“เชื่อมั่นในตัวข้าเถอะ” ซูจิ่งสิงส่งสายตายืนยันให้กู้หว่านเยว่ จากนั้นก็พุ่งตัวออกไป สังหารหนึ่งในคนชุดดำด้วยดาบเดียว“องค์ชายซู”ใบหน้าของอวิ๋นมู่ตื่นตระหนก ซูจิ่งสิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ขาของเขาหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่? สถานการณ์ตึงเครียดทำให้อวิ๋นมู่ไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เขารีบแบกมู่ชิงขึ้นมาจากพื้น เข้าไปซ่อนตัวรออยู่หลังเสาหินกู้หว่านเยว่จับปืนแน่นอยู่ด้านหลังก้อนหินเมื่อใดที่ซูจิ่งสิงตกอยู่ในอันตราย นางจะออกโรงทันทีแต่ไม่นานนางก็พบว่า ทักษะการต่อสู้ของซูจิ่งสิงแข็งแกร่งมาก ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เลย เพียงชั่วพริบตาคนชุดดำทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้น เหลือเพียงหัวหน้าคนชุดดำเพียงคนเดียวซูจิ่งสิงยกเท้าขึ้นถีบหัวหน้าคนชุดดำล้มคว่ำลงกับพื้น จากนั้นก็ดึงผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง“ชิวหมิงจื้อ!” เสียงของซูจิ่งสิงเยือกเย็นมากกู้หว่านเยว่ไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ราวกับอสูรที่ก้าวออกมาจากอเวจี นางรีบปรี่เข้าไปอยู่ข้างกายเขา “ท่านพี่ เขาเป็นใคร เหตุใดท่านถึงโกรธเช่นนี้?”“เขา ฮึ เขาเป็นรองแม่ทัพของข้า”คนผู้นี้เคยเป็นคนสนิทของเขา แต่ตอน
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”ซูจิ่งสิงกำหมัดทั้งสองแน่นเขามีพ่อมีแม่ ยี่สิบปีที่ผ่านมาปฏิบัติตัวเป็นทายาทของสกุลซูมาโดยตลอด แล้วจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทไปได้อย่างไร?ชิวหมิงจื้อยิ้มเจื่อนๆ ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินด้วยหูตัวเองก็ต้องไม่ผิดแน่“ท่านอ๋อง บนร่างกายของท่านมีรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวหรือไม่?”หากเป็นเมื่อก่อน ซูจิ่งสิงก็ยังมีข้อสงสัย แต่ตอนนี้ชิวหมิงจื้อรู้เรื่องรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวบนร่างกายของเขาด้วย จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียแล้วชิวหมิงจื้อพูดต่อ “หากท่านยังไม่เชื่อข้า ก็สามารถแสดงรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวนี้ให้โจวเหล่าดูได้ แล้วปริศนาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”“โจวเหล่า เป็นเขาอีกแล้ว...” กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว เว่ยเฉิงเคยพูดกับซูจิ่งสิงมาก่อน ขอให้เขาไปตามหาโจวเหล่าสักครั้งแต่สิ่งที่ทำให้กู้หว่านเยว่สนอกสนใจก็คือ เว่ยเฉิงน่าจะไม่มีทางรู้จักตัวตนของซูจิ่งสิงต่างหากแม้ว่าต่อไปเว่ยเฉิงจะดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ค้นพบเบาะแสจากในอดีต แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นบัณฑิตหนุ่มอยู่ดี แล้วจะรู้ได้อย่างไร?หรือจะบอกว่า เป็นเพียงเรื่องบังเอิญไม่ว่
หลังจากซูจิ่งสิงเห็นอวิ๋นมู่ เจตนาฆ่าก็เผยออกมาจากแววตาเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ในเมื่ออวิ๋นมู่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ยังมีชีวิตรอดอยู่อวิ๋นมู่เห็นสองสามีภรรยาจ้องมองเขา ก็รู้เลยว่าคงรอดยาก จึงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆเขาไม่นึกว่าตัวเองจะได้ยินความลับเกี่ยวกับอดีตองค์รัชทายาทโดยบังเอิญและยิ่งคาดไม่ถึงว่า ซูจิ่งสิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทแต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาแล้ว เขาทำได้เพียงพยายามเสาะหาโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ให้ตัวเองอย่างเต็มที่ดังนั้นเขาจึงโยนอาวุธในมือทิ้ง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ เรื่องที่ได้ยินในถ้ำวันนี้ ข้าจะรักษาความลับเป็นแม่นมั่น ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า”กู้หว่านเยว่เบะปาก “ปากอยู่ที่ตัวเจ้า ใครจะรู้ล่ะ เหตุใดพวกข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”“พูดแบบนี้ก็ถูก”อวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อนๆ เพื่อรักษาชีวิตไว้ เขาต้องยอมเฉือนเนื้อตัวเอง“แม่นางกู้ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”อวิ๋นมู่ควักป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากอก ส่งให้กู้หว่านเยว่ในขณะที่กู้หว่านเยว่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเคร่งขรึมออกมา “บ่อน้ำมันก๊าดแห่งนี้สกุลอวิ๋นของข้าไม่ใช่ผู้ค้นพบ ความจริงแล้วสกุลอวิ๋นของข้าถูกขู่บังคับให้มาขุดน้ำมันก๊าดที่นี่ด้วย”กู้หว่านเยว่ไม่นึกว่าจะยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังบ่อน้ำมันก๊าดอีก จึงอดถามไม่ได้ว่า “ถูกขู่บังคับ เรื่องราวมันเป็นมายังไง?”อวิ๋นมู่อธิบายเสียงขรึม “เมื่อครึ่งปีก่อน พ่อของข้าพาลูกน้องไปที่เขาหู่หลางเพื่อขุดแร่ แต่กลับได้พบกับกลุ่มผู้ลึกลับโดยบังเอิญหลังจากรู้ว่าผู้ลึกลับกลุ่มนั้นมาที่เขาหู่หลางเพื่อหาสมุนไพรช่วยชีวิต พ่อของข้าก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ ออกค้นหาพร้อมกับพวกเขาผลสุดท้ายกลับได้รู้โดยบังเอิญว่าพวกเขาไม่ได้มาค้นหาสมุนไพรช่วยชีวิตใดๆ แต่มาตามหาน้ำมันก๊าดพ่อของข้าอยากจะหนี แต่ก็สายไปแล้ว ผู้ลึกลับรู้ว่าพ่อของข้าเคยขุดเหมืองถ่านหินมาก่อน จึงขู่บังคับให้เขาออกค้นหาน้ำมันก๊าดด้วยกันพ่อของข้าอาศัยประสบการณ์ของตัวเองค้นหาน้ำมันก๊าดจนพบจริงๆ แต่หลังจากพบน้ำมันก๊าดแล้ว ผู้ลึกลับก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่กลับขอให้พ่อของข้าพาสกุลอวิ๋นไปขุดน้ำมันก๊าดแทนเขา”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเกลี
กู้หว่านเยว่ใคร่ครวญพลางพูด “รอข้าถึงเจดีย์หนิงกู่ เจ้าพานายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นมาพบข้า ข้าจะช่วยเขาถอนพิษ”อวิ๋นมู่กำลังกังวล เขามอบความจริงใจให้กู้หว่านเยว่แล้ว พิษของบิดาจะทำเยี่ยงไร ได้ยินแล้วก็ดีใจอย่างบ้าคลั่ง“ท่านพูดจริงหรือ? พิษนี้ของท่านพ่อข้า เคยหาหมอเทวดามามากมายนัก”“นั่นก็เพราะเจ้ามิได้มาหาข้า”ผงพระจันทร์เสี้ยวพิษนี้ นางเคยถอนมาก่อน“ข้าสามารถถอนพิษของนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นได้ แต่ก่อนถอนพิษ เจ้าต้องรับมือกับผู้ลึกลับ อย่างไรเสียบ่อน้ำมันก๊าดนี้ ข้ารับไปแล้ว”เหตุที่อวิ๋นมู่ถูกผู้ลึกลับควบคุมไว้ ก็เพราะพิษของนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋นในเมื่อกู้หว่านเยว่บอกเขา พิษสามารถถอนได้ เช่นนั้นเขาย่อมไม่กลัว“ท่านวางใจ ขอเพียงสามารถถอนพิษของท่านพ่อข้าได้ เมื่อนั้นข้าสามารถพูดให้ชัดเจนได้ว่าขุดน้ำมันก๊าดยังต้องใช้เครื่องมือ พยายามยื้อเวลาออกไปก่อน”อวิ๋นมู่พูดอย่างกะทันหัน“แต่ บ่อน้ำมันก๊าดนี้...”“ขุดบ่อน้ำมันก๊าดต่อไป น้ำมันก๊าดที่ขุดออกมาแล้ว ทั้งหมดล้วนส่งไปยังเจดีย์หนิงกู่ เมื่อนั้นข้ามีวิธีใช้งาน”กู้หว่านเยว่สำทับเป็นขั้นเป็นตอน“หว่านเยว่ ในมือข้ามีตำรับดินปืนหนึ่งแผ่น”ซูจ
เหตุผลอีกครึ่งหนึ่ง ก็เพื่อยกระดับมิติดังคาด หลังน้ำมันก๊าดนับพันล้านตันเข้าสู่มิติแล้ว เสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นอย่างว่องไวภายในสมองของนาง“ติ๊ง บรรจุน้ำมันก๊าด ระบบควบคุมส่วนกลางเปิดใช้งานสภาพอากาศของมิติ”สภาพอากาศของมิติ?กู้หว่านเยว่ใจสั่นทีหนึ่ง ก่อนนี้มิติอึมครึมอยู่ตลอด ก็คล้ายชั้นในของตู้เย็นขนาดใหญ่แห่งหนึ่งบัดนี้ถึงขั้นเปิดใช้งานสภาพอากาศของระบบแล้ว ใช่หรือไม่ว่าภายภาคหน้าก็เหมือนกับโลกภายนอก มีลมมีฝน มีวิหคบินกลิ่นเกสร?ข่มความปรารถนาภายในใจ กู้หว่านเยว่เดินไปช่วยจัดการศพหลังผ่านไปครู่หนึ่ง ศพก็ถูกจัดการเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว“พวกเราออกจากที่นี่ก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่มองเวลาเล็กน้อย พวกเขาเสียเวลาอยู่ในถ้ำนานมากแล้ว ยังอยู่ต่อไป ไม่แน่ว่าพวกซุนอู่และคนอื่นอาจมาหา“รอข้าทำสัญลักษณ์อย่างหนึ่งก่อน”อวิ๋นมู่หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง กรีดบนผนังเล็กน้อย จากนั้นแบกมู่ชิงขึ้นหลัง ทั้งสามคนพากันเดินออกไประหว่างทาง ทั้งสามพูดเรื่องนี้เป็นเสียงเดียวกันก็พูดว่าเพื่อหลบหลีกการปะทุของภูเขาไฟ อวิ๋นมู่จับพลัดจับผลูหลบเข้าไปในถ้ำแล้วบาดแผลบนตัวมู่ชิง ก็เพราะถูกสะเก็ดภูเขาไฟ
น่าเสียดายเสียงต่อมาของหลี่ซือซือเบามาก กู้หว่านเยว่ไม่ได้ยินเว้นเสียแต่ขยับขึ้นไปลอบฟังดู แต่ทำเช่นนี้ไม่เพียงถูกจับได้ ยังต้องเห็นฉากเสพสังวาสไม่ชวนพิศของพวกเขาอีกด้วยกู้หว่านเยว่ไม่อยากให้ตาของตนสกปรกเห็นว่าทั้งสองหารือกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังกลับมาทำกิจกรรมใหม่อีกครั้ง เสียงร้องยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ กู้หว่านเยว่รู้สึกเมามายขึ้นมาแล้วซูจิ่งสิงขมวดคิ้วแน่น “จะเก็บหลี่ซือซือไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะหาโอกาสจัดการนาง”“ท่านจะทำเยี่ยงไร?” กู้หว่านเยว่เองก็เกิดจิตสังหารแล้วซูจิ่งสิงใคร่ครวญพลางพูด “ภายในถ้ำลงมือไม่ง่าย รอออกจากถ้ำแล้ว สร้างอุบัติเหตุขึ้นมาอย่างหนึ่งตามสถานการณ์พาไป”เช่นนี้ก็ไม่สร้างปัญหาให้ซุนอู่ มิหนำซ้ำยังไม่เดือดร้อนถึงตนเอง“ท่านพิจารณารอบคอบยิ่งนัก”กู้หว่านเยว่พยักหน้าลง ระหว่างเดินทางซุนอู่ดีต่อพวกเขาไม่เลว นางเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้ซุนอู่ทว่านางไม่อยากได้ยินเสียงครวญครางของสองคนนี้อีกแล้ว ซื้องูน้ำตัวหนึ่งจากช่องทางซื้อขาย โยนใส่เท้าซูหัวจวิ้นและหลี่ซือซือสาเหตุที่มิได้ซื้องูพิษ ก็เพราะกลัวงูเลื้อยออกไปทำร้ายคนอื่นที่ภายนอกทว่าเพียงครู่เดียว หล
อย่างไรเสียหลี่ซือซือก็เป็นตัวปัญหาคนหนึ่งได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว กู้หว่านเยว่เองก็ยกมุมปาก ต่อมาสมควรทำเยี่ยงไร นางนับว่าเกิดความคิดภายในใจแล้วกลับไปทางฝั่งบ้านของตน ซูจิ่นเอ๋อร์และนางหยางหาหญ้าแห้งมามากแล้ว วางที่นอนลงไปก็นุ่มสบายเป็นอย่างมาก“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านนอนหลับก่อนสักหนึ่งตื่นเถอะ”ซูจิ่นอ๋อร์เอ่ยทักทาย“ข้าทำมื้อเย็นเอง ในห่อสัมภาระยังมีข้าวกล้องและผักป่าเหลืออยู่เล็กน้อย สามารถต้มโจ๊กผักป่าหม้อหนึ่งได้พอดี”“ต้มมากหน่อย แจกจ่ายให้ผู้อื่นคนละเล็กน้อย”ซูจิ่นเอ๋อร์พยักหน้าลง จุดไฟตั้งหม้อเริ่มทำงานแล้ว“ข้าไปทำธุระก่อน ท่านช่วยข้าดูหน่อยเถอะ”กู้หว่านเยว่นับว่ามีเวลาดูว่าตกลงภายในมิติวิเศษเป็นเช่นไรแล้ว พูดทักทายซูจิ่งสิง ตัวคนก็เข้ามิติวิเศษแล้วชั่วขณะเข้าสู่มิติวิเศษ นางก็ตกตะลึงอึ้งงันอยู่กับที่ นี่ใช่มิติวิเศษอึมครึมในอดีตแห่งนั้นหรือไม่?หอแห่งโอสถและร้านอาหารเลิศรสแต่ละตึกมิได้เปลี่ยนไป แต่หินปูนที่อยู่รอบข้างพวกมันกลับกลายเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไปแล้วเหนือศีรษะคือท้องฟ้าและเมฆขาว ยังมีสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นปะทะใบหน้า แม่น้ำใสสะอาดสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวกลางท
ซูจิ่งสิงไม่เห็นด้วย ประเด็นหลักเพราะเขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บเพราะจากคำให้การของชาวบ้านเหล่านั้น ฟังดูแล้วทะเลสาบแห่งนั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก บางคนก็บอกว่ามีปีศาจอยู่ในทะเลสาบแห่งนั้น คนที่ดำลงไปสำรวจใต้น้ำก่อนหน้านั้นต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย“ไม่ได้ ในเมื่อเป็นสถานที่อันตราย ข้าก็ยิ่งต้องไปกับท่าน มิเช่นนั้นหากท่านตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำให้ซูจิ่งสิงจนปัญญา เดิมทีเขาอยากมาบอกกล่าวภรรยาของตัวเองก่อนออกเดินทางสักคำ คิดไม่ถึงว่าภรรยาของตนจะขอไปกับเขาด้วยเมื่อเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย เขาก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ จึงทำได้แค่พยักหน้าอย่างจำใจ“ก็ได้ เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกัน แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามกระโดดลงจากเรือไปสำรวจในทะเลสาบเพียงลำพังเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหา”กู้หว่านเยว่รับปากวันนี้รับปาก พรุ่งนี้กลับคำเนื่องจากสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกเดินทางไปสำรวจทะเลสาบแห่งนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นคืนนี้ทั้งสองคนจึงไม่อยู่รอให้ซูจื่อชิงฟื้นอยู่ในจวน แต่
นางหยางปาดน้ำตา “ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลกู้จื่อชิงให้ดี มันคือทางที่ดีที่สุดแล้ว เรื่องในวันนี้คงโทษเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ไม่ต้องตำหนิตัวเจ้าเอง”ชิวจู๋กัดริมฝีปากพยักหน้าหลังจากที่กู้หว่านเยว่ต้มยาระงับประสาทให้แล้ว ก็ยื่นใบสั่งยาให้คนอื่น เพื่อเตรียมสมุนไพรนางแอบลากซูจิ่งสิงเข้ามาในมุมหนึ่งของลานกว้าง“ท่านพี่ เรื่องนี้ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงไม่พูดสิ่งใด เรื่องความรู้สึกของซูจื่อชิงเขาเองก็ไม่รู้จะเข้าไปแทรกอย่างไรยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เมี่ยชิงหว่านกำลังจะหมั้นกับเผยเสวียนแล้ว เขาไม่มีทางเข้าไปชิงตัวใครออกมาอย่างแน่นอนครั้นกู้หว่านเยว่เห็นซูจิ่งสิงไม่กล่าวสิ่งใด ก็รู้ทันทีว่าคนที่แข็งกระด้างด้านความรู้สึกอย่างเขาคงไม่มีทางคิดออกแน่นอนดังนั้น นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ท่านไม่รู้สึกว่าการแต่งงานของเมี่ยชิงหว่านและเผยเสวียนกะทันหันเกินไปหรือเจ้าคะ?”ซูจิ่งสิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”“ข้าให้คนไปตรวจสอบแล้ว พวกเขาสองคนรู้จักกันได้ไม่นาน มากสุดเพียงครึ่งเดือน อีกทั้งช่วงเวลานี้ ชิงหว่านไม่ได้สนใจเผยเสวียนเลย กลับเป็นเผยเสวียนที่คอยเอาแต่ประกาศอยู่เรื่อย ๆ ทำ
“คุณชายรองเราไปกันเถอะ ในเมื่อคุณหนูฟู่ตัดสินใจจะหมั้นกับคุณชายเผยแล้ว ต่อให้ท่านรอต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ”ชิวจู๋ประคองซูจื่อชิงลุกขึ้น คาดไม่ถึงว่าซูจื่อชิงจะรับแรงกระตุ้นไม่ไหวกระอีกออกมาเป็นเลือดและสลบไปในที่สุด“คุณชายรอง คุณชายรอง!” ชิวจู๋รีบประคองซูจื่อชิงกู้หว่านเยว่กำลังคุยเรื่องนี้กับซูจิ่งสิงพอดี ครั้นได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าซูจื่อชิงสลบไม่ได้สติและกระอักออกมาเป็นเลือด“เด็กคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย เมื่อครู่ข้าเพิ่งบอกเขาอยู่หยก ๆ ว่าให้ถนอมร่างกายของตัวเอง ไม่ทันไรก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”กู้หว่านเยว่ด่าทอพักใหญ่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนรีบเดินตรงไปยังจวนด้านหลัง“เกิดอะไรขึ้น?”ทันทีที่เข้าไปก็เห็นซูจื่อชิงสลบอยู่บนเตียง สีหน้าเขียวคล้ำ มุมปากมีคราบเลือดหยดหนึ่งติดอยู่นางหยางและซูจิ้งกลับมาพอดี ครั้นเห็นบุตรชายกลายเป็นเช่นนี้ ก็เจ็บปวดคล้ายกับโดนมีดหรีดหัวใจ“หว่านเยว่ เจ้ารีบดูอาการให้เขาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ข้าเรียกเขาอยู่ครึ่งวัน กลับไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด”“ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป น้องชายรองแค่สลบไปเท่านั้น
“ในเมื่อเขามาหาเจ้าแล้วถึงที่แล้ว เจ้าก็ควรออกพบเขาสักหน่อย”เผยเสวียนคลี่ยิ้มหวาน ทำให้เมี่ยชิงหว่านขมวดคิ้วแน่น“ตอนนี้ข้าไม่อยากเจอใคร เจ้าไปบอกเขาเถอะ ข้าเข้านอนแล้ว”เด็กรับใช้ยืนนิ่งไม่ไหวติ่ง เผยเสวียนตั้งใจลูบแก้มของนาง“สาเหตุที่เขาอยากพบเจ้าตอนนี้ คาดว่าคงยังคาใจ อยากฟังคำตอบจากปากของเจ้าเอง ข้าอยากให้เจ้าออกไปบอกเขาด้วยตัวเอง ให้เขาตัดใจเสียเถิด”เมี่ยชิงหว่านตัวสั่นระริก “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ข้าไม่เจอเขาก็พอแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ไม่ได้”เผยเสวียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ชิงหว่าน เด็กดี เชื่อฟังข้าเถอะ มิเช่นนั้นเจ้าก็รู้ว่าผลลัพธ์จากการโกรธของข้าจะเป็นอย่างไร”เมี่ยชิงหว่านลังเลเล็กน้อย ยังไม่อยากออกไป“ในเมื่อเจ้าไม่อยากออกไปบอกเขา เช่นนั้นข้าจะออกไปบอกเขาเอง ถึงตอนนั้นอะไรที่ควรพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ข้าเกรงว่าคงจะควบคุมปากไว้ไม่ได้”เผยเสวียนกล่าวพลางสาวเท้าเดินออกไปข้างนอกนัยน์ตาของเมี่ยชิงหว่านฉายแววเกลียดชัง จากนั้นก็กัดฟันพลางพยักหน้า “ข้าไปเอง ข้าจะออกไปบอกเขาเอง”“แบบนี้สิ ถึงจะเป็นคู่หมั้นที่น่ารักของข้า”เผยเสวียนหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาพลางส
หลังจากเกิดความชุลมุนพักใหญ่ ในที่สุดเจ้าตัวก็ฟื้น “ข้า ข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”ซูจื่อชิงมองรอบ ๆ ห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุรา ท่าทางนั้นเหมือนตายทั้งเป็นกู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ชิงหว่านกำลังจะหมั้นแล้ว ต่อไปเจ้าสองคนก็ต้องต่างคนต่างอยู่ เจ้าทำตัวแบบนี้ไปให้ใครดูกัน?”ซูจื่อชิงตัวสั่นเทิ้ม ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมา“ข้ารู้ผิดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ต้องโทษปากของข้าที่เอาแต่ขับไสไล่ส่งนางออกไปไกลมากขึ้นทุกที”ตอนนี้ซูจื่อชิงน้ำตาเช็ดหัวเข่า“ทำไมข้าถึงชอบพูดประชดประชัน ทำไมข้าถึงไม่บอกความรู้สึกของข้ากับนางให้เร็วกว่านี้”บัดนี้คงทำได้แค่มองคนที่ตนรักแต่งงานกับคนอื่นไปต่อหน้าต่อตา เขาจะทนได้อย่างไร? หลายวันมานี้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าย้อมใจอยู่แต่ในร้านอาหาร ดื่มจนเมามาย เพียงแค่อยากให้ตัวเองไร้ความรู้สึกเท่านั้นน่าเสียดายที่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก ไม่สามารถลบล้างด้วยการดื่มเหล้าได้ต่อให้ดื่มเหล้าจนเมามาย ก็ทำได้แค่ลืมไปชั่วขณะ หลังจากสร่างเมากลับมาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม“เสียใจ ข้าเสียใจจริง ๆ”ซูจื่อชิงน้ำตาไหลอาบสอง
“ท่านอาเทพธิดา” เว่ยเสียวฉู่ก้มหน้ามองกู้หว่านเยว่ด้วยความชื่นชอบ ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยหลังจากให้กำเนิดบุตรชาย กู้หว่านเยว่ไม่อาจต้านทานเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักได้อีก กระทั่งโน้มตัวลงไปบีบแก้มของนาง“สวัสดี เว่ยเสียวฉู่”“ท่านอาเทพธิดา ท้องละเจ้าคะ?” เว่ยเสียวฉู่ชี้ไปที่ท้องของนางด้วยความอยากรู้ กู้หว่านเยว่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “เด็กในท้องคลอดออกมาแล้ว เป็นน้องชายตัวน้อย”นัยน์ตาของเว่ยเสียวฉู่เปล่งประกายระยิบ นางไม่มีเพื่อนเล่นเลยตั้งแต่ที่มาถึงเจดีย์หนิงกู่“ข้าขอไปเล่นกับน้องชายได้หรือไม่เจ้าคะ?”“เสี่ยวฉู่” เจียงหรงอุ้มเด็กน้อยพลางกล่าว “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ พระชายา นางยังเด็กยังไม่รู้ความ”สำหรับนางแล้ว องค์ชายน้อยจากราชวงศ์ไม่ใช่ใครที่จะเล่นกับเขาได้นะ?กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ข้าชอบเด็กอย่างเสี่ยวฉู่ หากมีเวลาว่าง ไว้ข้าจะพานางไปเล่นในจวน” เด็กคนนี้ดูมีความจริงใจ หลังเติบโตไปเด็กคนนี้จะได้เป็นท่านแม่ทัพหญิงที่องอาจผึ่งผาย กู้หว่านเยว่จึงชอบมาก“ขอบพระทัยพระชายาเจ้าค่ะ”เจียงหรงคลี่ยิ้ม นางเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ากู้หว่านเยว่ไม่ชอบให้ท
“ข้าคิดดีแล้ว ในเมื่อเจ้าอยากอยู่เจดีย์หนิงกู่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่กับเจ้า ถึงตอนนั้นข้าคงหางานเขียนและวาดรูปมาเลี้ยงเจ้า”“ท่านพี่วั่ง” ดวงตาของเจียงอวิ๋นจิ่นแดงก่ำ ซาบซึ้งใจยิ่งนักครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินแผนการของทั้งสองคนแล้ว ตัดสินใจว่าจะอยู่เจดีย์หนิงกู่ จึงกล่าวออกไปตรง ๆ ว่า“เทียบกับเรื่องงานเขียนและวาดภาพ ไม่สู้เจ้ามาเป็นผู้อำนวยการให้กับสำนักศึกษาถงซันดีกว่า”“ผู้อำนวยการ?” เฉินจื่อวั่งยังไม่ได้สติชิงเหลียนจึงคลี่ยิ้มและอธิบายว่า “สำนักถงซันเป็นสำนักที่ฮูหยินของเราสร้างขึ้น ตอนนี้กำลังขาดบุคลากรอย่างผู้อำนวยการหนึ่งคนและอาจารย์สอนอีกจำนวนหนึ่ง”กู้หว่านเยว่หยิบแผนที่ใบหนึ่งออกมา “นี่คือที่อยู่ของสำนักศึกษาถงซัน ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการสร้าง หากเจ้ามีเวลาแวะไปเยี่ยมชมได้”เฉินจื่อวั่งรับแผนที่มาอย่างตะลึงงัน และเงียบไปชั่วครึ่งยามชิงเหลียนกล่าวถามด้วยใบหน้าดุดัน “ทำไม เจ้าไม่เห็นด้วยหรือ? ในตอนที่เจ้าอ้อนวอนให้ฮูหยินของเราช่วยแม่นางเจียง ไม่ใช่บอกว่าจะทำตามคำสั่งของฮูหยินหรอกหรือ!”เฉินจื่อวั่งไม่เห็นด้วยที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกใจอย่างมาก“ข้า ข้าเป็นผู้อำนว
“ลุกขึ้นเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนไม่ได้ที่อยู่ ๆ ก็มีคนคุกเข่าโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ “ขอรับ”เจียงอวิ๋นจิ่นเชื่อฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่มาก บอกให้นางลุกขึ้น นางก็ลุกขึ้นอย่างว่าง่ายทันทีดวงตาที่งดงามคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยดน้ำตา “พระชายา ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไร”นางกินยาแกล้งตาย หลับไปสามวันเต็ม เพิ่งจะฟื้นเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว และได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสามวันนี้จากเฉินจื่อวั่ง“วินาทีที่นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังเจดีย์หนิงกู่ ข้าคิดว่าชีวิตที่เหลือหลังจากนี้จบสิ้นเสียแล้ว”เจียงอวิ๋นจิ่นเตรียมยาพิษเอาไว้เรียบร้อยแล้วเหตุผลที่ไม่ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายระหว่างทางเป็นเพราะนางกังวลว่าข่าวการตายของนางจะแพร่กระจายไปถึงเมืองหลวงแล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของนาง“สาเหตุที่อวิ๋นจิ่นยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ทั้งหมดเป็นความกรุณาธิคุณของพระชายาที่ทรงช่วยเหลือไว้”“ร่างกายเจ้าอ่อนแอนัก นั่งลงเถิด”ไม่รู้เป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นโดนทำร้ายมาตั้งแต่วัยเยาว์หรือไม่ ร่างกายถึงได้อ่อนแอมากเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จับชีพจรให้นางแล้วพบว่านางมีสภาวะอ่อนแอขั้นรุนแรงมิน่าล่ะท่าทางการเดินที่ไร้
ครั้นกลับถึงบ้านช่วงค่ำ ในขณะที่กู้หว่านเยว่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นนางก็ได้พูดคุยกับซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าตั้งใจจะสร้างสำนักศึกที่แตกต่างจากที่อื่นสักแห่งเจ้าค่ะ สำนักศึกษาของต้าฉีในสมัยก่อนมีเพียงบุรุษเท่านั้นที่เข้าเรียนได้ สำนักศึกษาเจดีย์หนิงกู่ของเราแห่งนี้ ข้าอยากให้สตรีมีโอกาสเข้าไปเรียนด้วยเจ้าค่ะ”ซูจิ่งสิงพยักหน้า สนับสนุนความคิดนี้ของนาง “บุรุษและสตรีใต้หล้านี้ไม่มีแบ่งแยก สติปัญญาก็ไม่แตกต่างกัน ในเมื่อบุรุษเรียนหนังสือได้ สตรีก็ย่อมเรียนได้เช่นกัน”กู้หว่านเยว่คลี่ยิ้มหวานหยดย้อย สายตาที่เปล่งประกายคู่นั้นจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเขินอาย“ทำไมมองข้าเช่นนี้ หน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่อย่างนั้นหรือ?”“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าสามีของข้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก”ไม่ว่าเมื่อไหร่ พวกเขาสองคนสามารถคุยเรื่องแบบนี้ได้ โดยไม่มีช่องว่างระหว่างวัยคนหนึ่งมาจากยุคโบราณ อีกคนมาจากยุคปัจจุบัน ความคิดค่อนข้างมีอิทธิพลมากแต่บางครั้งนางก็พบว่าความคิดของซูจิ่งสิงก็ทันยุคทันสมัยมากเช่นกันซูจิ่งสิงคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือภรรยาของข้า ต่อให้บางความคิดข้าจะไม่เข้าใจ ข้าก็เต็มใจสนับสน