“ท่านแม่ ระวัง!”แววตาของซูจิ่งสิงฉายความตกใจในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย กู้หว่านเยว่แฉลบตัวออกไป ดึงนางหยางออกมาจากกองดินประสิวเสียงดัง “โครม” ในวินาทีต่อมา ดินประสิวก้อนใหญ่มหึมากระแทกพื้นเกิดเป็นหลุมลึกนางหยางหันกลับไปมองหลุมลึกนั้น นางตกใจกลัวมากจนทรุดลงกับพื้นหลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็จับมือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น“พวกเจ้า พวกเจ้ากลับมาแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บ จิ่นเอ๋อร์อยู่ไหนเจ้าคะ?” กู้หว่านเยว่หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมาใบหนึ่งสวมให้นางหยางขณะเดียวกันสายตาก็มองหาร่องรอยของซูจิ่นเอ๋อร์ไปทั่ว และในที่สุดก็พบนางอยู่ในกองเศษหินโชคดีที่นางแค่สะดุดล้ม ถูกเศษหินข่วนที่หน้าแข้ง ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอื่นใดกู้หว่านเยว่รีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาซูจิ่นเอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าจะไม่มีวันได้พบพวกท่านอีกแล้ว ฮือๆๆ...”“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ภูเขาไฟกำลังปะทุ พวกเราต้องรีบหาที่หลบภัย”กู้หว่านเยว่ปลอบ
ทางด้านหลัง เสียงคำรามของภูเขาไฟดังขึ้นเรื่อยๆ ยังพอมองเห็นก้อนอากาศธาตุทรงกลมถาโถมเข้ามาจากระยะไกลได้รางๆกู้หว่านเยว่ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบพาทุกคนเข้าไปในถ้ำหลังจากเข้าไปแล้ว ก็พบว่าถ้ำนี้จากภายนอกจะดูแคบๆ แต่ข้างในกว้างขวาง โพรงถ้ำก็ลึกมาก มองไม่เห็นก้นถ้ำในคราวเดียวที่หายากยิ่งกว่าก็คือ ภายในถ้ำมีลำธารใต้ดินสายหนึ่งอยู่ด้วยเดิมทีกู้หว่านเยว่ยังกังวลว่าจะทำความสะอาดเถ้าภูเขาไฟพิษที่เกาะอยู่ตามร่างกายอย่างไรตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการมีแหล่งน้ำก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ตายด้วยความกระหายน้ำหรืออดอยากอยู่ข้างใน“ท่านแม่ จิ่นเอ๋อร์ พวกท่านรีบมาเอาน้ำล้างเถ้าภูเขาไฟตามร่างกายให้สะอาด แล้วก็ล้างตาไปด้วย”ดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์ยังพร่ามัวเล็กน้อย ปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นระยะ นางรีบวักน้ำขึ้นมาล้างทำความสะอาดคนอื่นๆ ก็ตามมาที่ริมลำธารใต้ดิน ล้างเนื้อล้างตัวที่สกปรกมอมแมมในเวลานี้ ซุนอู่ได้เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง“พวกท่านสองคนไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่รู้ว่าซุนอู่ห่วงใยพวกนาง พลางส่ายศีรษะ“พวกข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านที่รอเรา
ไม่รู้ว่าทั้งสองมารวมหัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่“ท่านแม่ ซูอวี่ร่างกายอ่อนแอมากมาโดยตลอดนับตั้งแต่ถูกพิษคราวก่อน เอ่อ...จะตายก็ไม่แปลก ไม่เกี่ยวกับหลานสะใภ้หรอก”ซูหัวจวิ้นออกโรงปกป้องนางดังคาดฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “อวี่เอ๋อร์ถูกพิษจะตำหนิใครได้ ถ้าไม่ใช่นางที่เก็บเห็ดพิษมา กาลกิณี เป็นตัวกาลกิณีจริงๆ วันนี้ข้าต้องให้นางถูกฝังไปพร้อมกับอวี่เอ๋อร์ให้ได้”พูดพลางเดินเข้าไปกระชากหลี่ซือซือ หลี่ซือซือเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังซูหัวจวิ้นอย่างอ่อนช้อย“ท่านอาสี่ ช่วยข้าด้วย...”“ไม่ต้องกลัว หลานสะใภ้ อาสี่ต้องปกป้องเจ้าแน่นอน”ไม่ไกลนักซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยปากพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านอาสี่กับหลี่ซือซือถึงได้...”สีหน้าของกู้หว่านเยว่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ก่อนหน้านี้หลี่ซือซือผู้นี้แค่แสร้งทำเป็นใสซื่อไปหน่อย แต่ตอนนี้ถูกเนรเทศและทรมานอย่างโหดร้ายไร้ยางอาย“อย่าไปสนใจพวกเขา จะได้ไม่เดือดร้อนไปด้วย”“...เจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ทำหน้าเหมือนท้องผูก นางก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องชาวบ้าน เพียงแต่คาดคิดไม่ถึง พวกเขาสองคนเป็นอาหลานสะใภ้กัน...นี่มันยุ่งเหยิงเกินไปแล้วความจริงระหว่างเส้น
กู้หว่านเยว่ได้สอบถามกับระบบแล้ว แต่ระบบก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้เช่นกัน กล่าวได้เพียงว่ามีไม่น้อยแน่นอน“น้ำมันก๊าดอยู่ในส่วนลึกของถ้ำมาก จำนวนที่แน่นอนข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าอยากเข้าไปดูหน่อย”ซูจิ่งสิงกล่าวโดยตรึกตรอง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ที่เสนอความต้องการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเห็นแก่น้ำมันก๊าดเหล่านั้น แต่เพราะเป็นห่วงว่ากู้หว่านเยว่จะเกิดเรื่องต้องตามติดอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่เท่านั้น เขาถึงจะวางใจได้“ก็ได้ ข้าจะไปบอกซุนอู่ก่อน”กู้หว่านเยว่เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนอู่ บอกเล่าจุดประสงค์ของตนเองให้พวกเขาฟังแน่นอนว่านางไม่ได้พูดเรื่องน้ำมันก๊าด แค่บอกว่าต้องการเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำเพื่อตรวจดูว่ามีอันตรายหรือไม่ หากมีอันตรายจะได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้าซุนอู่เหลือบมองโพรงถ้ำที่มืดมิดมองไม่เห็นก้นบึ้ง ตัวเขาเองยอมรับว่าไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ จึงรีบพยักหน้าให้“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อย แต่ว่า ซูจิ่งสิงยังเดินไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ข้าส่งนักการในศาลาว่าการคนอื่นไปกับเจ้าด้วยดีกว่า”“ไม่จำเป็น ข้าจะไปกับภรรยาของข้าเอง”ซูจิ่งสิงยืนกรานเสียงแข็งกู้หว่านเยว่วางใจใครไ
“เชื่อมั่นในตัวข้าเถอะ” ซูจิ่งสิงส่งสายตายืนยันให้กู้หว่านเยว่ จากนั้นก็พุ่งตัวออกไป สังหารหนึ่งในคนชุดดำด้วยดาบเดียว“องค์ชายซู”ใบหน้าของอวิ๋นมู่ตื่นตระหนก ซูจิ่งสิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ขาของเขาหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่? สถานการณ์ตึงเครียดทำให้อวิ๋นมู่ไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เขารีบแบกมู่ชิงขึ้นมาจากพื้น เข้าไปซ่อนตัวรออยู่หลังเสาหินกู้หว่านเยว่จับปืนแน่นอยู่ด้านหลังก้อนหินเมื่อใดที่ซูจิ่งสิงตกอยู่ในอันตราย นางจะออกโรงทันทีแต่ไม่นานนางก็พบว่า ทักษะการต่อสู้ของซูจิ่งสิงแข็งแกร่งมาก ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เลย เพียงชั่วพริบตาคนชุดดำทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้น เหลือเพียงหัวหน้าคนชุดดำเพียงคนเดียวซูจิ่งสิงยกเท้าขึ้นถีบหัวหน้าคนชุดดำล้มคว่ำลงกับพื้น จากนั้นก็ดึงผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง“ชิวหมิงจื้อ!” เสียงของซูจิ่งสิงเยือกเย็นมากกู้หว่านเยว่ไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ราวกับอสูรที่ก้าวออกมาจากอเวจี นางรีบปรี่เข้าไปอยู่ข้างกายเขา “ท่านพี่ เขาเป็นใคร เหตุใดท่านถึงโกรธเช่นนี้?”“เขา ฮึ เขาเป็นรองแม่ทัพของข้า”คนผู้นี้เคยเป็นคนสนิทของเขา แต่ตอน
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”ซูจิ่งสิงกำหมัดทั้งสองแน่นเขามีพ่อมีแม่ ยี่สิบปีที่ผ่านมาปฏิบัติตัวเป็นทายาทของสกุลซูมาโดยตลอด แล้วจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทไปได้อย่างไร?ชิวหมิงจื้อยิ้มเจื่อนๆ ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินด้วยหูตัวเองก็ต้องไม่ผิดแน่“ท่านอ๋อง บนร่างกายของท่านมีรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวหรือไม่?”หากเป็นเมื่อก่อน ซูจิ่งสิงก็ยังมีข้อสงสัย แต่ตอนนี้ชิวหมิงจื้อรู้เรื่องรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวบนร่างกายของเขาด้วย จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียแล้วชิวหมิงจื้อพูดต่อ “หากท่านยังไม่เชื่อข้า ก็สามารถแสดงรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวนี้ให้โจวเหล่าดูได้ แล้วปริศนาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”“โจวเหล่า เป็นเขาอีกแล้ว...” กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว เว่ยเฉิงเคยพูดกับซูจิ่งสิงมาก่อน ขอให้เขาไปตามหาโจวเหล่าสักครั้งแต่สิ่งที่ทำให้กู้หว่านเยว่สนอกสนใจก็คือ เว่ยเฉิงน่าจะไม่มีทางรู้จักตัวตนของซูจิ่งสิงต่างหากแม้ว่าต่อไปเว่ยเฉิงจะดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ค้นพบเบาะแสจากในอดีต แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นบัณฑิตหนุ่มอยู่ดี แล้วจะรู้ได้อย่างไร?หรือจะบอกว่า เป็นเพียงเรื่องบังเอิญไม่ว่
หลังจากซูจิ่งสิงเห็นอวิ๋นมู่ เจตนาฆ่าก็เผยออกมาจากแววตาเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ในเมื่ออวิ๋นมู่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ยังมีชีวิตรอดอยู่อวิ๋นมู่เห็นสองสามีภรรยาจ้องมองเขา ก็รู้เลยว่าคงรอดยาก จึงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆเขาไม่นึกว่าตัวเองจะได้ยินความลับเกี่ยวกับอดีตองค์รัชทายาทโดยบังเอิญและยิ่งคาดไม่ถึงว่า ซูจิ่งสิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทแต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาแล้ว เขาทำได้เพียงพยายามเสาะหาโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ให้ตัวเองอย่างเต็มที่ดังนั้นเขาจึงโยนอาวุธในมือทิ้ง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ เรื่องที่ได้ยินในถ้ำวันนี้ ข้าจะรักษาความลับเป็นแม่นมั่น ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า”กู้หว่านเยว่เบะปาก “ปากอยู่ที่ตัวเจ้า ใครจะรู้ล่ะ เหตุใดพวกข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”“พูดแบบนี้ก็ถูก”อวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อนๆ เพื่อรักษาชีวิตไว้ เขาต้องยอมเฉือนเนื้อตัวเอง“แม่นางกู้ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”อวิ๋นมู่ควักป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากอก ส่งให้กู้หว่านเยว่ในขณะที่กู้หว่านเยว่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเคร่งขรึมออกมา “บ่อน้ำมันก๊าดแห่งนี้สกุลอวิ๋นของข้าไม่ใช่ผู้ค้นพบ ความจริงแล้วสกุลอวิ๋นของข้าถูกขู่บังคับให้มาขุดน้ำมันก๊าดที่นี่ด้วย”กู้หว่านเยว่ไม่นึกว่าจะยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังบ่อน้ำมันก๊าดอีก จึงอดถามไม่ได้ว่า “ถูกขู่บังคับ เรื่องราวมันเป็นมายังไง?”อวิ๋นมู่อธิบายเสียงขรึม “เมื่อครึ่งปีก่อน พ่อของข้าพาลูกน้องไปที่เขาหู่หลางเพื่อขุดแร่ แต่กลับได้พบกับกลุ่มผู้ลึกลับโดยบังเอิญหลังจากรู้ว่าผู้ลึกลับกลุ่มนั้นมาที่เขาหู่หลางเพื่อหาสมุนไพรช่วยชีวิต พ่อของข้าก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ ออกค้นหาพร้อมกับพวกเขาผลสุดท้ายกลับได้รู้โดยบังเอิญว่าพวกเขาไม่ได้มาค้นหาสมุนไพรช่วยชีวิตใดๆ แต่มาตามหาน้ำมันก๊าดพ่อของข้าอยากจะหนี แต่ก็สายไปแล้ว ผู้ลึกลับรู้ว่าพ่อของข้าเคยขุดเหมืองถ่านหินมาก่อน จึงขู่บังคับให้เขาออกค้นหาน้ำมันก๊าดด้วยกันพ่อของข้าอาศัยประสบการณ์ของตัวเองค้นหาน้ำมันก๊าดจนพบจริงๆ แต่หลังจากพบน้ำมันก๊าดแล้ว ผู้ลึกลับก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่กลับขอให้พ่อของข้าพาสกุลอวิ๋นไปขุดน้ำมันก๊าดแทนเขา”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเกลี
“ไม่ต้อง ๆ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้น ยาพิษของพวกนี้ ใช้ให้น้อยจะดีกว่า”แต่จริง ๆ แล้ว เขาก็แค่แสร้งทำเท่านั้น เฟิ่งอู๋ชีไม่ได้กลัวพิษเลยสักนิด เพราะร่างกายเขามีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิด“ไปแล้วนะ”เขาโบกมือ แล้วหันหลังเดินจากไป“รักษาชีวิตของท่านเอาไว้”กู้หว่านเยว่เอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเฟิ่งอู๋ชี แต่เป็นเพราะคนที่ร่างกายมีคุณสมบัติเป็นยาโดยกำเนิดนั้นหาได้ยากเผื่อในอนาคตทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน นางก็อาจจะได้ศึกษาดู“ไม่ต้องห่วง สิ่งที่แข็งที่สุดของข้าก็คือชีวิตนี่แหละ”เฟิ่งอู๋ชีนหลังเดินจากไป เดินไปได้สองก้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไม่ใช่ ๆ จุดแข็งที่สุดของเขาไม่ใช่ชีวิตเสียหน่อย!“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ นี่เป็นถึงองค์ชายหนานเจียงเชียวนะ จะไม่ฉวยโอกาสจับเขาไว้หรือ จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แบบนี้หรือ?”ซูจื่อชิงรีบเข้ามา เห็นเฟิ่งอู๋ชีกำลังเดินจากไปพอดี ใบหน้าของเขาเผยความเสียดายออกมาเล็กน้อยปล่อยศัตรูไปแบบนี้ ไม่เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?จากมุมมองของเขา ก็ควรจะจับองค์ชายหนานเจียงไว้ เพื่อใช้ข่มขู่หนานเจียงสิ“ฆ่าองค์ชายหนานเจียงก็ไร้ประโยช
นางแสดงสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นกลับเฉียบคม ทำให้อวิ๋นมู่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรดี“ข้าไม่ได้คิดกับพี่สะใภ้ของท่านอย่างที่ท่านคิด”จิตใจของอวิ๋นมู่บริสุทธิ์มาก เขาเพียงต้องการปกป้องอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยคิดฝันไกลเลยแน่นอนว่า หากซูจิ่งสิงทำไม่ดีกับกู้หว่านเยว่ เช่นนั้นเขาก็จะลงมือพอถูกมู่หรงฉางเล่อรั้งเอาไว้ กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงก็เดินห่างออกไปไกลแล้ว ร่างของทั้งสองคนหายลับไปในถนนยาวอวิ๋นมู่จึงตัดสินใจไม่ตามพวกเขาไป เขาพิงกายลงนั่งริมขอบเรือ พลางมองไปยังผืนน้ำในทะเลสาบ“คุณชายอวิ๋น หรือว่า จะลองมองคนข้าง ๆ บ้างก็ได้”มู่หรงฉางเล่อกะพริบตาคู่สวยที่ดูราวกับดวงตาจิ้งจอก“อย่างเช่น มองข้า”“ท่าน...”อวิ๋นมู่ตกตะลึง ใบหูแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็วเวลานี้เขาพบว่า มู่หรงฉางเล่ออยู่ใกล้เขามาก ลมหายใจของนางเป่ารดใบหน้าของเขาเขารีบลุกขึ้น อยากจะจากไป“ตอนนี้ยังไปไม่ได้นะ”มู่หรงฉางเล่อดึงชายเสื้อของเขาไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า พลางทำเสียงออดอ้อน“คำสัญญาที่ท่านรับปากไว้กับข้ายังไม่ได้เสร็จสิ้น ต้องอยู่เป็
“ไม่คิดจะอยู่รอดูเรื่องสนุกที่นี่หน่อยหรือ?”กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วขึ้นซูจิ่งสิงส่ายหน้า เขาไม่สนใจคนทั้งสองคนนี้“ตราบใดที่ข้าได้อยู่กับน้องหญิงอย่างมีความสุขก็พอแล้ว”“ใช่”กู้หว่านเยว่ยิ้มหวานบนเรือสำราญ มู่หรงฉางเล่อกำลังพูดคุยกับอวิ๋นมู่อวิ๋นมู่ดูเหมือนจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับนิสัยเข้ากับคนอื่นได้ง่ายของนาง จึงแสดงสีหน้าประหม่าเล็กน้อย“ท่านหญิงฉางเล่อ เรื่องที่ข้ารับปากท่าน ข้าทำเสร็จแล้ว ท่านจะให้ข้ากลับได้หรือยัง?”อวิ๋นมู่ส่ายหน้าอย่างจนใจตลอดทางมู่หรงฉางเล่อพูดมากเหลือเกิน เขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี“นี่จะกลับแล้วหรือ? คุณชายอวิ๋นรับปากข้าแล้วมิใช่หรือว่าจะอยู่เที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะพอใจ”มู่หรงฉางเล่อโบกพัดในมือไปมา ดวงตาที่หรี่ลงดูราวกับจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง“นี่เป็นสิ่งที่ท่านติดค้างข้า คุณชายอวิ๋น อย่าได้กลับคำเชียว”อวิ๋นมู่แสดงสีหน้าจนใจวันนั้นที่ร้านขายเสื้อผ้า ตอนแรกเขากำลังเลือกผ้าอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของร้านถึงต้องยกน้ำชามาให้เขาเขาตั้งใจจะวางน้ำชาลง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอหันหลังกลับ ดันไปชนมู่หรงฉางเล่อเข้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ชายกระโ
หลี่กวงถิงเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เรื่องที่สกุลซูถูกยึดทรัพย์ในตอนนั้น เขาก็หลบเลี่ยง ไม่ยอมออกหน้ากลับส่งเจียงเต๋อจื้อคนโง่เขลาเบาปัญญาออกไปภายนอกคือให้โอกาสแก่เจียงเต๋อจื้อ แต่ที่จริงแล้ว ในใจเขากลัวว่าซูจิ่งสิงจะฟื้นคืนอำนาจ แล้วกลับมาแก้แค้นในภายหลังแต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้ออกหน้า แต่สุดท้ายก็มีส่วนร่วมอยู่ดี“เมื่อกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”หลี่กวงถิงถอนหายใจยาวระยะทางที่กองทัพจะเดินทางไปยังเจดีย์หนิงกู่ ต้องใช้เวลาเดินทางอีกหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาต้องรีบส่งคนไปสืบดูสถานการณ์ทางการทหารของเจดีย์หนิงกู่หลี่กวงถิงหยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมา มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้เขียนข้อความลงบนกระดาษสีเหลือง แล้วส่งให้รองแม่ทัพ“นำไปให้สายลับ”“ขอรับ” รองแม่ทัพซ่งรีบออกไปทันทีถึงแม้โอกาสชนะจะน้อย แต่ก็ต้องดิ้นรนบ้างมิใช่หรือ?ทางด้านกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงปรึกษาหารือกันเสร็จแล้ว ก็เรียกหลี่เฉินอันเข้ามาไม่ได้เจอกันนาน หลี่เฉินอันก็สูงขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์หญิง”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ เขาจึงคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าจะบอกอะไรเจ้าสักหนึ่งประโยค ถึงแม้เจ้าจะเป็นบ่าวของข้า แต่ข้าก็มองเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ หากเจ้าชอบใครจริง ๆ เจ้าก็จงพยายามไขว่คว้าเอาเอง ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้าวันนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าฉางเล่อมีใจให้กับอวิ๋นมู่ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเจ้าด้อยไปกว่านางเลยแน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”กู้หว่านเยว่พูดเพียงเท่านี้แววตาของชิงเหลียนมีความสับสนอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงพยักหน้า“ขอบคุณฮูหยิน บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้น ซูจิ่งสิงก็รีบร้อนเข้ามาจากข้างนอก“น้องหญิง ทางเมืองหลวงมีข่าวแพร่สะพัดมาแล้ว”กู้หว่านเยว่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีเรื่องใหญ่มาแล้ว!นางโบกมือให้ชิงเหลียนออกไป แล้วหันไปมองซูจิ่งสิง“เกิดอะไรขึ้น?”“นี่คือจดหมายของนกพิราบสื่อสารจากเมืองหลวง”ซูจิ่งสิงไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาแค่หยิบจดหมายที่อยู่ในมือมอบให้กู้หว่านเยว่กู้หว่านเยว่รีบเปิดออก แล้วก็หัวเราะเยาะในทันที“ฮ่องเต้ชั่วลงมือเร็วจริง ๆ ”ในจดหมายกล่าวถึง ฮ่องเต้มอบหมายกองทัพให้กับหลี่กวงถิง เสนาบดีฝ่ายขวา สั่งให้เขาเป็น
กู้หว่านเยว่เหลือบมองบัญชี พบว่ากิจการของร้านสาขานี้ดีกว่าร้านหลักมากจริง ๆ ซึ่งเป็นเพราะเจียงอวิ๋นจิ่นบริหารจัดการได้ดี“ร้านนี้มอบให้เจ้าเป็นคนดูแล ข้าไม่ได้ไว้ใจผิดคน”กู้หว่านเยว่พลิกดูบัญชีไปพลาง พยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปพลาง“รอช่วงปลายปี จะแบ่งปันผลกำไรให้เจ้าอีก”เจียงอวิ๋นจิ่นเบิกตากว้าง“จะรับได้อย่างไร ท่านทำให้ข้ามีงานทำก็ดีมากแล้ว ข้าจะรับเงินจากพระชายาเพิ่มได้อย่างไร?”“รับไปเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มพลางปิดบัญชี“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรจะได้อยู่แล้ว”น้ำเสียงของนางจริงจัง เจียงอวิ๋นจิ่นพอจะรู้จักนิสัยของนางอยู่บ้าง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย“เช่นนั้นอวิ๋นจิ่นขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ”หลังจากตรวจดูร้านค้าเสร็จ ทางด้านมู่หรงฉางเล่อก็วิ่งกลับมาด้วยความรีบร้อน“ดูเหมือนเจ้าจะได้อะไรดี ๆ มาเยอะนะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่วนมู่หรงฉางเล่อก็ไม่ได้เขินอาย นางโบกพัดที่อยู่ในมือไปมา“พี่สะใภ้ท่านดูสิ นี่คืออะไร?คุณชายอวิ๋นทำให้ข้าไม่พอใจ จึงชดเชยด้วยการมอบพัดเล่มนี้ให้กับข้าและยังรับปากข้าว่า มะรืนนี้จะไปล่องเรือที่ทะเลสาบกับข้า”เด็กคนนี้นี่ ถ้
“คุณชายอวิ๋นไม่มีใจให้นาง นางคงจะคิดไม่ตก จึงเกิดความคิดที่จะออกบวชเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนก้มหน้าลง แท้จริงแล้ว นางก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบอวิ๋นมู่ แต่นางและหลี่ชิวเตี๋ยนั้นแตกต่างกัน นางรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะใดนางและคุณชายอวิ๋นไม่มีทางเป็นไปได้ ดังนั้นในใจจึงไม่เคยมีความคิดเพ้อฝันใด ๆ “เจ้าหมายความว่าหลี่ชิวเตี๋ยอยากจะออกบวชอย่างนั้นหรือ?”กู้หว่านเยว่ได้ฟังเรื่องราวอันน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่สกุลหลี่จะรีบร้อนหาคู่ให้หลี่ชิวเตี๋ยขนาดนั้นพวกเขามีลูกสาวแค่คนเดียว หากออกบวชจริง ๆ แล้วจะทำอย่างไร “คุณหนูหลี่เคยผิดหวังในความรักกับทังต๋ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคงยึดติดกับความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้”ชิงเหลียนถอนหายใจพลางเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยคกู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร บางอย่าง ต่อให้พบเจออุปสรรคมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณหนูหลี่ติดธุระสองสามวันนี้ พวกเราก็ไม่ต้องรอที่นี่แล้ว บัญชีก็ดูเสร็จแล้ว เราไปที่ร้านอื่นกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป เมื่อมาถึงร้านสาขา เจียงอวิ๋นจิ่นกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานภายในร้านอย่างสนุกสนาน“พระ
“ตกลง ข้าจะมาเอาวันหลัง”อวิ๋นมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แบบนี้ เขาก็จะมีโอกาสได้พบกับกู้หว่านเยว่อีกครั้ง“ข้ายังต้องไปที่ร้านดอกท้อ ขอตัวก่อนแล้ว”กู้หว่านเยว่ดึงมู่หรงฉางเล่อออกไป ขณะที่กำลังจะออกจากประตู สายตาของมู่หรงฉางเล่อยังคงจับจ้องอยู่ที่อวิ๋นมู่“พี่สะใภ้ คนนี้ใครหรือ?”“อวิ๋นมู่ คุณชายน้อยของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นต้าฉี”กู้หว่านเยว่อธิบายพลางเหลือบมองมู่หรงฉางเล่อที่หน้าแดงก่ำ ก็เข้าใจในทันที“นี่เจ้าชอบเขาแล้วหรือ?”“ใช่แล้ว”มู่หรงฉางเล่อยอมรับอย่างเปิดเผย พลางดึงมือของกู้หว่านเยว่พร้อมกับลองหยั่งเชิง“คุณชายอวิ๋นผู้นี้ อายุเท่าไรแล้ว ในเรือนมีภรรยาหรืออนุภรรยาหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของนาง ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกชอบใจในนิสัยพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนาง“ยี่สิบกว่า ยังไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยา”ดวงตาของมู่หรงฉางเล่อเป็นประกายมากขึ้น “ไม่มีภรรยาหรืออนุภรรยาก็ดีแล้ว”เมื่อเห็นว่าอวิ๋นมู่ยังคงเลือกผ้าอยู่ในร้าน มู่หรงฉางเล่อก็เขย่าแขนของกู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้ายังต้องซื้อผ้าอีกชุดให้ยายโจว
กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ว่าร้านขายเสื้อผ้าและร้านดอกท้ออยู่ทางเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็ถือโอกาสไปดูกิจการของร้านดอกท้อด้วยเลย“เยี่ยมไปเลย เราไปกันเถอะ”มู่หรงฉางเล่อจูงมือของกู้หว่านเยว่ออกไปข้างนอกอย่างเบิกบานใจหลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นรถม้าแล้ว ไม่นานก็มาถึงร้านเสื้อผ้ามู่หรงฉางเล่อกระตือรือร้นมาก หลังจากที่รถม้าจอดสนิทก็กระโดดลงจากรถม้าทันที จากนั้นก็จูงมือของกู้หว่านเยว่เข้าไปข้างใน“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะซื้อเสื้อผ้าอะไรเจ้าคะ?”“ข้าขอดูก่อน” กู้หว่านเยว่กวาดตามองแวบหนึ่ง เสื้อผ้าของนางยังมีอีกมาก ไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าแต่อย่างใด“แม่นางอยากดูเสื้อผ้าใช่หรือไม่เจ้าคะ เชิญตามข้ามาดูเนื้อผ้าทางนี้เจ้าค่ะ”เจ้าของร้านออกมาต้อนรับมู่หรงฉางเล่อรีบตามเจ้าของร้านไปอีกด้าน เพื่อเลือกเนื้อผ้าก่อนองค์หญิงใหญ่อายุมากแล้ว เนื้อผ้าที่มู่หรงฉางเล่อเลือกนั้นล้วนเป็นสีที่ค่อนข้างเข้ม ยกตัวอย่างเช่นสีเขียวเข้มหลังจากเลือกเสร็จแล้ว ก็บอกขนาดและน้ำหนักขององค์หญิงใหญ่กับเจ้าของร้าน ลูกน้องในร้านช่วยจด“ใช้เวลาตัดเสื้อผ้านานแค่ไหนเจ้าคะ?”มู่หรงฉางเล่อกล่าวถาม“เร็วสุดก็ประมาณสามถึงห้าวัน ช้าส