเกิดความสงสัยนางอธิบาย “มันก็คือหินหลอมเหลวและเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากใต้ภูเขา เปลวไฟสามารถปะทุออกไปไกลได้หลายลี้ ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้บริเวณนี้ถูกไฟแผดเผาไปหมดสิ้น อีกทั้งพื้นผิวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสสารพวกแร่ธาตุและกำมะถันและหินดำ”คำนามที่นางกล่าวออกมาทีละคำ ทุกคนล้วนแต่ไม่เข้าใจ กลับมีแค่อวิ๋นมู่ที่มองกู้หว่านเยว่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เรารีบข้ามภูเขาหู่หลางไปดีกว่า”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันกล่าวจบ บนภูเขาหู่หลางนอกจากภูเขาไฟแล้วก็น่าจะมีสัตว์ร้ายอีกไม่น้อยแต่เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว นางจึงไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงกลางเขาของภูเขาหู่หลางนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ซุนอู่จึงประกาศให้ทุกคนตั้งค่ายอ้างแรมกันที่นี่“ทุกคนจุดไฟกองใหญ่หน่อยนะ ดึกดื่นค่อนคืนอาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาก็ได้”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนทันทีที่สิ้นสุดเสียง นางก็ได้ยินเสียงหอนข
“อยากกิน”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างคาดหวัง นางคาดหวังจนถึงขั้นจินตนาการถึงวิธีการย่างหมาป่าทั้งหมดในหัวของนางแล้ว“รอก่อน”ซูจิ่งสิงหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา จากนั้นก็เล็งเป้าหมายไปที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ในความมืด“มืดขนาดนี้จะยิงโดนไหม?”สิ้นสุดเสียง นางกลับเห็นว่าลูกธนูในมือของซูจิ่งสิงนั้นพุ่งตัวออกไปติดต่อกันสามครั้งแล้ว“สวบ” กระทั่งได้ยินเสียงของปลายธนูที่เสียบทะลุเนื้อดังขึ้นกู้หว่านเยว่รีบคลานเข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งลากซากหมาป่าที่ตายแล้วทั้งสามตัวออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพี่ ท่านเก่งมาก ไม่เพียงแค่ยิงโดนเท่านั้น ทั้งยังทำให้ฝูงหมาป่าหนีกระเจิงไปอีกด้วย”นางดูผลงานนั้นอย่างตั้งใจ ธนูดอกนี้ของซูจิ่งสิงน่าจะเสียบเข้าที่หัวของหมาป่า จึงทำให้ฝูงหมาป่าที่เหลือตกใจจนหนีไปซูจิ่งสิงแอบดีใจกับคำชมของนางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ“ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากกินเนื้อหมาป่าหรอกหรือ รีบลากมันมานี่ ข้าจะได้ช่วยจัดการให้เจ้า”“เยี่ยม” กู้หว่านเยว่เก็บหมาป่าไว้ให้ตัวเองหนึ่งตัว แล้วแบ่งหมาป่าตัวที่สองให้นักการในศาลาว่าการ จากนั้นก็แบ่งหมาป่าตัวที่สามให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลี่ฮูหยินรับเน
“คุณชาย ข้าเองก็อยากกิน”ทางด้านกองไฟ มู่ชิงกำลังมองเนื้อหมาป่าด้วยความอยากกระหาย เขาอยากกินจนน้ำลายไหลหยดย้อย“หรือว่าเราจะไปขอหมอเทวดาน้อยสักหน่อยดีไหม หมอเทวดาน้อยจะต้องให้แน่นอน”“ห้ามไป”อวิ๋นมู่ชำเลืองมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์หมาป่าเหล่านั้นเป็นฝีมือการล่าของซูจิ่งสิง เขาไม่อยากได้อยู่แล้วมู่ชิงกัดธัญพืชแห้งหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปเห็นภาพที่ซูจิ่งสิงกำลังฉีกเนื้อป้อนกู้หว่านเยว่พอดี จึงอดถามอย่างหดหู่ไม่ได้“คุณชาย ท่านแน่ใจหรือว่าหมอเทวดาน้อยกับสามีของนางนิสัยไม่ดี ข้าว่าสองคนนั้นเหมือนดั่งกิ่งทองใบหยก นิสัยก็ดี”คุณชายของเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง ทำไมถึงได้ตกหลุมรักกู้หว่านเยว่ตั้งแต่แรกเห็นถึงแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะเก่งมาก ทักษะการแพทย์ก็สูงแต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่มีสามีแล้ว!“พูดมาก”อวิ๋นมู่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันกลับไปมองซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ในใจแต่เมื่อคิดถึงเป้าหมายในการเข้ามาในภูเขาหู่หลางครั้ง ทั้งยังเตือนตัวเองว่าถลำลึกสู่ความสัมพันธ์ของชายหญิง ครั้งนี้เขามีภาระที่ต้องทำ โอกาสที่สกุลอวิ๋นจะได้พลิกกลับมารุ่งเรืองอีก
ฝีเท้าของกู้หว่านเยว่รวดเร็วดุจสายลม นางวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ในป่า“โจร” ด้านหลังยังคงวิ่งไล่ตามมาติด ๆ และพยายามเล็งธนูมาที่พวกเขาภูเขาที่โล่งเตียน ไม่มีต้นไม้เป็นอุปสรรค พวกเขาเหมือนกระต่ายน้อยสองตัวที่อยู่ในสายตาของศัตรูแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่กระต่ายน้อยธรรมดา นางเป็นกระต่ายที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ว่า “โจร” ด้านหลังจะยิงธนูใส่อย่างไร ร่างกายอรชรที่ปราดเปรียวของนางก็ยังสามารถหลบไปซ้ายทีหลบไปขวาทีได้อย่างแม่นยำ“ให้ตายเถอะ แม่นางผู้นี้มีดวงตาด้านอยู่หลังหรืออย่างไร!”ถูซาน “โจร” ที่อยู่ด้านหน้าขยี้หัวอย่างหงุดหงิด หญิงสาวผู้นี้คงจะไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา เพราะนางแบกบุรุษวิ่งเร็วกว่าเหล่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเขา!เมื่อเห็นว่าตัวเองไล่ตามมาหลายลี้แล้วแต่ก็ยังไล่ตามกู้หว่านเยว่ไม่ทัน ถูซานจึงกระตุ้นวิชาตัวเบาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หยิบมีดเล่มใหญ่เขวี้ยงไปยังแผ่นหลังของกู้หว่านเยว่“ระวัง!”รูม่านตาของซูจิ่งสิงหดลงทันทีแต่เขากลับเห็นกู้หว่านเยว่หันกลับมาอย่างฉับพลันและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย“กล้าลอบโจมตีจากด้านหลังใช่ไหม? เช่นนั้นก็กินลูกเตะข้าหน่อยละกัน!”กล่าวจบ เสี้ย
แต่ซูจิ่งสิงต้องการ นางเชื่อใจเขาโดยจิตใต้สำนึกเพียงแต่ว่าเขาจะใช้ปืนเป็นใช่หรือไม่?หลังจากที่เห็นซูจิ่งสิงคว้าปืนไป เขาได้ทำการเลียนแบบท่าทางของกู้หว่านเยว่แล้วลั่นไกปืน แรกเริ่มเขายังจับไม่ถนัดมือนัก แต่หลังจากยิงปืนออกไปได้สองครั้ง ทุกอย่างก็เข้ามือแม้กระทั่งการเล็งเป้าหมาย เขาก็เล็งมันได้อย่างแม่นยิ่งกว่ากู้หว่านเยว่ปืนหนึ่งนัด ยิงทะลุร่างของโจรกระจอกหนึ่งคนตั้งแต่การไล่ล่าในช่วงแรก ไปจนถึงสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดได้ปรากฏขึ้น พวกโจรเหล่านั้นต่างเริ่มหนีอย่างสุดชีวิตสุดท้ายทุกอย่างก็พลิกผันไปจากเดิม ก่อนหน้านั้นกู้หว่านเยว่เป็นฝ่ายหนีอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า พวกโจรไล่ลามอยู่ด้านหลังตอนนี้กลับกลายเป็นพวกโจรที่เป็นฝ่ายวิ่งหนีอย่างลนลาน ส่วนสองสามีภรรยาก็เดินเอ้อระเหยอยู่รอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับปืนคนละกระบอกอีกทั้งกู้หว่านเยว่ยังพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิด ดูเหมือนว่าโจรกลุ่มนั้นจะมีปัญหาเข้าแล้ว หลังจากที่พวกเขาวิ่งไปได้ไม่นาน ขาทั้งสองข้างก็อ่อนกำลังและล้มลงไปบนพื้น“เก็บชีวิตไว้เถอะ”เมื่อเห็นในกลุ่มที่เหลือเพียงโจรธรรมดาไม่กี่คน ซูจิ่งสิงก็คืนปืนให้กู้หว่านเยว่
โจรคนนั้นเอาแต่โขกหัวกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดนั้นทวีความรุนแรงจนเขาอยากตายไปเสียรู้แล้วรู้รอดในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าการตายทั้งเป็นอย่างที่กู้หว่านเยว่เอ่ยนั้นหมายความว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!นางหยิบยาที่ใช้ทรมานคนเช่นนี้ออกมาใช้อย่างง่ายดาย“ขอร้อง ข้อร้องเจ้าล่ะ ให้ข้าหายปวดเถอะ อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย....”การโจมตีของเสียงที่แหลมแสบแก้วหูนั้นทำลายสติสัมปชัญญะของคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง โจรในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ในสมองของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเลย เขาแค่อยากตายให้มันหลุดพ้นกู้หว่านเยว่เห็นเวลาที่มันสมควรแล้ว จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าคงบอกได้แล้วสินะว่าใครส่งพวกเจ้ามาลอบฆ่าพวกเรา”“เป็นหวายหนานอ๋อง! คุณชายเว่ยเสนอความคิดให้หวายหนานอ๋อง ด้วยการให้ผู้ชายแต่งกายเป็นโจรแล้วมาลอบสังหารซูจิ่งสิง”ความจริงแล้วในใจของกู้หว่านเยว่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นมู่หรงอวี้ ถึงอย่างไรก็เพิ่งเจอกับพวกเขาในเมืองตงโจว ไม่ถึงสองวันก็โดนลอบสังหารนอกจามู่หรงอวี้แล้วก็คงไม่มีใครคนอื่นแค่คาดไม่ถึงว่าเว่ยเฉิงจะให้มู่หรงอวี้วางแผนเช่นนี้แม้จะกล่าวได้ว