ตั้งแต่ไปมาหาสู่กันจนถึงตอนนี้ ฟู่หลานเหิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นเรื่อย ๆ เขามองออกว่ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสองสามีภรรยาคู่นี้มีความผูกพันกันมากเขาไม่ใช่คนที่ชอบแย่งคนรักของผู้อื่น สิ่งที่เขาอยากทำที่สุดในตอนนี้คือการอวยพรส่วนเรื่องที่พวกเขาเป็นสหายเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยนั้น ขอให้ความทรงจำเหล่านั้นยังคงอยู่ในอดีตตลอดไป อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องมองไปข้างหน้าแน่นอนว่าความผูกพันของพวกเขายังคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน“หว่านเยว่ วันข้างหน้าเจ้าอาจจะต้องเจออุปสรรคมากมาย หากข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างไม่ลังเลแน่นอน” ฟู่หลานเหิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ”กู้หว่านเยว่เผยรอยยิ้มที่จริงใจออกมา จนกระทั่งนางมองดูเวลาที่บอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว นางจึงรีบกล่าว“เมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากมาย ใต้เท้าฟู่ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ไม่ต้องส่งข้าหรอก”“ได้”ฟู่หลานเหิงพยักหน้า กู้หว่านเยว่กล่าวไม่ผิด ภายในเมืองตงโจวยังมีเรื่องที่ให้เขากลับไปจัดการอีกมากมาย เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หลังจากกล่าวลาแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันทีกู้หว่านเยว่กลับเข้ามาในขบวนอีกครั้ง แต่กลับพบว่าซูจิ่นเอ๋อร์ยังคง
เมื่อมู่หรงอวี้เดินมาถึงหน้าประตูเมือง ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่โดนเนรเทศอีกครั้งแม้ว่าสายตาของเขาจะหยุดมองอยู่บนเกวียน แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารอย่างรุนแรงเขาหันไปกล่าวกับเว่ยเฉิงว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ในกลุ่มผู้ถูกเนรเทศมีเจิ้นเป่ยอ๋องผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แต่ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงคนน่าสมเพชเท่านั้น”เว่ยเฉิงหัวเราะเยาะพลางส่ายหน้า“ข้าน้อยเป็นเพียงชาวบ้านไร้การศึกษา ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้นเป่ยอ๋องมาก่อน คงทำให้ท่านอ๋องขบขันไม่น้อย”“ฮ่า ๆ เจ้าก็ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว การช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ภัยครั้งนี้ต้องขอบคุณในอุบายและแผนการของเจ้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางแก้ไขน้ำท่วมและจัดหาที่ทางให้กับผู้ถูกเนรเทศได้เลย”ครั้งนี้เว่ยเฉิงช่วยให้เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านไม่น้อยเว่ยเฉิงไม่กล่าวอะไร แค่กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ในขณะที่มู่หรงอวี้มองมานั้น เขาได้เปลี่ยนกลับมาดูเย็นชาและนอบน้อมถ่อมตัวอีกครั้ง“อยากจะแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเมืองตงโจวโดยสมบูรณ์ แค่การขุดลอกแม่น้ำยังไม่พอ แต่เพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนน้อยลง สู้เราไป
“ต้องอ้อมอย่างน้อยสองเดือนเลยหรือ?”พวกเขาออกจากเมืองหลวงนานเพียงนี้ เพิ่งเดินทางไปได้สองสามเดือนเท่านั้นอ้อมภูเขาลูกนี้ ต้องใช้เวลาถึงสองเดือน เห็น ๆ อยู่ว่าเทือกเขาลูกนี้มีขนาดใหญ่แค่ไหนภูเขาหู่หลางชื่อภูเขาบวกกับคำอธิบายของจางเอ้อร์ก็ฟังดูคล้ายกับหินก้อนใหญ่ ทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจแต่กู้หว่านเยว่กลับมีแววตาเปล่งประกายเมื่อได้ยินชื่อภูเขา นางรู้สึกคุ้นหูอยู่ไม่น้อยจริงสิ ภรรยาของซูจื่อชิงรู้จักภูเขาหู่หลางไม่ใช่หรือ!เมื่อเอ่ยถึงสามีภรรยาคู่นี้ ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ พี่น้องของนางเป็นหญิงสาวที่ไม่ธรรมดาและไม่เป็นสองรองใครนางนั้น...เป็นหญิงที่แข็งแรงมากกู้หว่านเยว่มองไปทางซูจื่อชิงที่อ่อนแอ แล้วก็ต้องหัวเราะเยาะอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น“พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าหัวเราะอะไร?”ซูจื่อชิงมีสีหน้างุนงงกู้หว่านเยว่ยิ้มและกล่าวว่า “ต่อไปก็ให้ท่านอาเหยียนของเจ้าแบกพี่ใหญ่ของเจ้าไปละกัน เจ้าไม่ต้องแบก เมื่อโตขึ้นเจ้าก็อย่าเผลอไปแบกความกดดันที่มันมากเกินไปล่ะ ระวังตัวไว้ต่อไปภรรยาของเจ้าอาจจะไม่พอใจเจ้า”ภรรยา?เขายังไม่เคยคิดเรื่องนี้ซูจื่อชิงถูกหยอกล
ซูจื่อชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามกู้หว่านเยว่โน้มตัวลง และใช้ปลายนิ้วถูพื้นผิววัตถุ หัวคิ้วของเขาขมวดกันแน่นกว่าเดิมพลางกล่าว “ที่นี่น่าจะเป็นภูเขาไฟ”“อะไรคือภูเขาไฟ?”ทุกคนเกิดความสงสัยนางอธิบาย “มันก็คือหินหลอมเหลวและเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากใต้ภูเขา เปลวไฟสามารถปะทุออกไปไกลได้หลายลี้ ทำให้ต้นไม้ที่อยู่ในรัศมีสิบลี้บริเวณนี้ถูกไฟแผดเผาไปหมดสิ้น อีกทั้งพื้นผิวแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยสสารพวกแร่ธาตุและกำมะถันและหินดำ”คำนามที่นางกล่าวออกมาทีละคำ ทุกคนล้วนแต่ไม่เข้าใจ กลับมีแค่อวิ๋นมู่ที่มองกู้หว่านเยว่ด้วยท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“ที่นี่น่ากลัวขนาดนี้ เรารีบข้ามภูเขาหู่หลางไปดีกว่า”กู้หว่านเยว่ยังไม่ทันกล่าวจบ บนภูเขาหู่หลางนอกจากภูเขาไฟแล้วก็น่าจะมีสัตว์ร้ายอีกไม่น้อยแต่เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว นางจึงไม่กล่าวอะไรอีกขณะที่เดินเข้าไปจนกระทั่งถึงกลางเขาของภูเขาหู่หลางนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลง ซุนอู่จึงประกาศให้ทุกคนตั้งค่ายอ้างแรมกันที่นี่“ทุกคนจุดไฟกองใหญ่หน่อยนะ ดึกดื่นค่อนคืนอาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาก็ได้”กู้หว่านเยว่กล่าวเตือนทันทีที่สิ้นสุดเสียง นางก็ได้ยินเสียงหอนข
“อยากกิน”กู้หว่านเยว่พยักหน้าอย่างคาดหวัง นางคาดหวังจนถึงขั้นจินตนาการถึงวิธีการย่างหมาป่าทั้งหมดในหัวของนางแล้ว“รอก่อน”ซูจิ่งสิงหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา จากนั้นก็เล็งเป้าหมายไปที่ฝูงหมาป่าที่อยู่ในความมืด“มืดขนาดนี้จะยิงโดนไหม?”สิ้นสุดเสียง นางกลับเห็นว่าลูกธนูในมือของซูจิ่งสิงนั้นพุ่งตัวออกไปติดต่อกันสามครั้งแล้ว“สวบ” กระทั่งได้ยินเสียงของปลายธนูที่เสียบทะลุเนื้อดังขึ้นกู้หว่านเยว่รีบคลานเข้าไปตรวจสอบ จนกระทั่งลากซากหมาป่าที่ตายแล้วทั้งสามตัวออกมาอย่างมีความสุข“ท่านพี่ ท่านเก่งมาก ไม่เพียงแค่ยิงโดนเท่านั้น ทั้งยังทำให้ฝูงหมาป่าหนีกระเจิงไปอีกด้วย”นางดูผลงานนั้นอย่างตั้งใจ ธนูดอกนี้ของซูจิ่งสิงน่าจะเสียบเข้าที่หัวของหมาป่า จึงทำให้ฝูงหมาป่าที่เหลือตกใจจนหนีไปซูจิ่งสิงแอบดีใจกับคำชมของนางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ“ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากกินเนื้อหมาป่าหรอกหรือ รีบลากมันมานี่ ข้าจะได้ช่วยจัดการให้เจ้า”“เยี่ยม” กู้หว่านเยว่เก็บหมาป่าไว้ให้ตัวเองหนึ่งตัว แล้วแบ่งหมาป่าตัวที่สองให้นักการในศาลาว่าการ จากนั้นก็แบ่งหมาป่าตัวที่สามให้กับครอบครัวอื่น ๆ หลี่ฮูหยินรับเน
“คุณชาย ข้าเองก็อยากกิน”ทางด้านกองไฟ มู่ชิงกำลังมองเนื้อหมาป่าด้วยความอยากกระหาย เขาอยากกินจนน้ำลายไหลหยดย้อย“หรือว่าเราจะไปขอหมอเทวดาน้อยสักหน่อยดีไหม หมอเทวดาน้อยจะต้องให้แน่นอน”“ห้ามไป”อวิ๋นมู่ชำเลืองมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์หมาป่าเหล่านั้นเป็นฝีมือการล่าของซูจิ่งสิง เขาไม่อยากได้อยู่แล้วมู่ชิงกัดธัญพืชแห้งหนึ่งคำ ก่อนจะหันไปเห็นภาพที่ซูจิ่งสิงกำลังฉีกเนื้อป้อนกู้หว่านเยว่พอดี จึงอดถามอย่างหดหู่ไม่ได้“คุณชาย ท่านแน่ใจหรือว่าหมอเทวดาน้อยกับสามีของนางนิสัยไม่ดี ข้าว่าสองคนนั้นเหมือนดั่งกิ่งทองใบหยก นิสัยก็ดี”คุณชายของเขาเองก็ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิง ทำไมถึงได้ตกหลุมรักกู้หว่านเยว่ตั้งแต่แรกเห็นถึงแม้ว่ากู้หว่านเยว่จะเก่งมาก ทักษะการแพทย์ก็สูงแต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่มีสามีแล้ว!“พูดมาก”อวิ๋นมู่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็หันกลับไปมองซูจิ่งสิงและกู้หว่านเยว่ด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่ในใจแต่เมื่อคิดถึงเป้าหมายในการเข้ามาในภูเขาหู่หลางครั้ง ทั้งยังเตือนตัวเองว่าถลำลึกสู่ความสัมพันธ์ของชายหญิง ครั้งนี้เขามีภาระที่ต้องทำ โอกาสที่สกุลอวิ๋นจะได้พลิกกลับมารุ่งเรืองอีก
ฝีเท้าของกู้หว่านเยว่รวดเร็วดุจสายลม นางวิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่ในป่า“โจร” ด้านหลังยังคงวิ่งไล่ตามมาติด ๆ และพยายามเล็งธนูมาที่พวกเขาภูเขาที่โล่งเตียน ไม่มีต้นไม้เป็นอุปสรรค พวกเขาเหมือนกระต่ายน้อยสองตัวที่อยู่ในสายตาของศัตรูแต่กู้หว่านเยว่ไม่ใช่กระต่ายน้อยธรรมดา นางเป็นกระต่ายที่วิ่งเร็วที่สุด ไม่ว่า “โจร” ด้านหลังจะยิงธนูใส่อย่างไร ร่างกายอรชรที่ปราดเปรียวของนางก็ยังสามารถหลบไปซ้ายทีหลบไปขวาทีได้อย่างแม่นยำ“ให้ตายเถอะ แม่นางผู้นี้มีดวงตาด้านอยู่หลังหรืออย่างไร!”ถูซาน “โจร” ที่อยู่ด้านหน้าขยี้หัวอย่างหงุดหงิด หญิงสาวผู้นี้คงจะไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา เพราะนางแบกบุรุษวิ่งเร็วกว่าเหล่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเขา!เมื่อเห็นว่าตัวเองไล่ตามมาหลายลี้แล้วแต่ก็ยังไล่ตามกู้หว่านเยว่ไม่ทัน ถูซานจึงกระตุ้นวิชาตัวเบาอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หยิบมีดเล่มใหญ่เขวี้ยงไปยังแผ่นหลังของกู้หว่านเยว่“ระวัง!”รูม่านตาของซูจิ่งสิงหดลงทันทีแต่เขากลับเห็นกู้หว่านเยว่หันกลับมาอย่างฉับพลันและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย“กล้าลอบโจมตีจากด้านหลังใช่ไหม? เช่นนั้นก็กินลูกเตะข้าหน่อยละกัน!”กล่าวจบ เสี้ย
แต่ซูจิ่งสิงต้องการ นางเชื่อใจเขาโดยจิตใต้สำนึกเพียงแต่ว่าเขาจะใช้ปืนเป็นใช่หรือไม่?หลังจากที่เห็นซูจิ่งสิงคว้าปืนไป เขาได้ทำการเลียนแบบท่าทางของกู้หว่านเยว่แล้วลั่นไกปืน แรกเริ่มเขายังจับไม่ถนัดมือนัก แต่หลังจากยิงปืนออกไปได้สองครั้ง ทุกอย่างก็เข้ามือแม้กระทั่งการเล็งเป้าหมาย เขาก็เล็งมันได้อย่างแม่นยิ่งกว่ากู้หว่านเยว่ปืนหนึ่งนัด ยิงทะลุร่างของโจรกระจอกหนึ่งคนตั้งแต่การไล่ล่าในช่วงแรก ไปจนถึงสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดได้ปรากฏขึ้น พวกโจรเหล่านั้นต่างเริ่มหนีอย่างสุดชีวิตสุดท้ายทุกอย่างก็พลิกผันไปจากเดิม ก่อนหน้านั้นกู้หว่านเยว่เป็นฝ่ายหนีอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า พวกโจรไล่ลามอยู่ด้านหลังตอนนี้กลับกลายเป็นพวกโจรที่เป็นฝ่ายวิ่งหนีอย่างลนลาน ส่วนสองสามีภรรยาก็เดินเอ้อระเหยอยู่รอบ ๆ อย่างสบายอารมณ์พร้อมกับปืนคนละกระบอกอีกทั้งกู้หว่านเยว่ยังพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิด ดูเหมือนว่าโจรกลุ่มนั้นจะมีปัญหาเข้าแล้ว หลังจากที่พวกเขาวิ่งไปได้ไม่นาน ขาทั้งสองข้างก็อ่อนกำลังและล้มลงไปบนพื้น“เก็บชีวิตไว้เถอะ”เมื่อเห็นในกลุ่มที่เหลือเพียงโจรธรรมดาไม่กี่คน ซูจิ่งสิงก็คืนปืนให้กู้หว่านเยว่
นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปหยิบดาบยาวขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบว่าดาบเล่มนี้เข้ากับซูจิ่งสิงมากทีเดียว“ท่านพี่ ดาบเล่มนี้เหมาะกับท่านมาก”“ข้าขอลองหน่อย” ซูจิ่งสิงรับดาบยาวมา ทันทีที่จับดาบไว้ในมือ ก็รู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้หยิบดาบยาวขึ้นมา ฟันไปที่โซ่เหล็กข้างหนึ่งผลปรากฏว่าโซ่เหล็กนั่นขาดทันที“คมกริบ ดาบเล่มนี้เป็นของดีจริง ๆ !”กู้หว่านเยว่ร้องอุทาน เมื่อเห็นว่าซูจิ่งสิงชอบดาบเล่มนี้มาก จึงเสนอว่า“ท่านพี่ ถ้าท่านชอบดาบเล่มนี้ ก็เก็บไว้ข้างกายเถิด”“ตกลง” ซูจิ่งสิงนาน ๆ ทีจะชอบของสักอย่างมากขนาดนี้ตอนที่ทั้งสองคนเพิ่งเข้ามา พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสุสานของใครสักคน แต่หลังจากเดินวนไปรอบ ๆ สุสานใต้ดินแล้ว กู้หว่านเยว่ก็พบว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งเคยอาศัยอยู่ดูสิ ที่ส่วนลึกของสุสานใต้ดิน ยังสามารถมองเห็นโต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะมีกระจกทองแดง ด้านหน้ายังมีกล่องใส่เครื่องประทินโฉมอีกด้วยด้านหลังยังมีเตียงหินอีกหนึ่งเตียง แม้ว่าที่นี่จะเก่าแก่มาก ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น แต่ก็มองเห็นเลือนรางว่าเป็นที่ที่ชายหญิงคู่หนึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่“ท่านพี่
“ต้าหนิว เจ้าทำอะไร?” เอ้อร์โก่วล้มลงกับพื้น โกรธจนหน้าแดงก่ำ“พวกเขาสองคนถูกหินทับตาย มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”ต้าหนิวกำหมัดแน่น เอ่ยถามด้วยความโมโห “หากมิใช่เพราะเจ้าหวาดกลัวเกินไปจนผลักพวกเขาสองคนล้มลง พวกเขาจะถูกหินทับตายหรือไม่ สรุปแล้วก็เป็นเพราะเจ้า”หลังจากที่พวกเขาถูกวังน้ำวนขนาดใหญ่พัดพาเข้ามาในสุสานใต้ดินแห่งนี้ โชคดีที่พวกเขามีเสบียงติดตัวมาบ้าง จึงสามารถประทังชีวิตอยู่ในสุสานใต้ดินได้ระยะหนึ่งแต่เมื่อสองวันก่อน เสบียงของพวกเขาหมดแล้วดังนั้น จึงตัดสินใจส่งคนห้าคนลงไปยังส่วนลึกของสุสานใต้ดินเพื่อหาอาหารถ้าหาอาหารเจอ หรือหาทางออกเจอก็ได้แต่หลังจากพวกเขาเข้าไปในส่วนลึกของอุโมงค์ กลับพบงูหลามยักษ์สีขาวตัวนั้นตอนที่เอ้อร์โก่วหนีเอาตัวรอด เป็นเพราะหวาดกลัวเกินไป เขาจึงผลักเพื่อนสองคนออกไป แล้วรีบวิ่งไปหลบหลังผนังหินก่อน ส่วนเพื่อนสองคนที่ถูกเขาผลักนั้นล้มลงกับพื้น และบังเอิญถูกก้อนหินที่ร่วงลงมาจากด้านบนทับพอดี จึงถูกทับตายคาที่หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว กู้หว่านเยว่ก็มองไปยังเอ้อร์โก่วด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเอ้อร์โก่วหน้าแดงก่ำพลางกล่าวขึ้น “ข้าไม่ควรหนีเอาช
กู้หว่านเยว่กะพริบตา นางก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหนเหมือนกัน แต่พอเห็นดวงตาของงูตัวนั้นแล้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกซูจิ่งสิงก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ เขายังรู้สึกสนิทสนมกับงูหลามยักษ์ตัวนี้อย่างน่าประหลาด เมื่อเห็นว่างูหลามยักษ์สงบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว และไม่ทำร้ายใครอีก กู้หว่านเยว่จึงเก็บขลุ่ยเข้าไปในมิติอีกครั้งจากนั้นก็กระโดดลงมาจากผนังหิน มาถึงข้าง ๆ งูหลามยักษ์ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็โบกมือเก็บงูหลามยักษ์เข้าไปในมิติ“เก็บมันเข้าไปในมิติก่อน รอออกไปข้างนอกแล้วเราค่อย ๆ ศึกษา”“ก็ดี”“ช่วยด้วย ช่วยด้วย มีใครช่วยพวกเราได้บ้าง...”ทันใดนั้นก็มีเสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากมุมหนึ่ง ทั้งสองคนตามเสียงไป พบว่าที่มุมนั้นมีก้อนหินขนาดใหญ่วางขวางอยู่ข้างหน้า เสียงนั้นดังมาจากข้างหลังก้อนหินกู้หว่านเยว่โบกมือ เก็บก้อนหินนั้นเข้าไปในมิติโดยตรง จากนั้น คนที่ซ่อนอยู่หลังก้อนหินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนเหล่านี้หิวจนผอมโซ แทบจะจำหน้าตาไม่ได้แล้ว พอเห็นทั้งสองคนก็หวาดกลัว จากนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยพวกเรา ขอบคุณ ขอบคุณมาก”กู้หว่านเย
โดยทั่วไปแล้ว สถานที่ที่มีสัตว์ประหลาดคอยเฝ้าอยู่ มักจะมีสมบัติและดูจากแผนที่แล้ว ที่นี่เป็นเพียงทางเข้าสุสานใต้ดินเท่านั้น ยังไปไม่ถึงส่วนลึกของสุสานใต้ดินเลยด้วยซ้ำในเมื่อได้แผนที่มาแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ไม่มีทางกลับไปมือเปล่าแน่นอน ด้วยนิสัยของนางแล้ว จะต้องกวาดล้างสมบัติในสุสานใต้ดินแห่งนี้ให้หมดเกลี้ยงถึงจะพอใจ“ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้า”ซูจิ่งสิงไม่ได้ปฏิเสธเพราะเขารู้สึกได้ว่า นับตั้งแต่เข้ามาในสุสานใต้ดิน ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังเรียกหาเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ บางทีเมื่อเดินไปถึงส่วนลึกของสุสานใต้ดิน เขาอาจจะไขปริศนานี้ได้หนานหยางอ๋องไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ตนพูดไปมากมายขนาดนั้น สองสามีภรรยาคู่นี้ยังจะคิดเข้าไปตายอีก ทำเอาเกือบจะกระอักเลือดออกมา“ท่านอ๋อง พระชายา ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าข้างในนั้นมีสัตว์ประหลาด พวกท่านเข้าไป จะพบกับอันตราย”กู้หว่านเยว่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน ข้าก็ไม่กลัวหรอก และต่อหน้าข้า พวกมันก็เทียบข้าไม่ติด”ล้อเล่นน่า สัตว์ประหลาดอะไรจะน่ากลัวเท่านางกันล่ะ?ต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดพวกนั้น เมื่อเห็นน
กู้หว่านเยว่หยิบน้ำเชื่อมออกมาขวดหนึ่งแล้วยื่นให้เขา พร้อมกับอธิบาย“ข้าและท่านพี่ได้ยินว่าท่านเกิดเรื่อง จึงเร่งเดินทางมาที่นี่ ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่?”หนานหยางอ๋องได้ยินดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ประสานมือคารวะทั้งสองคน“ขอบคุณท่านอ๋องและพระชายาที่ยังเป็นห่วงข้า”กู้หว่านเยว่เห็นเขามีสีหน้าอ่อนเพลีย จึงรีบเอ่ยขึ้น “รีบดื่มน้ำเชื่อมนี่เถิด จะช่วยให้ท่านฟื้นฟูกำลังได้”“ตกลง”หนานหยางอ๋องเปิดขวดน้ำเชื่อมอย่างเชื่อฟัง แล้วดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่น้อยเลยจริง ๆ จึงรีบดื่มน้ำเชื่อมที่เหลือจนหมดขวดในขณะที่หนานหยางอ๋องดื่มน้ำเชื่อมอยู่นั้น กู้หว่านเยว่ก็ไปดูชาวประมงคนอื่น ๆ พบว่าชาวประมงเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นลมเพราะความหิวชุนจวี๋รีบวิ่งเข้ามาดู แต่หลังจากที่ตามหาหนึ่งรอบแล้ว ก็ไม่พบสามีของนาง“พี่ต้าหนิว เหตุใดจึงไม่เห็นพี่ต้าหนิวเลยล่ะ?”ต้าหนิวเป็นคนกลุ่มแรกที่ตกลงไปในวังน้ำวน ตามหลักแล้ว เขาก็น่าจะอยู่ที่นี่ แต่เหตุใดจึงไม่พบเขาเลย?ชุนจวี๋ร้อนใจจนแทบบ้าเมื่อเห็นชาวประมงเหล่านี้ นางก็รู้สึกดีใจอย่างมาก คิดว่าในที่สุดก็ได้พบกับสามีของนางแล้ว แ
กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้ามาจับปลาคนเดียวหรือ เจ้ามีสามีด้วยมิใช่หรือ?”พูดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของชุนจวี๋ก็น้ำตาคลอ“เขาหายตัวไปสามวันแล้ว เมื่อคืนข้าแอบออกมาตามหาเขา”ชุนจวี๋พูดพลางร้องไห้ “คนอื่นบอกว่าเขาตายแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อข้าแอบพายเรือลำเล็กมาที่ใจกลางทะเลสาบคนเดียว แล้วก็รู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลกำลังดึงข้าอยู่ ข้ายังไม่ทันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกดึงลงไปพร้อมกับเรือ”นางเงยหน้าขึ้น “พอข้าตื่นขึ้นมา ก็เห็นพวกท่านทั้งสองยืนอยู่ตรงหน้าข้า”ชุนจวี๋นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบมองไปรอบ ๆ “สามีของข้าอาจจะตกลงมาด้วย พวกท่านเห็นเขาแถวนี้บ้างหรือไม่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า “พวกเราเห็นแค่เจ้าคนเดียว”ชุนจวี๋หัวใจสลายในทันที“แต่พื้นที่ข้างล่างนี้กว้างมาก น่าจะเป็นสุสานใต้ดิน พวกเราลองหาทางเข้าสุสานใต้ดินดู พวกเขาลงมานานแล้ว อาจจะเข้าไปในสุสานใต้ดินนานแล้วก็ได้”กู้หว่านเยว่อธิบาย เมื่อครู่นางให้ระบบส่งแผนที่ของสุสานใต้ดินมาให้นางแล้ว“ข้าจะไปหาพร้อมกับพวกท่าน”น้ำเสียงที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยของชุนจวี๋ ทำให้กู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เจ้าไม่กลัวหรือ? ในส
“อืม”เขาตัดสินใจกัดฟันถอดเสื้อผ้าออก แต่พอถอดถึงกางเกง กู้หว่านเยว่ก็หันหน้าหนี ทำให้ซูจิ่งสิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเปลี่ยนเป็นกางเกงสะอาดตัวใหม่ ไม่ได้ใส่เสื้อ รอให้กู้หว่านเยว่ทายาให้“ผู้ชายอย่างท่านนี่ เหตุใดทั้งตัวมีแต่กล้ามเนื้อแบบนี้ล่ะ?”กู้หว่านเยว่ทนไม่ไหว จึงลูบกล้ามท้องของเขา ทำเอาชายหนุ่มตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีถ้าเขาเดาไม่ผิด ที่นี่น่าจะเป็นห้องนอนในมิติของกู้หว่านเยว่สินะทั้งห้องเป็นสีชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของหญิงสาวอบอวลอยู่เมื่อได้กลิ่นหอมนั้น มองไปที่เตียงใหญ่ซึ่งอยู่ด้านหลังกู้หว่านเยว่ ใบหูของเขาก็ร้อนผ่าวกู้หว่านเยว่หัวเราะชอบใจ ถ้าไม่นึกถึงภารกิจสำคัญที่จะต้องทำเดี๋ยวนี้ นางต้องลากท่านพี่มากลิ้งบนเตียงสักหน่อยหลังจากฆ่าเชื้อโรคที่บาดแผลอย่างง่าย ๆ และโรยยาจินชวงสมานแผลแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“น่าจะเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่แผลนี้ไม่ลึกมาก แค่ช่วงสองสามวันนี้ระวังอย่าให้โดนน้ำก็พอ”“ขอบคุณน้องหญิง”ซูจิ่งสิงใส่เสื้อ กู้หว่านเยว่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย มองไม่เห็นกล้ามท้องแล้วรอจนกระทั่งซูจิ่งสิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กู้หว่านเยว่ก็เอ่
“หากถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวน ยังมีโอกาสรอดชีวิตหรือไม่?”เมี่ยชิงหว่านเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน พอเห็นกู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางก็ทรุดตัวลงกับพื้น ดวงตาแดงก่ำกู้หว่านเยว่ดึงซูจิ่งสิงไปด้านข้าง จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย “ท่านพี่ ใต้วังน้ำวนนั่นอาจจะมีของบางอย่าง”เมื่อครู่ระบบบอกกับนางว่า ใต้วังน้ำวนอาจจะมีสมบัติอยู่กู้หว่านเยว่รู้สึกคันไม้คันมืออีกแล้ว“ข้าตั้งใจว่าจะไปดู ถ้าเห็นชาวประมงที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะพากลับมา”ซูจิ่งสิงเห็นดวงตาของนางเป็นประกาย ก็รู้ว่านางอยากไปมาก ในเมื่อน้องหญิงอยากไป เขาก็จะไม่ห้ามแน่นอน“เราสองคนไปด้วยกัน”“ก็ได้”อย่างมากก็หากเจออันตราย ก็จะลากซูจิ่งสิงเข้าไปหลบในมิติด้วยกันเมื่อตัดสินใจได้แล้ว กู้หว่านเยว่ก็หันไปบอกทุกคน“พวกเจ้ารอคำสั่งอยู่บนเรือใหญ่ หากไม่มีคำสั่งจากข้า ห้ามใครพายเรือเด็ดขาด ข้าและท่านอ๋องจะนั่งเรือเล็กไปสำรวจที่ใจกลางทะเลสาบก่อน”คนที่นำมาล้วนเป็นองครักษ์จันทรา ไม่กลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังชิงเหลียนและฉู่เฟิงรีบไปที่ท้ายเรือ จากนั้นค่อย ๆ วางเรือลำเล็กไว้บนผิวน้ำ“นายท่าน ฮูหยิน พวกท่านต้องระวังตัวด้วย” ชิง
“นี่คือเรือใหญ่ของหมู่บ้านเรา สามารถจุคนได้มากกว่ายี่สิบคน ด้านท้ายเรือยังมีเรือเล็กอีกสองลำ เพื่อความสะดวกในการให้คนลงไปตรวจสอบได้ทุกเมื่อ”ขณะที่หัวหน้าหมู่บ้านแนะนำ กู้หว่านเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลง เหยียบบันไดขึ้นไปบนเรือใหญ่ทันที“หว่านเยว่!”แววตาของซูจิ่งสิงทั้งเอ็นดูและจนปัญญา“เจ้าห้ามไปที่ทะเลสาบ ตกลงกันแล้ว”“เราเป็นสามีภรรยากัน”กู้หว่านเยว่กะพริบตา กล่าวอย่างซุกซน“หากมีอันตราย ก็จะได้ตายไปพร้อมกัน”ซูจิ่งสิง ...ระหว่างพูด กู้หว่านเยว่ก็ขึ้นไปบนเรือแล้ว พร้อมกับเรียกให้ทุกคนขึ้นมา ซูจิ่งสิงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางเหาะขึ้นไปบนเรือ แล้วโอบเอวนางไว้“ชิงหว่าน”สายตาของเผยเสวียนฉายแววไม่เห็นด้วย ทำให้เมี่ยชิงหว่านโกรธมาก“คนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรคือท่านพ่อของข้า หากท่านรักตัวกลัวตายก็ไม่ต้องไป แต่ข้าต้องไปให้ได้”พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วก้าวขึ้นเรือไปเผยเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นตามไปด้วยสีหน้ามืดมนเนื่องจากมาตรวจสอบหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ซูจิ่งสิงจึงนำองครักษ์ที่พายเรือเป็นมาล่วงหน้า หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ซูจิ่งสิงก็สั่งให้องครักษ์พายเ