ฝีเท้าของกู้หว่านเยว่รวดเร็วดุจสายลม นางวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ในป่า“โจร” ด้านหลังยังคงวิ่งไล่ตามมาติด ๆ และพยายามเล็งธนูมาที่พวกเขาภูเขาที่โล่งเตียน ไม่มีต้นไม้เป็นอุปสรรค พวกเขาเหมือนกระต่ายน้อยสองตัวที่อยู่ในสายตาของศัตรูแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่กระต่ายน้อยธรรมดา นางเป็นกระต่ายที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ว่า “โจร” ด้านหลังจะยิงธนูใส่อย่างไร ร่างกายอรชรที่ปราดเปรียวของนางก็ยังสามารถหลบไปซ้ายทีหลบไปขวาทีได้อย่างแม่นยำ“ให้ตายเถอะ แม่นางผู้นี้มีดวงตาด้านอยู่หลังหรืออย่างไร!”ถูซาน “โจร” ที่อยู่ด้านหน้าขยี้หัวอย่างหงุดหงิด หญิงสาวผู้นี้คงจะไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา เพราะนางแบกบุรุษวิ่งเร็วกว่าเหล่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเขา!เมื่อเห็นว่าตัวเองไล่ตามมาหลายลี้แล้วแต่ก็ยังไล่ตามกู้หว่านเยว่ไม่ทัน ถูซานจึงกระตุ้นวิชาตัวเบาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หยิบมีดเล่มใหญ่เขวี้ยงไปยังแผ่นหลังของกู้หว่านเยว่“ระวัง!”รูม่านตาของซูจิ่งสิงหดลงทันทีแต่เขากลับเห็นกู้หว่านเยว่หันกลับมาอย่างฉับพลันและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย“กล้าลอบโจมตีจากด้านหลังใช่ไหม? เช่นนั้นก็กินลูกเตะข้าหน่อยละกัน!”กล่าวจบ เสี้ย
แต่ซูจิ่งสิงต้องการ นางเชื่อใจเขาโดยจิตใต้สำนึกเพียงแต่ว่าเขาจะใช้ปืนเป็นใช่หรือไม่?หลังจากที่เห็นซูจิ่งสิงคว้าปืนไป เขาได้ทำการเลียนแบบท่าทางของกู้หว่านเยว่แล้วลั่นไกปืน แรกเริ่มเขายังจับไม่ถนัดมือนัก แต่หลังจากยิงปืนออกไปได้สองครั้ง ทุกอย่างก็เข้ามือแม้กระทั่งการเล็งเป้าหมาย เขาก็เล็งมันได้อย่างแม่นยิ่งกว่ากู้หว่านเยว่ปืนหนึ่งนัด ยิงทะลุร่างของโจรกระจอกหนึ่งคนตั้งแต่การไล่ล่าในช่วงแรก ไปจนถึงสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดได้ปรากฏขึ้น พวกโจรเหล่านั้นต่างเริ่มหนีอย่างสุดชีวิตสุดท้ายทุกอย่างก็พลิกผันไปจากเดิม ก่อนหน้านั้นกู้หว่านเยว่เป็นฝ่ายหนีอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า พวกโจรไล่ลามอยู่ด้านหลังตอนนี้กลับกลายเป็นพวกโจรที่เป็นฝ่ายวิ่งหนีอย่างลนลาน ส่วนสองสามีภรรยาก็เดินเอ้อระเหยอยู่รอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับปืนคนละกระบอกอีกทั้งกู้หว่านเยว่ยังพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิด ดูเหมือนว่าโจรกลุ่มนั้นจะมีปัญหาเข้าแล้ว หลังจากที่พวกเขาวิ่งไปได้ไม่นาน ขาทั้งสองข้างก็อ่อนกำลังและล้มลงไปบนพื้น“เก็บชีวิตไว้เถอะ”เมื่อเห็นในกลุ่มที่เหลือเพียงโจรธรรมดาไม่กี่คน ซูจิ่งสิงก็คืนปืนให้กู้หว่านเยว่
โจรคนนั้นเอาแต่โขกหัวกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดนั้นทวีความรุนแรงจนเขาอยากตายไปเสียรู้แล้วรู้รอดในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าการตายทั้งเป็นอย่างที่กู้หว่านเยว่เอ่ยนั้นหมายความว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!นางหยิบยาที่ใช้ทรมานคนเช่นนี้ออกมาใช้อย่างง่ายดาย“ขอร้อง ข้อร้องเจ้าล่ะ ให้ข้าหายปวดเถอะ อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย....”การโจมตีของเสียงที่แหลมแสบแก้วหูนั้นทำลายสติสัมปชัญญะของคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง โจรในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ในสมองของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเลย เขาแค่อยากตายให้มันหลุดพ้นกู้หว่านเยว่เห็นเวลาที่มันสมควรแล้ว จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าคงบอกได้แล้วสินะว่าใครส่งพวกเจ้ามาลอบฆ่าพวกเรา”“เป็นหวายหนานอ๋อง! คุณชายเว่ยเสนอความคิดให้หวายหนานอ๋อง ด้วยการให้ผู้ชายแต่งกายเป็นโจรแล้วมาลอบสังหารซูจิ่งสิง”ความจริงแล้วในใจของกู้หว่านเยว่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นมู่หรงอวี้ ถึงอย่างไรก็เพิ่งเจอกับพวกเขาในเมืองตงโจว ไม่ถึงสองวันก็โดนลอบสังหารนอกจามู่หรงอวี้แล้วก็คงไม่มีใครคนอื่นแค่คาดไม่ถึงว่าเว่ยเฉิงจะให้มู่หรงอวี้วางแผนเช่นนี้แม้จะกล่าวได้ว
กู้หว่านเยว่มุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็สะบัดเสื้อของเขาด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด“ไหล่โดนกัดก็จริง แต่ข้าไม่รู้นี่ว่าจะเหลือร่องรอยเอาไว้ตรงไหน....”โชคดีที่นางเห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ราบรื่นของเขาในคืนเข้าหอ ยังคิดว่านี่เป็นครั้งแรกของเขา ที่ไหนได้นางถูกหลอกเข้าแล้ว!ในใจของกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความริษยา เหมือนกับว่านางกำลังทับรอยเก่าของเขาอย่างไรอย่างนั้นหลังจากที่ซูจิ่งสิงได้ยินคำกล่าวของนางก็รีบก้มมองทันที ในตอนที่เขาเห็นรอยฟันที่มีลักษณะเป็นรูปจันทร์เสี้ยวนั้น ก็รีบอธิบาย“น้องหญิง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงสาวนะ”“ท่านอย่าบอกข้านะว่านี่คือรอยแมลงกัด”ซูจิ่งสิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ที่เป็นเช่นนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ“แน่นอนว่าไม่ใช่รอยแมลงกัดต่อย แต่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงอื่น นี่คือรอยที่ท่านพ่อข้ากัดทิ้งไว้ ข้าเกิดทางตอนใต้ของเมือง ก่อนที่ข้าจะตามท่านแม่เข้าเมือง เขาได้ทิ้งรอยนี้ไว้บนไหล่ของข้า ป้องกันไม่ให้ข้าพลัดหลง หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูรอยแผลบนตัวข้าอย่างละเอียดอีกครั้งสิ มันเป็นแผลเก่าเมื่อนานมาแล้วใช่หรือไม่”กู้หว่าน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ทั้งสองต่างเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของอีกฝ่าย“จื่อชิง เขาตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”“ไป พวกเราไปหาเขากัน”ทั้งสองรีบรุดไปยังทิศทางที่ส่งเสียงมา แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างหนักเห็นเพียงซูจื่อชิงกำลังถูกงูเหลือมยักษ์สีแดงตัวหนาเท่าขอนไม้ตัวหนึ่งรัดแน่น โผล่มาแต่ส่วนหัวที่กำลังตื่นกลัวเท่านั้นอาจจะถูกบีบร่วงลงมาได้ทุกเมื่อสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหน้างูเหลือมยักษ์มีหญิงสาวชุดแดงกำลังบัญชาการอย่างตื่นเต้น“เจ้าแดงลูกรักทำดีมาก สั่งสอนบทเรียนเขาให้สาสม เขาขโมยไข่งูของเราไป ไอ้หัวขโมยไร้ยางอาย!”ขโมยไข่งูหรือ?แม้ว่าซูจื่อชิงจะยังเด็ก แต่ก็ถูกสอนให้ซื่อสัตย์ จะไม่ทำเรื่องขโมยของเด็ดขาดมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทั้งสองซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน กลั้นหายใจคอยสังเกตการณ์สายตาอันแหลมคมของกู้หว่านเยว่สังเกตเห็นว่า มีไข่งูสองฟองวางอยู่แทบเท้าของหญิงสาวชุดแดง หนึ่งในนั้นแตกแล้ว มีไข่ขาวไหลออกมาหรือว่าซูจื่อชิงจะขโมยไข่จริงๆ?ซูจื่อชิงที่ถูกงูเหลือมสีแดงพันรอบตัวอยู่ ได้ยินหญิงส
เมื่อเห็นภรรยาไม่อยากให้ตนลงมือจริงๆ ซูจิ่งสิงก็ซ่อนตัวอย่างเชื่อฟัง จุดเทียนภาวนาให้น้องชายอย่างเงียบๆ ในใจทางด้านนี้ ซูจื่อชิงที่ให้ตายก็ไม่ยอมคุกเข่าขอโทษ ได้ถูกเมี่ยชิงหว่านตบหน้าไปแล้วสองครั้ง“เจ้าทำไข่งูของข้าแตก เหตุใดเจ้าถึงไม่คุกเข่า?”ซูจื่อชิงยังดื้อรั้น “จะให้ข้าขอโทษก็ได้ แต่ถ้าจะให้ข้าคุกเข่า ถึงตายก็ไม่ยอม!'“เจ้าๆๆ เจ้าช่างไร้เหตุผลเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่ปู่ของข้าบอกว่าบุรุษนอกเขาหู่หลางไม่มีใครดี!”“ท่านต่างหากที่ไม่มีเหตุผล ไม่แปลกใจเลยที่ในหนังสือบอกว่ามีเพียงสตรีและคนต่ำต้อยเท่านั้นที่สั่งสอนยาก!”“ถ้าเจ้ายังไม่ขอโทษอีก ข้าจะให้เจ้าแดงจับเจ้าโยนลงไปในหุบเขา!”“โยนสิ เมื่อพี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าพบศพข้า จะต้องมาแก้แค้นหญิงใจโหดอย่างท่านแน่”ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันตรงนั้นกู้หว่านเยว่ก็เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ทางด้านหลัง และในขณะนั้นเอง จู่ๆ พื้นดินใต้เท้าของนางก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมานางเกิดความฉงนเล็กน้อยขึ้นมาทันทีลางสังหรณ์ร้ายบังเกิดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ“ท่านพี่ เมื่อครู่ท่านรู้สึกหรือไม่ จู่ๆ พื้นดินก็สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง?”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เขา
“ท่านแม่ ระวัง!”แววตาของซูจิ่งสิงฉายความตกใจในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย กู้หว่านเยว่แฉลบตัวออกไป ดึงนางหยางออกมาจากกองดินประสิวเสียงดัง “โครม” ในวินาทีต่อมา ดินประสิวก้อนใหญ่มหึมากระแทกพื้นเกิดเป็นหลุมลึกนางหยางหันกลับไปมองหลุมลึกนั้น นางตกใจกลัวมากจนทรุดลงกับพื้นหลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็จับมือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น“พวกเจ้า พวกเจ้ากลับมาแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บ จิ่นเอ๋อร์อยู่ไหนเจ้าคะ?” กู้หว่านเยว่หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมาใบหนึ่งสวมให้นางหยางขณะเดียวกันสายตาก็มองหาร่องรอยของซูจิ่นเอ๋อร์ไปทั่ว และในที่สุดก็พบนางอยู่ในกองเศษหินโชคดีที่นางแค่สะดุดล้ม ถูกเศษหินข่วนที่หน้าแข้ง ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอื่นใดกู้หว่านเยว่รีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาซูจิ่นเอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าจะไม่มีวันได้พบพวกท่านอีกแล้ว ฮือๆๆ...”“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ภูเขาไฟกำลังปะทุ พวกเราต้องรีบหาที่หลบภัย”กู้หว่านเยว่ปลอบ
ทางด้านหลัง เสียงคำรามของภูเขาไฟดังขึ้นเรื่อยๆ ยังพอมองเห็นก้อนอากาศธาตุทรงกลมถาโถมเข้ามาจากระยะไกลได้รางๆกู้หว่านเยว่ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบพาทุกคนเข้าไปในถ้ำหลังจากเข้าไปแล้ว ก็พบว่าถ้ำนี้จากภายนอกจะดูแคบๆ แต่ข้างในกว้างขวาง โพรงถ้ำก็ลึกมาก มองไม่เห็นก้นถ้ำในคราวเดียวที่หายากยิ่งกว่าก็คือ ภายในถ้ำมีลำธารใต้ดินสายหนึ่งอยู่ด้วยเดิมทีกู้หว่านเยว่ยังกังวลว่าจะทำความสะอาดเถ้าภูเขาไฟพิษที่เกาะอยู่ตามร่างกายอย่างไรตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการมีแหล่งน้ำก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ตายด้วยความกระหายน้ำหรืออดอยากอยู่ข้างใน“ท่านแม่ จิ่นเอ๋อร์ พวกท่านรีบมาเอาน้ำล้างเถ้าภูเขาไฟตามร่างกายให้สะอาด แล้วก็ล้างตาไปด้วย”ดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์ยังพร่ามัวเล็กน้อย ปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นระยะ นางรีบวักน้ำขึ้นมาล้างทำความสะอาดคนอื่นๆ ก็ตามมาที่ริมลำธารใต้ดิน ล้างเนื้อล้างตัวที่สกปรกมอมแมมในเวลานี้ ซุนอู่ได้เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง“พวกท่านสองคนไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่รู้ว่าซุนอู่ห่วงใยพวกนาง พลางส่ายศีรษะ“พวกข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านที่รอเรา