โจรคนนั้นเอาแต่โขกหัวกับพื้นอย่างต่อเนื่อง ความเจ็บปวดนั้นทวีความรุนแรงจนเขาอยากตายไปเสียรู้แล้วรู้รอดในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าการตายทั้งเป็นอย่างที่กู้หว่านเยว่เอ่ยนั้นหมายความว่าอย่างไร หญิงสาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก!นางหยิบยาที่ใช้ทรมานคนเช่นนี้ออกมาใช้อย่างง่ายดาย“ขอร้อง ข้อร้องเจ้าล่ะ ให้ข้าหายปวดเถอะ อย่าทรมานข้าเช่นนี้เลย....”การโจมตีของเสียงที่แหลมแสบแก้วหูนั้นทำลายสติสัมปชัญญะของคนคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง โจรในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ในสมองของเขาไม่ได้คิดถึงสิ่งใดเลย เขาแค่อยากตายให้มันหลุดพ้นกู้หว่านเยว่เห็นเวลาที่มันสมควรแล้ว จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าคงบอกได้แล้วสินะว่าใครส่งพวกเจ้ามาลอบฆ่าพวกเรา”“เป็นหวายหนานอ๋อง! คุณชายเว่ยเสนอความคิดให้หวายหนานอ๋อง ด้วยการให้ผู้ชายแต่งกายเป็นโจรแล้วมาลอบสังหารซูจิ่งสิง”ความจริงแล้วในใจของกู้หว่านเยว่ก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นมู่หรงอวี้ ถึงอย่างไรก็เพิ่งเจอกับพวกเขาในเมืองตงโจว ไม่ถึงสองวันก็โดนลอบสังหารนอกจามู่หรงอวี้แล้วก็คงไม่มีใครคนอื่นแค่คาดไม่ถึงว่าเว่ยเฉิงจะให้มู่หรงอวี้วางแผนเช่นนี้แม้จะกล่าวได้ว
กู้หว่านเยว่มุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็สะบัดเสื้อของเขาด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด“ไหล่โดนกัดก็จริง แต่ข้าไม่รู้นี่ว่าจะเหลือร่องรอยเอาไว้ตรงไหน....”โชคดีที่นางเห็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ราบรื่นของเขาในคืนเข้าหอ ยังคิดว่านี่เป็นครั้งแรกของเขา ที่ไหนได้นางถูกหลอกเข้าแล้ว!ในใจของกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความริษยา เหมือนกับว่านางกำลังทับรอยเก่าของเขาอย่างไรอย่างนั้นหลังจากที่ซูจิ่งสิงได้ยินคำกล่าวของนางก็รีบก้มมองทันที ในตอนที่เขาเห็นรอยฟันที่มีลักษณะเป็นรูปจันทร์เสี้ยวนั้น ก็รีบอธิบาย“น้องหญิง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด นี่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงสาวนะ”“ท่านอย่าบอกข้านะว่านี่คือรอยแมลงกัด”ซูจิ่งสิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่ากู้หว่านเยว่ที่เป็นเช่นนี้ก็น่ารักไปอีกแบบ“แน่นอนว่าไม่ใช่รอยแมลงกัดต่อย แต่ไม่ใช่รอยกัดของหญิงอื่น นี่คือรอยที่ท่านพ่อข้ากัดทิ้งไว้ ข้าเกิดทางตอนใต้ของเมือง ก่อนที่ข้าจะตามท่านแม่เข้าเมือง เขาได้ทิ้งรอยนี้ไว้บนไหล่ของข้า ป้องกันไม่ให้ข้าพลัดหลง หากเจ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดูรอยแผลบนตัวข้าอย่างละเอียดอีกครั้งสิ มันเป็นแผลเก่าเมื่อนานมาแล้วใช่หรือไม่”กู้หว่าน
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ทั้งสองต่างเห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าของอีกฝ่าย“จื่อชิง เขาตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”“ไป พวกเราไปหาเขากัน”ทั้งสองรีบรุดไปยังทิศทางที่ส่งเสียงมา แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างหนักเห็นเพียงซูจื่อชิงกำลังถูกงูเหลือมยักษ์สีแดงตัวหนาเท่าขอนไม้ตัวหนึ่งรัดแน่น โผล่มาแต่ส่วนหัวที่กำลังตื่นกลัวเท่านั้นอาจจะถูกบีบร่วงลงมาได้ทุกเมื่อสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหน้างูเหลือมยักษ์มีหญิงสาวชุดแดงกำลังบัญชาการอย่างตื่นเต้น“เจ้าแดงลูกรักทำดีมาก สั่งสอนบทเรียนเขาให้สาสม เขาขโมยไข่งูของเราไป ไอ้หัวขโมยไร้ยางอาย!”ขโมยไข่งูหรือ?แม้ว่าซูจื่อชิงจะยังเด็ก แต่ก็ถูกสอนให้ซื่อสัตย์ จะไม่ทำเรื่องขโมยของเด็ดขาดมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทั้งสองซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน กลั้นหายใจคอยสังเกตการณ์สายตาอันแหลมคมของกู้หว่านเยว่สังเกตเห็นว่า มีไข่งูสองฟองวางอยู่แทบเท้าของหญิงสาวชุดแดง หนึ่งในนั้นแตกแล้ว มีไข่ขาวไหลออกมาหรือว่าซูจื่อชิงจะขโมยไข่จริงๆ?ซูจื่อชิงที่ถูกงูเหลือมสีแดงพันรอบตัวอยู่ ได้ยินหญิงส
เมื่อเห็นภรรยาไม่อยากให้ตนลงมือจริงๆ ซูจิ่งสิงก็ซ่อนตัวอย่างเชื่อฟัง จุดเทียนภาวนาให้น้องชายอย่างเงียบๆ ในใจทางด้านนี้ ซูจื่อชิงที่ให้ตายก็ไม่ยอมคุกเข่าขอโทษ ได้ถูกเมี่ยชิงหว่านตบหน้าไปแล้วสองครั้ง“เจ้าทำไข่งูของข้าแตก เหตุใดเจ้าถึงไม่คุกเข่า?”ซูจื่อชิงยังดื้อรั้น “จะให้ข้าขอโทษก็ได้ แต่ถ้าจะให้ข้าคุกเข่า ถึงตายก็ไม่ยอม!'“เจ้าๆๆ เจ้าช่างไร้เหตุผลเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่ปู่ของข้าบอกว่าบุรุษนอกเขาหู่หลางไม่มีใครดี!”“ท่านต่างหากที่ไม่มีเหตุผล ไม่แปลกใจเลยที่ในหนังสือบอกว่ามีเพียงสตรีและคนต่ำต้อยเท่านั้นที่สั่งสอนยาก!”“ถ้าเจ้ายังไม่ขอโทษอีก ข้าจะให้เจ้าแดงจับเจ้าโยนลงไปในหุบเขา!”“โยนสิ เมื่อพี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าพบศพข้า จะต้องมาแก้แค้นหญิงใจโหดอย่างท่านแน่”ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกันตรงนั้นกู้หว่านเยว่ก็เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ทางด้านหลัง และในขณะนั้นเอง จู่ๆ พื้นดินใต้เท้าของนางก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมานางเกิดความฉงนเล็กน้อยขึ้นมาทันทีลางสังหรณ์ร้ายบังเกิดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ“ท่านพี่ เมื่อครู่ท่านรู้สึกหรือไม่ จู่ๆ พื้นดินก็สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง?”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เขา
“ท่านแม่ ระวัง!”แววตาของซูจิ่งสิงฉายความตกใจในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย กู้หว่านเยว่แฉลบตัวออกไป ดึงนางหยางออกมาจากกองดินประสิวเสียงดัง “โครม” ในวินาทีต่อมา ดินประสิวก้อนใหญ่มหึมากระแทกพื้นเกิดเป็นหลุมลึกนางหยางหันกลับไปมองหลุมลึกนั้น นางตกใจกลัวมากจนทรุดลงกับพื้นหลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็จับมือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น“พวกเจ้า พวกเจ้ากลับมาแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บ จิ่นเอ๋อร์อยู่ไหนเจ้าคะ?” กู้หว่านเยว่หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมาใบหนึ่งสวมให้นางหยางขณะเดียวกันสายตาก็มองหาร่องรอยของซูจิ่นเอ๋อร์ไปทั่ว และในที่สุดก็พบนางอยู่ในกองเศษหินโชคดีที่นางแค่สะดุดล้ม ถูกเศษหินข่วนที่หน้าแข้ง ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอื่นใดกู้หว่านเยว่รีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาซูจิ่นเอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าจะไม่มีวันได้พบพวกท่านอีกแล้ว ฮือๆๆ...”“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ภูเขาไฟกำลังปะทุ พวกเราต้องรีบหาที่หลบภัย”กู้หว่านเยว่ปลอบ
ทางด้านหลัง เสียงคำรามของภูเขาไฟดังขึ้นเรื่อยๆ ยังพอมองเห็นก้อนอากาศธาตุทรงกลมถาโถมเข้ามาจากระยะไกลได้รางๆกู้หว่านเยว่ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบพาทุกคนเข้าไปในถ้ำหลังจากเข้าไปแล้ว ก็พบว่าถ้ำนี้จากภายนอกจะดูแคบๆ แต่ข้างในกว้างขวาง โพรงถ้ำก็ลึกมาก มองไม่เห็นก้นถ้ำในคราวเดียวที่หายากยิ่งกว่าก็คือ ภายในถ้ำมีลำธารใต้ดินสายหนึ่งอยู่ด้วยเดิมทีกู้หว่านเยว่ยังกังวลว่าจะทำความสะอาดเถ้าภูเขาไฟพิษที่เกาะอยู่ตามร่างกายอย่างไรตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการมีแหล่งน้ำก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ตายด้วยความกระหายน้ำหรืออดอยากอยู่ข้างใน“ท่านแม่ จิ่นเอ๋อร์ พวกท่านรีบมาเอาน้ำล้างเถ้าภูเขาไฟตามร่างกายให้สะอาด แล้วก็ล้างตาไปด้วย”ดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์ยังพร่ามัวเล็กน้อย ปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นระยะ นางรีบวักน้ำขึ้นมาล้างทำความสะอาดคนอื่นๆ ก็ตามมาที่ริมลำธารใต้ดิน ล้างเนื้อล้างตัวที่สกปรกมอมแมมในเวลานี้ ซุนอู่ได้เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง“พวกท่านสองคนไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่รู้ว่าซุนอู่ห่วงใยพวกนาง พลางส่ายศีรษะ“พวกข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านที่รอเรา
ไม่รู้ว่าทั้งสองมารวมหัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่“ท่านแม่ ซูอวี่ร่างกายอ่อนแอมากมาโดยตลอดนับตั้งแต่ถูกพิษคราวก่อน เอ่อ...จะตายก็ไม่แปลก ไม่เกี่ยวกับหลานสะใภ้หรอก”ซูหัวจวิ้นออกโรงปกป้องนางดังคาดฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “อวี่เอ๋อร์ถูกพิษจะตำหนิใครได้ ถ้าไม่ใช่นางที่เก็บเห็ดพิษมา กาลกิณี เป็นตัวกาลกิณีจริงๆ วันนี้ข้าต้องให้นางถูกฝังไปพร้อมกับอวี่เอ๋อร์ให้ได้”พูดพลางเดินเข้าไปกระชากหลี่ซือซือ หลี่ซือซือเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังซูหัวจวิ้นอย่างอ่อนช้อย“ท่านอาสี่ ช่วยข้าด้วย...”“ไม่ต้องกลัว หลานสะใภ้ อาสี่ต้องปกป้องเจ้าแน่นอน”ไม่ไกลนักซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยปากพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านอาสี่กับหลี่ซือซือถึงได้...”สีหน้าของกู้หว่านเยว่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ก่อนหน้านี้หลี่ซือซือผู้นี้แค่แสร้งทำเป็นใสซื่อไปหน่อย แต่ตอนนี้ถูกเนรเทศและทรมานอย่างโหดร้ายไร้ยางอาย“อย่าไปสนใจพวกเขา จะได้ไม่เดือดร้อนไปด้วย”“...เจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ทำหน้าเหมือนท้องผูก นางก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องชาวบ้าน เพียงแต่คาดคิดไม่ถึง พวกเขาสองคนเป็นอาหลานสะใภ้กัน...นี่มันยุ่งเหยิงเกินไปแล้วความจริงระหว่างเส้น
กู้หว่านเยว่ได้สอบถามกับระบบแล้ว แต่ระบบก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้เช่นกัน กล่าวได้เพียงว่ามีไม่น้อยแน่นอน“น้ำมันก๊าดอยู่ในส่วนลึกของถ้ำมาก จำนวนที่แน่นอนข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าอยากเข้าไปดูหน่อย”ซูจิ่งสิงกล่าวโดยตรึกตรอง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ที่เสนอความต้องการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเห็นแก่น้ำมันก๊าดเหล่านั้น แต่เพราะเป็นห่วงว่ากู้หว่านเยว่จะเกิดเรื่องต้องตามติดอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่เท่านั้น เขาถึงจะวางใจได้“ก็ได้ ข้าจะไปบอกซุนอู่ก่อน”กู้หว่านเยว่เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนอู่ บอกเล่าจุดประสงค์ของตนเองให้พวกเขาฟังแน่นอนว่านางไม่ได้พูดเรื่องน้ำมันก๊าด แค่บอกว่าต้องการเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำเพื่อตรวจดูว่ามีอันตรายหรือไม่ หากมีอันตรายจะได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้าซุนอู่เหลือบมองโพรงถ้ำที่มืดมิดมองไม่เห็นก้นบึ้ง ตัวเขาเองยอมรับว่าไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ จึงรีบพยักหน้าให้“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อย แต่ว่า ซูจิ่งสิงยังเดินไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ข้าส่งนักการในศาลาว่าการคนอื่นไปกับเจ้าด้วยดีกว่า”“ไม่จำเป็น ข้าจะไปกับภรรยาของข้าเอง”ซูจิ่งสิงยืนกรานเสียงแข็งกู้หว่านเยว่วางใจใครไ
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น
กู้หว่านเยว่เหลือบมองบัญชี พบว่ากิจการของร้านสาขานี้ดีกว่าร้านหลักมากจริง ๆ ซึ่งเป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นบริหารจัดการได้ดี“ร้านนี้มอบให้เจ้าเป็นคนดูแล ข้าไม่ได้ไว้ใจผิดคน”กู้หว่านเยว่พลิกดูบัญชีไปพลาง พยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปพลาง“รอช่วงปลายปี จะแบ่งปันผลกำไรให้เจ้าอีก”เจียงอวิ๋นจิ่นเบิกตากว้าง“จะรับได้อย่างไร ท่านทำให้ข้ามีงานทำก็ดีมากแล้ว ข้าจะรับเงินจากพระชายาเพิ่มได้อย่างไร?”“รับไปเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางปิดบัญชี“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรจะได้อยู่แล้ว”น้ำเสียงของนางจริงจัง เจียงอวิ๋นจิ่นพอจะรู้จักนิสัยของนางอยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เช่นนั้นอวิ๋นจิ่นขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”หลังจากตรวจดูร้านค้าเสร็จ ทางด้านมู่หรงฉางเล่อก็วิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน“ดูเหมือนเจ้าจะได้อะไรดี ๆ มาเยอะนะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนมู่หรงฉางเล่อก็ไม่ได้เขินอาย นางโบกพัดที่อยู่ในมือไปมา“พี่สะใภ้ท่านดูสิ นี่คืออะไร?คุณชายอวิ๋นทำให้ข้าไม่พอใจ จึงชดเชยด้วยการมอบพัดเล่มนี้ให้กับข้าและยังรับปากข้าว่า มะรืนนี้จะไปล่องเรือที่ทะเลสาบกับข้า”เด็กคนนี้นี่ ถ้
“คุณชายอวิ๋นไม่มีใจให้นาง นางคงจะคิดไม่ตก จึงเกิดความคิดที่จะออกบวชเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนก้มหน้าลง แท้จริงแล้ว นางก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบอวิ๋นมู่ แต่นางและหลี่ชิวเตี๋ยนั้นแตกต่างกัน นางรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะใดนางและคุณชายอวิ๋นไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นในใจจึงไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันใด ๆ “เจ้าหมายความว่าหลี่ชิวเตี๋ยอยากจะออกบวชอย่างนั้นหรือ?”กู้หว่านเยว่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่สกุลหลี่จะรีบร้อนหาคู่ให้หลี่ชิวเตี๋ยขนาดนั้นพวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว หากออกบวชจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร “คุณหนูหลี่เคยผิดหวังในความรักกับทังต๋ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคงยึดติดกับความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้”ชิงเหลียนถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยคกู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร บางอย่าง ต่อให้พบเจออุปสรรคมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูหลี่ติดธุระสองสามวันนี้ พวกเราก็ไม่ต้องรอที่นี่แล้ว บัญชีก็ดูเสร็จแล้ว เราไปที่ร้านอื่นกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงร้านสาขา เจียงอวิ๋นจิ่นกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานภายในร้านอย่างสนุกสนาน“พระ
“ตกลง ข้าจะมาเอาวันหลัง”อวิ๋นมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แบบนี้ เขาก็จะมีโอกาสได้พบกับกู้หว่านเยว่อีกครั้ง“ข้ายังต้องไปที่ร้านดอกท้อ ขอตัวก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่ดึงมู่หรงฉางเล่อออกไป ขณะที่กำลังจะออกจากประตู สายตาของมู่หรงฉางเล่อยังคงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นมู่“พี่สะใภ้ คนนี้ใครหรือ?”“อวิ๋นมู่ คุณชายน้อยของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นต้าฉี”กู้หว่านเยว่อธิบายพลางเหลือบมองมู่หรงฉางเล่อที่หน้าแดงก่ำ ก็เข้าใจในทันที“นี่เจ้าชอบเขาแล้วหรือ?”“ใช่แล้ว”มู่หรงฉางเล่อยอมรับอย่างเปิดเผย พลางดึงมือของกู้หว่านเยว่พร้อมกับลองหยั่งเชิง“คุณชายอวิ๋นผู้นี้ อายุเท่าไรแล้ว ในเรือนมีภรรยาหรืออนุภรรยาหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของนาง ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกชอบใจในนิสัยพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนาง“ยี่สิบกว่า ยังไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา”ดวงตาของมู่หรงฉางเล่อเป็นประกายมากขึ้น “ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยาก็ดีแล้ว”เมื่อเห็นว่าอวิ๋นมู่ยังคงเลือกผ้าอยู่ในร้าน มู่หรงฉางเล่อก็เขย่าแขนของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้ายังต้องซื้อผ้าอีกชุดให้ยายโจว
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส
เฟิ่งอู๋ชีกล่าวเสริมอีกว่า“เงื่อนไขนี้ไม่ได้หนักหนานักมากหรอก อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงต่างมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่ได้ตอบตกลงในทันทีกู้หว่านเยว่เริ่มสนใจ“แล้วเจ้าจะขัดขวางพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอย่างไร?”“ข้าและพี่หญิงใหญ่ไม่ถูกกันมานานแล้ว”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววสังหารอย่างเห็นได้ชัด“พระชายาไม่เคยได้ยินเรื่องของพี่น้องสายเลือดเดียวกันทั้งเก้า วันหนึ่งองค์ชายเก้าเกิดช่วงชิงบัลลังก์ องค์ชายแปดจึงต้องตายหรือ?”หัวใจของกู้หว่านเยว่เต้นระงม เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายในทันทีในเมื่อเฟิ่งอู๋ชีกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป“ได้ ข้ารับปากเจ้า”การร่วมมือของทั้งสามคนได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการเฟิ่งอู๋ชีกระตุกยิ้ม“ที่นี่คือจวนอ๋องใช่หรือไม่? หลับไปตั้งหลายวัน บัดนี้ข้าชักจะหิวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ในเมื่อเราร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่มีทางเอาเปรียบหุ้นส่วนอย่างข้าหรอกนะ ยกเหล้าเลิศรสและอาหารอร่อย ๆ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด”“ได้”กู้หว่านเยว่ตอบตกลงอย่างสบายอารมณ์เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเฟิ่งอู๋ชี
กู้หว่านเยว่และซูจิงสิงต่างสบตากัน นัยน์ตาของทั้งสองคนฉายแววประหลาดใจ“ไม่ใช่ความคิดของเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร? หนานเจียงไม่ได้วางแผนโจมตีเจดีย์หนิงกู่เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ถูกทำลายหรอกหรือ?”“ไม่ใช่แน่นอน”เฟื่งอู๋ชีส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม“หนานเจียงไม่เคยแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองอื่น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวถาม นางต้องรู้เหตุผลที่แท้จริง ถึงจะหาทางแก้ไขได้“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอง”เฟิ่งอู๋ชีมองทั้งสองคน “เรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือการตัดสินใจของพี่หญิงใหญ่ ความจริงแล้วไม่ว่าท่านหญิงฉางเล่อผู้นั้นจะหนีไปได้หรือไม่ หนานเจียงก็ตัดสินใจจะช่วยฮ่องเต้กดดันพวกเจ้าอยู่แล้ว”เฟิ่งอู๋ชีตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาจากพื้น หาพื้นที่ที่สบายที่สุดให้ตัวเอง“เรื่องนี้เป็นแผนการของพี่หญิงใหญ่ นางเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของนางได้”กู้หว่านเยว่แปลกใจ “เจ้าไม่ใช่องค์ชายหนานเจียงหรอกหรือ?”เท่าที่กู้หว่านเยว่รู้มา เฟิ่งอู๋ชีน่าจะเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวของหนานเจียง ทุกคนให้ความสำคัญต่อ
ที่แท้กู้หว่านเยว่ก็จำเรื่องที่เขาพูดได้ “เจ้าเก็บเรื่องที่ข้าพูดไว้ในใจมาตลอด”นัยน์ตาของเฟิ่งอู๋ชีฉายแววตาเย้ายวน จ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่“เพราะเจ้าตกหลุมรักข้าระหว่างทางแล้วใช่หรือไม่?”น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี แต่การแต่งกายเป็นสตรีของบุรุษผู้นี้กลับทำให้กู้หว่านเยว่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”กู้หว่านเยว่เกาศีรษะอย่างจนปัญญา ขอร้องล่ะ สามีของนางยืนอยู่ด้านหลัง“ถ้าไม่ลองดู จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าเข้าใจผิดหรือไม่?”เฟิ่งอู๋ชีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของข้าแล้ว สนใจอยากเป็นราชินีแห่งหนานเจียงหรือไม่ล่ะ?”เขาจ้องเขม็งไปทางกู้หว่านเยว่ โดยมีความคิดที่ไม่ดีปรากฏขึ้นในใจหากกู้หว่านเยว่ตอบตกลงเขาจริง ๆ บางทีเขาอาจจะยอมยกตำแหน่งราชินีแห่งหนานเจียงให้นางจริง ๆ ก็ได้ “ในหอเจิ้นไห่พวกเราเคยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูเอาเถิด”เฟิ่งอู๋ชีมองนางด้วยความคาดหวัง เดิมทีเขาก็แค่อยากพูดโน้มน้าวไปตามสถานการณ์ แต่บัดนี้เขากลับคิดจริงจึงขึ้นมา“ข้ามีสามีแล้ว”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธโด
ไม่นานนัก เฟิ่งอู๋ชีก็ตื่นจากการหลับใหลภาพที่ดึงดูดสายตาของเขาเป็นอันดับแรกคือกู้หว่านเยว่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าความทรงจำของเฟิ่งอู๋ชียังอยู่ในหอเจิ้นไห่ หลังจากที่เห็นกู้หว่านเยว่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็วเขาจำได้ว่ากู้หว่านเยว่หยิบของที่เหมือนกันชิ้นหนึ่งออกมา แล้วแตะบนตัวของเขา พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกชาไปทั้งตัว จากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย ภาพตรงหน้าดับวูบและล้มลงไปบนพื้นเฟิ่งอู๋ชียังคงหวาดกลัวกับ “อาวุธ” ชนิดนั้นครั้นกู้หว่านเยว่เห็นดังนั้นก็คลี่ยิ้ม“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก”“ที่นี่คือที่ไหน?”เฟิ่งอู๋ชีมองไปรอบ ๆ พบว่าสถานที่ตรงหน้าเป็นสถานที่ที่แปลกตาโดยสิ้นเชิง อีกทั้งกู้หว่านเยว่ที่อยู่ตรงหน้าก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว“ข้าหลับไปนานแค่ไหนแล้ว?”เขากุมขมับของตัวเอง รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ“ประมาณสี่ถึงห้าวัน” กู้หว่านเยว่ตอบกลับ ก่อนจะโน้มตัวลงมามองเขาด้วยรอยยิ้มเฟิ่งอู๋ชีเพิ่งจะได้สติกลับมา เขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นเขาได้เจอกับเต่าทะเล ดังนั้นจึงรีบกล่าวถามทันที“สี่ถึงห้าวัน แสดงว่าตอนนี้ข้าก็ออกจากหอเจิ้นไห่แล้วน