อาณาจักรหลิวเฟิง แผ่นดินนี้ไม่ใช่ดินแดนที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้จัก ที่นี่ไม่เคยปรากฎขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์มาก่อน ถูกครอบครองด้วยผู้ฝึกพลังยุทธ์
อาณาจักรหลิวเฟิงแบ่งออกเป็นสี่แคว้นใหญ่ แคว้นตงเยว่ แคว้นจวิน แคว้นหลิวอวิ๋น และแคว้นเหลียน แต่ละแคว้นมีเมืองในเขตปกครองที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นใหญ่อีกแปดเมือง โดยชื่อเมืองจะตั้งตามจวนตระกูลของเจ้าเมือง ซึ่งตระกูลหลี่เป็นตระกูลเจ้าเมืองหลี่และยังเป็นเมืองในปกครองของแคว้นหลิวอวิ๋น แผ่นดินของอาณาจักรหลิวเฟิงมีรูปลักษณ์เป็นวงกลม ตำแหน่งเขตแดนทั้งสี่แคว้นจะกั้นด้วยป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย ใจกลางอาณาจักรปกคลุมไปด้วยป่าทมิฬกาลและมีเทือกเขาลับแลที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรหายากและอันตราย เทือกเขาแห่งนี้ยังไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปแล้วได้ออกมาเลยสักคน ล้วนแต่สังเวยชีวิตที่ป่าแห่งนั้นทั้งสิ้น
ยามลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกแห่งใหม่ครั้งแรกหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ในจวนเจ้าเมือง เพียงแต่เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งถูกฮูหยินใหญ่ขับไล่ออกมาจากจวนให้มาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆ ทางฝั่งตะวันออกใกล้กับป่าอัศดงซึ่งคั่นอยู่ระหว่างกลางแคว้นหลิวอวิ๋นและแคว้นจวิน เล่าลือกันว่าป่าแห่งนี้มีสัตว์อสูรขั้นสูงอาศัยอยู่ หลายพันปีมานี้จึงไม่มีใครย่างกลายเข้าไปในเขตหวงห้ามแห่งนั้น เห็นได้ชัดว่าฮูหยินใหญ่คงอยากให้นางตายเร็วขึ้น นางจำได้ว่าคืนนั้นฝนตกหนักทั้งคืนราวกับฟ้ารั่ว เด็กสาวอายุสิบสองปีถูกเนรเทศออกมาท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำ ถูกกล่าวหาว่าสังหารมารดาตัวเอง ฝนตกหนักสามวันสามคืน ร่างกายที่เดิมอ่อนแออยู่แล้ว ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ปรโลก นางล้มป่วยอยู่บนเตียงราวครึ่งปี
หลี่หลิงเฟิ่งมาอยู่โลกนี้สามปีแล้ว ช่างบังเอิญว่านางมีชื่อเดียวกันกับเจ้าของร่างเดิม แตกต่างก็ตรงคำว่าหลิง*เท่านั้น บิดาที่รักบุตรคนใดจะตั้งชื่อให้ลูกสาวตัวเองไร้ค่าเช่นนี้
บิดาของนางคือหลี่จ้ง เจ้าเมืองตระกูลหลี่ทั้งยังมีศักดิ์เป็นน้องชายของเสนาบดีแห่งแคว้นหลิ๋วอวิ๋นอีกด้วย มารดาที่จบชีวิตตัวเองของนางนั้นคือชิงหลัว เป็นอนุภรรยาลำดับที่สามที่หลี่จ้งซื้อตัวมาจากหอนางโลม ส่วนนางคือคุณหนูห้าผู้ไร้พลังยุทธ์เป็นตัวโง่เขลาประจำตระกูลหลี่
ณ อาณาจักรหลิวเฟิงแห่งนี้ เด็กทุกคนที่มีพรสวรรค์สามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ ตอนกำเนิดจะมีปรากฏการณ์แสดงถึงพื้นฐานของพลังที่แข็งแกร่งแตกต่างกันไป ทว่าคุณหนูห้านั้นกลับสงบนิ่งมีเพียงแสงสีขาววาบผ่านเท่านั้น พออายุสามขวบปีเด็กทุกคนจะต้องเข้ารับการทดสอบพลัง เพื่อกำหนดชะตากรรมของชีวิตและวิถีการฝึกฝนที่ถูกต้อง ในวันนั้นเองที่ทุกคนทั่วแคว้นล้วนรับรู้ว่านางเป็น ตัวไร้ค่า ที่ไม่มีพรสวรรค์สักอย่าง! และเป็นการขีดเขียนจุดเริ่มต้นโศกอนาฏกรรมของชีวิตที่บัดซบของนาง
ในดินแดนแห่งนี้มีการจัดลำดับขั้นพลังยุทธ์ไว้อย่างชัดเจน เพื่อประเมินระดับความแข็งแกร่งของแต่ละคน อันได้แก่ ขั้นกำเนิดใหม่ ขั้นหลอมรวม ขั้นนิลกาญจณ์ ขั้นพิภพ ขั้นนภา ขั้นปราชน์ และขั้นราชันย์ ในแต่ละลำดับยังจัดระดับพลังความแข็งแกร่งของร่ายกายไว้เช่นกัน คือ ระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีพลังธาตุที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ ลำดับพลังธาตุที่แข็งแกร่งที่สุด คือ ธาตุน้ำแข็ง รองลงมาคือธาตุพลังทั่วไป ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน และธาตุลม สีของพลังยุทธ์จะสามารถระบุธาตุของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นอย่างดี เช่นพลังยุทธ์สีแดงคือผู้ฝึกยุทธ์ธาตุไฟ แต่พลังของหลี่หลิงเฟิ่งคือสีขาวที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในดินแดนแห่งนี้ ผู้คนจึงจัดให้นางอยู่ในลำดับผู้ไร้พลังยุทธ์
หลี่หลิงเฟิ่งคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะจัดการกับข้อมูลในหัวที่นางได้ศึกษามาเป็นเวลาสามปี “จากที่ข้าสังเกต พลังยุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งสามารถควมคุมสัตว์อสูรได้ง่ายขึ้น ยามต่อสู้กับศัตรู ยิ่งสัตว์อสูรแข็งแกร่ง อานุภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง สัตว์อสูรทั่วไปนั้นหาง่าย เข้าไปจับเอาในป่าก็ได้มาแล้ว ทว่าผู้ควบคุมสัตว์อสูรนี่สิถึงจะเป็นได้ยากยิ่ง”
“น่าเสียดายที่ร่างนี้ฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ ต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหน อยู่ใกล้ป่าอสูรนี่มากเท่าไหร่ ข้าก็เข้าไปจับพวกมันออกมาไม่ได้อยู่ดี นี่พระเจ้าเล่นตลกอะไรกัน ส่งข้ามาที่แห่งนี้แต่ทำไมไม่มีสกิลอะไรติดตัวมาบ้างเลย” ใช่ว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่เคยฝึกพลังยุทธ์เลย แต่ทุกครั้งที่ฝึกจะต้องเจ็บปวดที่จุดตันเถียนเสมอ ราวกับว่ามีสิ่งขวางกั้นไม่ให้พลังกายภายในเล็ดลอดออกมา
วันนั้นที่นางไม่ขัดขืนการจัดการของฮูหยินใหญ่เป็นเพราะนางกำลังสับสนกับสภาพแวดล้อมที่แปลกตา แต่นอกเหนือจากนั้นนางต้องการเวลาที่จะศึกษาดินแดนแห่งใหม่ และอาจเป็นเพราะโชคดีที่สถานที่แห่งนี้ใกล้กับป่าอัศดงที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย
ไม่แปลกใจเลยที่นางเป็นที่รังเกียจของทุกคน บิดาไม่แยแสความเป็นอยู่ของนาง ทุกคนค่อยๆ ลืมเลือนไม่สนใจว่านางจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ มารดาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในเรือน ไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป สุดท้ายก็คลุ้มคลั่งปลิดชีพตัวเองและบุตรสาวอย่างน่าเวทนา
คุณหนูห้าผู้น่าสงสารที่นางบังเอิญเก็บชีวิตมาแทนนี้ เมื่อก่อนจะเป็นคนไม่มีค่าอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อนางได้รับโอกาสให้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง จะเลวร้ายแค่ไหนคนอย่างนางก็ไม่มีวันยอมแพ้เป็นแน่
รอยยิ้มร้ายกาจพาดผ่านแววตา ชาติก่อนนางเคยฝึกฝนอย่างหนัก ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวของนางก็ส่งนางไปให้กับรัฐบาลแล้ว ต่อให้ชาตินี้นางไม่มีพรสวรรค์ก็ต้องสร้างให้มันมีให้ได้! ใครกล่าวกันว่าต้องเป็นแค่ผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถฝึกพลังยุทธ์ได้ สักวันนางจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ตอนทะลุมิติเข้ามาวันแรก นางยังจำความรู้สึกที่ถูกทารุณกรรมนั้นได้ทุกอย่าง ต่อให้นางไม่มีความผูกพันกับเจ้าของร่างเดิม แต่นางก็เป็นคนรู้คุณคน ความเจ็บแค้นทุกอย่างนางจะช่วยชำระให้เอง
ทุกเย็นนางจะเดินแถวๆ ชายป่าอัสดงเผื่อสักวันจะได้เจอสัตว์อสูร พลางสำรวจพื้นที่รอบนอกปากทางเข้าป่าไปพลางๆ
หลี่หลิงเฟิ่งก้มหน้าถอนหายใจแผ่วเบาอย่างปลงตก นางมาอยู่ที่นี่ก็หลายปีแต่ไม่มีความคืบหน้าบ้างเลย ปรับตัวเข้ากับโลกแห่งใหม่ได้สมบูรณ์แล้วแต่นางยังไม่มีหนทางฝึกพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง อย่าว่าแต่ให้นางฝึกเลย เห็นทีเจ้าของร่างเดิมคงอาศัยครูพักลักจำมาแอบฝึกอย่างมั่วๆ สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่ต่างอะไรกับลงทุนไปก็สูญเปล่า ไม่ได้กำไรตอบแทน ซ้ำยังต้องเจ็บตัวหรอกหรือ
ตูม!
เสียงกึกก้องที่ดังแว่วมาแต่ไกล หลี่หลิงเฟิ่งออกจากโหมดความคิด เงยหน้าขึ้นทอดสายตาไปในป่าทึบ แววตาฉายแววครุ่นคิด พลันเบิกตากว้าง แสงสีขาวนั่น!
แสงสีขาวพุ่งวาบผ่านสายตานางไป ไม่ทันได้ฉุกคิดสองเท้าก็วิ่งตามแสงนั่นไปทันที แสงนั่นช่างคล้ายกับแสงที่นางเห็นก่อนลาโลกในชาติก่อนมาก ไม่ได้การ ขืนวิ่งช้ากว่านี้ต้องไม่ทันแน่
แต่ต่อให้หลี่หลิงเฟิ่งวิ่งเร็วแค่ไหนก็ยังไม่ทันอยู่ดี สุดท้ายแสงนั่นก็หายไปจากสายตานาง
หลี่หลิงเฟิ่งยืนหอบหายใจ มองทิวทัศน์รอบด้าน ป่าอัศดงเป็นที่เล่าลือกันว่ากว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับสองของแผ่นดินนี้ พื้นที่สลับซับซ้อน และเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย
ทว่า นางมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้าเหล่านี้ เสียงสิงสาราสัตว์ตัวเล็กตัวใหญ่แข่งกันร้องลั่นผืนป่า หลี่หลิงเฟิ่งเบะปาก อย่างไรก็ตาม คำเล่าลือมักกล่าวเกินจริงเสมอ
ทว่าตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องแหลมของนกกรีดร้องเข้ามาใกล้ เปลวไฟร้อนระอุพ่นตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่ง ทำเอานางร้อนราวกับถูกไฟแผดเผาทั้งตัว ยามนี้สัตว์ตัวอื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงต่างออกวิ่งกันคนละทิศคนละทาง หนีตายด้วยกลัวพลังอันน่าเกรงขามนี้ พากันกรีดร้องเสียงดังระงม
นี่มันนกประหลาดอะไร พ่นไฟได้ หญิงสาวอดพึมพำออกมาอย่างเสียไม่ได้
“สัตว์อสูร พ่นไฟได้ นก วิหคเพลิง!” ดวงตาของนางเหลือกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “แย่แล้ว!” นี่ข้าไปทำอะไรให้พระเจ้าองค์ไหนโกรธหรือนี่ ถึงได้ซวยขนาดนี้
ก่อนที่วิหคเพลิงจะโฉบลงมาถึงตัวนางนั้น ไฟที่พ่นออกมาอย่างน่าหวาดผวาทำให้หัวใจของนางเต้นระรัว ความหวาดกลัวฉายชัดออกมาในแววตา ส่งผลให้สมองของนางไม่ทำงาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสั่งให้สองขาวิ่งหนีในทันที
เสียงกรีดร้องของวิหคเพลิงไล่มาตามหลัง เสียงนั้นเข้ามาใกล้นางเรื่อยๆ หลี่หลิงเฟิ่งเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น นี่คงเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดในชีวิตของนางแล้ว ในใจนางหดหู่ยิ่งนัก ความเร็วของเท้าไหนเลยจะสู้ปีกบิน สักพักคงโดนตามทันแน่
ไม่ได้! ต้องคิดหาทางสลัดมันออกไปก่อน แต่จะทำอย่างไรดี
มันไล่ตามหลังหญิงสาวอยู่ข้างหลังไปทั่วทุกทิศ ต้องยอมรับว่าการกระเสือกกระสนอยากมีชีวิตอยู่ของนางทำให้ความเร็วของฝีเท้านางตอนนี้ราวกับเหาะได้
เจ้าวิหคเพลิงไล่ตามหญิงสาวอยู่นานยังไม่มีวี่แววจะถึงตัวนางสักที ก็เริ่มหงุดหงิด มันกระพือปีกขึ้นลงด้วยความไม่พอใจที่จับมนุษย์ตัวเล็กๆ นี้ไม่ได้
แรงลมจากการกระพือปีกของมันสั่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งตัวลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง หลังของนางกระทบกับลำต้นไม้อย่างแรง หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกราวกับกระดูกแผ่นหลังแหลกละเอียด หน้าอกเหมือนถูกของหนักๆ ทุ่มใส่ รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก มือข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างกุมหน้าอก ลำคอของนางฝืดเฝื่อน เลือดสดๆ ทะลักออกจากปากโดยไม่รู้ตัว
“อึก”
วิหคเพลิงไล่ตามมาอยู่เบื้องหน้านาง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที ฝืนทรงตัวให้มั่น หันหลังออกวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่
หลี่หลิงเฟิ่งพลันท้อแท้ เสียแรงที่บำรุงร่างกายนี้มานานปี ร่างกายก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม โดนโจมตีครั้งเดียวก็เกือบตายแล้ว
นางพยายามวิ่งสุดกำลัง แต่ก็รู้สึกว่าช่างไร้ประโยชน์นัก ไม่นานเจ้าวิหคเพลิงก็ตามนางทัน
หญิงสาวหยุดวิ่งหันหน้ากลับไปมองมัน พลันเห็นแววตาสนุกสนานที่มันสามารถต้อนเหยื่อให้หมดทางหนี หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองมันอย่างหงุดหงิด แต่ในใจกลับหนาวยะเยือก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า นางพยายามคิดหาทางหนีสุดกำลัง แต่ดูเหมือนจะเกินกำลังของนางในตอนนี้
ขณะจ้องตากันอยู่นั้น เท้าของหญิงสาวค่อยๆ ขยับไปทางด้านข้างทีละนิด ก่อนหน้าที่นางจะหยุดวิ่งสายตาเหลือบเห็นหน้าผาสูงชันอยู่ด้านข้าง ด้านหน้ารายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ หลี่หลิงเฟิ่งปราดตามองตัวช่วยที่จะทำให้นางรอดชีวิตอย่างรวดเร็ว
ย่อมเป็นเช่นนั้น! พระเจ้าย่อมไม่ทอดทิ้งนาง สวรรค์ยังคงยืนอยู่ข้างนาง
หัวใจของนางเต็มตื้นด้วยความดีใจ นางมีทางรอดแล้ว ไม่รอช้า นางวิ่งไปคว้าเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาข้างต้นไม้อย่างชำนาญ นางใช้มือเท้ายันตัวเองโหนกลางอากาศไปอย่างว่องไว
แต่เหมือนนางจะลืมบางอย่างไป
ฟู่…
โดยไม่คาดคิดเถาวัลย์แห่งความหวังสุดท้าย พังทลายลงเพราะถูกเผาใหม้จากไฟที่พ่นออกมาจากปากของวิหคเพลิง
บัดซบ!
หลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้ามองขึ้นไป พลันเห็นเงาสีดำพุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นรูปร่างชัดเจนได้ นางหัวเราะเย้ยหยันให้กับความอ่อนแอและไร้ความสามารถของตนเอง หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม อย่างไรข้าคงไม่อาจมีชีวิตรอดได้อีกแล้ว เสียดายก็แต่ด่วนจากไปขณะที่ยังไม่ได้วางแผนครองแผ่นดินนี้เลย
ฉึก!
‘อา เจ็บจังเลย’
ความเจ็บปวดรุนแรงพุ่งเข้าสู่หน้าอกซ้าย กรงเล็บเท้าของเจ้าวิหคเพลิงจิกลงมาราวกับกระบี่คมที่แทงทะลุร่างของนาง เจ็บปวดจนร้องไม่ออก สติของนางค่อยๆ ดับวูบ จมดิ่งลงไปเบื้องล่างหุบเหวลึกหมื่นจั้ง
ชั่วขณที่หลี่หลิงเฟิ่งกำลังจะหมดสติไปนั้นเอง นางราวกับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมานของวิหคเพลิงดังสะเทือนเลื่อนลั่นก้องไปทั่วผืนป่า รู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวบางอย่างพุ่งออกมาจากอกของนางอย่างต่อเนื่อง
สักพักพลันเปลี่ยนเป็นกระแสความเย็นสายหนึ่งห่อหุ้มตัวนางเอาไว้ เย็นสบายเหมือนสายลมยามวสันต์ ความเจ็บปวดตรงหน้าอกไม่รุนแรงเหมือนตอนแรกอีกต่อไป พลังอันกล้าแกร่งส่งผลให้หลี่หลิงเฟิ่งถึงพื้นเบื้องล่างอย่างปลอดภัยก่อนที่มันจะค่อยๆ หายวับไป
*หลิง คือ 玲 เสียงก้องกังวานคล้ายเสียงเคาะหยก แทนความน่ารัก น่าเอ็นดู ส่วน 零 ความหมายคือศูนย์ ไม่มีค่า
แสงจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว บริเวณรอบด้านปกคลุมไปด้วยความมืดมิด คล้ายว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ก็ราวกับผ่านไปเนิ่นนานเช่นเดียวกัน เรื่องทั้งหมดคล้ายดั่งความฝันตื่นหนึ่งของนาง ถ้าหากนางไม่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ที่ดังอยู่ในหัวปลุกให้นางตื่นขึ้นมาตอนนี้หลี่หลิงเฟิ่งค่อยๆ ลืมตาช้าๆ แวบแรกที่เห็นก็คือสถานที่อันเวิ้งว้างและแห้งแล้งเหมือนทะเลทราย แต่ว่ามีขนาดเล็กประมาณห้องเก็บฟืนในเรือนของนาง ใกล้ๆ นางมีต้นไม้เหี่ยวเฉารอวันตายอยู่ต้นหนึ่งข้างโขดหิน ถัดไปอีกไม่ไกลมีบ่อน้ำ เอ่อ...ไม่ควรเรียกว่าบ่อ เรียกมันว่าแอ่งจะเหมาะสมกว่านี่...นี่คือก้นหุบเหวอย่างนั้นหรือ ช่างแตกต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง หรือว่าตอนนี้นางเป็นวิญญาณอยู่ในปรโลกกันนางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางโดนวิหคเพลิงโจมตีที่หน้าอก แต่ตอนนี้นอกจากไม่เจ็บปวดแล้ว บาดแผลฉกรรจ์ก็หายไปด้วย ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าไม่ติดตรงที่นางเห็นรอยเสื้อขาดตรงอกและรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ตามตัว“นายท่าน ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทรายและท่านยังไม่ตาย จิตของท่านแค่เข้ามาในมิติ ภายนอกจะดูเหมือนว่าท่
วันเวลาไม่คอยท่า ในเมื่อมีหนทางเปิดให้นางเดินแล้วมีหรือคนอย่างนางจะไม่เลือกเดิน หลี่หลิงเฟิ่งกัดผลจิตวิญญาณพร้อมกับวักน้ำทิพย์ในแอ่งขึ้นมาดื่มหนึ่งอึกจู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายก็ถาโถมเข้ามาใส่ร่างของนางราวกับมีดนับพันเล่มเฉือนเนื้อนางออกเป็นชิ้นๆ กระดูกของนางราวกับถูกค้อนทุบจนแหลกละเอียด นอกจากความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านี้แล้ว นางยังรู้สึกถึงพลังรุนแรงสองขุมต้องการจะทะลักทะลวงออกมาจากอก ทั้งร้อนรุ่มทั้งเย็นสบายช่างทุกข์ทรมานจริงหนอ นางอยากละทิ้งความตั้งใจที่มีแต่เดิม แต่ก็รู้ถึงผลแห่งความล้มเหลวว่าจะเป็นอย่างไรหลี่หลิงเฟิ่งรู้ดี ถ้าพลาดโอกาสในครั้งนี้นางก็คงเป็นได้แค่เศษสวะไปชั่วชีวิต ในเมื่อนางเลือกแล้วว่าจะไม่ยอมเป็นตัวไร้ค่าอีกต่อไป ก็ได้แต่กัดฟันทนสู้กับมัน“จะอย่างไรข้าก็ต้องทน เมื่อผ่านจุดนี้ไปได้ อยากจะไปจะอยู่ที่ใดก็ไม่มีใครขวางข้าได้ทั้งนั้น” หลี่หลิงเฟิ่งตัดสินใจนั่งสมาธิทันที เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่าง ทั้งยังรู้สึกเหมือนธาตุไฟเข้าแทรก พลังสองขุมนั้นกำลังปะทะกันอย่างดุเดือดภายในกายของนาง นิ้วทั้งสิบจิกลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบ นางพยายามประคองสติตนเอง กดขุมพลังที่ร้อนร
ผลจากการปลดผนึกและเลื่อนระดับขั้นพลังยุทธ์ ทำให้ร่างกายของนางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ความรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงง่ายจากการขาดสารอาหารมานานปี กลับไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว ตลอดทั้งร่างเต็มแน่นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ผิวพรรณจากที่เคยซีดหมองกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตาแต่เดิมใบหน้าของเด็กน้อยมีความคล้ายคลึงกับใบหน้าของนางในชาติก่อนอยู่ประมาณเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้นางค้นพบว่าใบหน้านี้ไม่เพียงคล้ายนางเต็มสิบส่วนแต่ยังอ่อนเยาว์เปร่งปรั่งนวลเนียนกว่าเดิมหลายเท่าหลี่หลิงเฟิ่งกลับเข้าไปสำรวจในมิติอีกครั้ง นางสัมผัสได้ว่ามิติของนางมีการเปลี่ยนแปลงทันใดนั้นมุมปากของนางยกยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ เป็นดังคาด มิติมายาสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของผู้ครอบครอง พื้นที่จากเดิมที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายค่อยๆ ฟื้นฟู ถึงจะแค่นิดเดียวแต่ก็เพียงพอให้นางกู่ร้องในใจได้แล้วไหนจะพื้นที่ที่ขยายใหญ่ขึ้นอีกล่ะการค้นพบครั้งนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งแทบคลั่ง“เพราะมันดีแบบนี้สินะ ผู้ฝึกพลังยุทธ์ธาตุมิติมายาถึงได้มีน้อยยิ่งกว่าขนนก ไม่รู้ว่าเพราะว่าหายากอยู่แล้ว หรือถูกตามไล่ล่าสังหารเพราะพรสวรรค์ที่โดดเด่นกันแน่” หลี่หลิง
ด้วยความเมื่อยล้าจากการอยู่ในป่ามาหลายวันทำให้นางนอนหลับเป็นตายไปหนึ่งวันเต็ม เนื่องจากอาการแสบท้องเพราะอดอาหารปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งลุกนั่งจากเตียงก็เหลือบเห็นพวกเสี่ยวเซียงทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างประตู หญิงสาวจึงเอ่ยเรียกอย่างเนิบๆ“เสี่ยวเซียง เสี่ยวเฉิน” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้านาย ร่ายกายทั้งสองก็สะดุ้งทันที“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องอย่างหวาดๆ“พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ข้าได้ดุด่าพวกเจ้าซักคำหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งคร้านจะสนใจกับนิสัยพวกนาง“คุณหนูเจ้าขา บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะท่านออกจากป่าอัศดงมาครบสามสิบสอง ที่นั่นอันตรายมากนะเจ้าคะ มีสัตว์อสูรดุร้ายเต็มไปหมด” เสี่ยวเซียงคุกเข่าคลานเข้ามาจับขาหลี่หลิงเฟิ่งแน่น ก้มหน้าหงอยๆ ยอมรับความผิด“เจ้าคิดว่าข้าจะออกมาไม่ได้ซะมากกว่า ข้าก็เดินออกมาน่ะสิ” หลี่หลิงเฟิงประหลักปะเหลือกใส่เสี่ยวเซียงมุมปากเสี่ยวเฉินกระตุกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงยืนเงียบไม่กล้าขยับ“เจ้าจะถามอะไรนักหนา ข้าหิวแล้ว มีอะไรให้กินหรือไม่” มือขวานางเลื่อนลงไปลูบท้องที่ร้องประท้วงหาอาหารอยู่ตอนนี้“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าจ
วันเวลาแห่งความสงบสุขล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนมาถึงคืนอันเงียบสงัดคืนหนึ่งในขณะที่ทุกคนหลับไหลกันหมดแล้ว แต่ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่ตะเกียงยังคงสว่างไสว ภายในห้องมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด บ้างมีสีหน้าเคร่งเครียด บ้างหน้านิ่วคิ้วขมวด บ้างตื่นเต้นดีใจ หรือแม้กระทั่งรังเกียจเดียดฉันท์ ราวกับกำลังเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ“คุณหนู ท่านควรชี้แจงให้ชัดเจนนะขอรับ อย่างนี้ข้าจะบอกนายท่านว่าอย่างไร” ชายอาภรณ์สีเทาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเสี่ยวเซียงหันไปกล่าวกับหลี่หลิงเฟิ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักตัวยาว ชายหนุ่มแย้มยิ้มจนแข็งเกร็งไปทั่วหน้า ในใจคิดอย่างขมขื่นที่ตนต้องมารับหน้าที่นี้ หากแต่ก็ไม่กล้าเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างไรก็ดี เขาค่อนข้างแปลกตาและไม่คุ้นชินกับคุณหนูห้าผู้มีชื่อเสียไปทั่วแว่นแคว้นนางนี้สักเท่าไหร่ หญิงสาวไม่ได้อ่อนปวกเปียกเหมือนพลับนิ่มดังเช่นกาลก่อนอีกแล้ว นอกจากนี้เขายังสัมผัสถึงความน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วนอีกด้วยบุรุษชุดเทาปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่หลิงเฟิ่งจะให้ความรู้สึกที่แค่สบสายตาก็เส
เช้าตรู่วันถัดมา หลี่หลิงเฟิ่งมาถึงป่าอัศดงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ตั้งแต่นางค้นพบสมุนไพรล้ำค่าในป่าลึก กิจวัตรประจำวันของพวกนางจึงได้เพิ่มการหาสมุนไพรในป่าแห่งนี้ไปขาย โดยปกติแล้วนางมักจะพาเสี่ยวเซียงมาด้วย เพื่อฝึกให้สาวใช้ได้ปรับตัวและคุ้นชินกับการเอาชีวิตรอดต่ออันตรายเล็กๆ น้อยๆแรกเริ่มเสี่ยวเซียงก็หวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้เจ้านายเข้ามาตามลำพัง อย่างไรก็ตามความเป็นความตายของนางก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของหลี่หลิงเฟิ่ง จึงได้ทำใจกล้าไปกับหลี่หลิงเฟิ่งทุกครั้ง นานวันเข้าจากคนที่รู้สึกหวาดกลัวกลับกลายเป็นรอคอยที่จะผจญภัยกับบทเรียนใหม่ๆ ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของสาวใช้ตัวน้อยนางนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจอย่างมากเพราะมีเวลาจำกัด ไหนจะเรื่องที่ต้องแอบหลบสายตาสอดส่องจากอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญพวกนั้น วันเวลาที่นางสามารถกอบโกยสมุนไพรก็น้อยลงไปทุกทีวันนี้จึงแตกต่างออกไปเล็กน้อย นางละทิ้งการฝึกฝนเสี่ยวเซียง เลือกพาเสี่ยวเฉินติดตามมาแทน นอกจากจะทำให้นางกังวลเรื่องความปลอดภัยน้อยลง ก็ยังสามารถหาสมุนไพรได้มากกว่าทุกวัน ความรู้ตลอดหลายเดือนที่นางพร่ำสอนก็ไม่ได้เสียเปล่าแต่อย่างใดตั้งแต่นางต
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อนอย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานางหลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังย
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหารหลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตาอย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไมหลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำนางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่าครืนนพลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเป็นเวลานานมากแล้ว ภาพยามค่ำคืนควรปรากฏอยู่ในสายตา ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยแสงแดดอ่อนสว่างนวลราวแดดยามเช้า ลมหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูกพัดผ่านตัวนางที่นอนเหยียดแขนขาบนเก้าอี้หวายใต้ต้นท้อเป็นครั้งคราว ด้านข้างของนางเป็นสระหยกเย็นที่อบอวลไปด้วยพลังไอปราณบริสุทธิ์เข้มข้น หากแต่ไอน้ำที่ลอยอยู่เหนือสระเต็มไปด้วยหมอกพิษที่พร้อมคร่าชีวิตของผู้ที่เผลอสูดดมเข้าไปในเสี้ยววินาที หากเหลือบมองไปยังด้านหลังสระจะเห็นว่ายังมีโถงไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลเดิมทีไม่ควรเรียกว่าโถงด้วยซ้ำ ลักษณะของมันพิเศษอยู่สักหน่อยเพราะมีห้องแยกเรียงกันอยู่สามห้อง คล้ายกับเรือนชั้นเดียวมากกว่า เหมาะกับพักอาศัยอย่างยิ่ง น่าแปลก...ที่แห่งนี้ราวกับอยู่คนละโลก ทิวทัศน์สวยงามเหมือนไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ในพื้นที่สีแดงของสำนักแพทย์โอสถ หลี่หลิงเฟิ่งค้นพบที่นี่โดยบังเอิญหลังจากแอบเข้ามาสำรวจเขตลับด้วยตนเองอยู่หลายครั้งเสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังลอดเข้ามาในหูขัดขวางความดื่มด่ำกับธรรมชาติของหลี่หลิงเฟิ่ง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ หันศีรษะม
พรึ่บ !เปลวเพลิงไม่รู้ที่มาแผดเผาบริเวณโดยรอบโดยที่ทุกคนไม่ทันได้ตั้งตัว แผดเผาทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าให้มอดไหม้“เจ้าฉวยโอกาส” ผู้บุกรุกกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น ทว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นกลับดูดีกว่ามาก เขาป้องกันการลอบโจมตีของนางครั้งนี้ได้ทัน“ฆ่ากันต้องมีกฎด้วยหรือ ก็แค่เจ้าตาย ข้ารอด” หลี่หลิงเฟิ่งมองไปอย่างเสียดาย นางรึอุตส่าห์เปิดด้วยกระบวนท่าใหญ่ แต่ต้องคว้าน้ำเหลวเสียนี่ แต่ไม่เป็นไร ลองอีกครั้งก็ได้เปิดก่อนได้เปรียบ!“ดูซิว่าเจ้าจะรับมือได้นานแค่ไหน” ไม่รอให้ศัตรูได้ทันหายใจ นางส่งมอบการโจมตีอันหนักหน่วงออกไปให้เขาไม่ขาดสาย ต่อให้รับกระบวนท่าของนางได้ทุกครั้ง แต่ร่างกายคนฝึกยุทธ์ที่ไม่ได้มีระดับสูงมากนักก็มีขีดจำกัดอยู่ดี ซึ่งต่างจากนางที่มีน้ำทิพย์ให้ดื่มฟื้นฟูพละกำลังอยู่ตลอดเวลานางทนได้ แต่คนทั่วไปย่อมแตกต่าง“เหอะ คิดว่าเจ้าทำอย่างนี้แล้วมีความหมายหรือ เป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดกำลังดูถูก หลี่หลิงเฟิ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สมควรทำยังไงก็ทำต่อไปผู้บุกรุกขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายสงสัยถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าผิดปกติที่ตรงไหน นิ่งอย
ด้วยความไม่รู้เหนือใต้ออกตก ทุกคนได้ย่างเข้ามาในพื้นที่อันตรายที่สุดในเขตหวงห้ามเสียแล้ว รวมทั้งหลี่หลิงเฟิ่งเองด้วย หญิงสาวพบว่าบรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด แม้แต่เสียงใบไม้กระทบกับลมก็ยังไม่มีให้ได้ยิน ราวกับไร้จุดหมาย ดูเหมือนว่านางเพียงแค่เดินเตร็ดเตร่มาหลายเค่อเท่านั้น หากแต่หลี่หลิงเฟิ่งระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่เคยมีหมอกหนา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม กลายเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ผืนดินแตกแขนง ร้อนระอุจากการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ราวกับอยู่คนละโลกกับเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิงทางนั้น!เสียงของถิงถิงดังขึ้นจากในหัวของนาง หลี่หลิงเฟิ่งเดินตามทางที่ถิงถิงบอก สุดท้ายหยุดยืนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้บึงน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดไปแล้ว น่าแปลกที่ต้นไม้ต้นนี้เป็นเพียงต้นเดียวที่ยังคงแตกกิ่งก้าน อยู่รอดท่ามกลางบรรดาต้นอื่นที่หลือเพียงซากและใบไม้แห้งกรอบราวกับต้นไม้มีชีวิตหรี่ หรี่เสียงปริศนาดังขึ้น ครั้งนี้เสียงของมันชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ ใกล้จนหลี่หลิงเฟิ่งหวาดระแวง ประเดี๋ยวมองซ้าย ประเดี๋ยวมองขวา กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง จิตสังหารรอบตัวของหลี่หลิงเฟิ่งแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว แสงสีข
“อะ…อาจารย์อา ขออภัยที่ล่วงเกินเพียงแต่ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่ขอรับ” โจวอวี๋ถามขึ้นมาอีกครั้ง นางยังเด็กยิ่งนักเป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจจะแปลงรูปโฉมให้คงความเยาว์วัยไว้เสมอ บางทีหากได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของนาง เขาน่าจะรู้จัก คนมีความสามารถระดับนี้ เขาจะพลาดได้อย่างไร“ข้ามีนามว่าหลี่หลิงเฟิ่ง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ยามนี้นางกำลังเพ่งจิตเข้าไปสำรวจด้านในเขตหวงห้าม จึงไม่ได้สังเกตท่าทางตกใจของคนที่อยู่ในนี้ทั้งหมด ทันทีที่นางพูดจบพลังจิตขอนางจับสิ่งผิดปกติอันใดไม่ได้เลย จนกระทั่งสำรวจเข้าไปในส่วนลึกของเขตหวงห้ามนางถึงค้นพบควันสีดำขุมหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่าเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นนางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ ซ้ำร้ายยังถูกผลักออกมาหลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่นางเป็นตาเดียว“ไม่จริงน่า จะเป็นเจ้าไปได้อย่างไร” เหลียนฉู่ฉู่เอ่ยออกมาเป็นคนแรก อย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าคาดเดาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าคือหลี่หลิงเฟิ่ง คู่หมั้นขององค์ชายรองโม่ เพียงแต่รู้สึกแปลกใจ ทำไมแม่นางหลี่ถึง
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า
ยาลูกกลอนที่เพิ่งหลอมเสร็จหอมกลุ่นกระทบจมูกของทุกคน ผู้คนต่างลุ้นว่าโอสถในมือของผู้อาวุโสสามคือยาลูกกลอนอะไรผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างภาคภูมิ ค่อย ๆ คลายมือออก สีขาวขุ่นปรากฏบนสายตา “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะ!”“อืม ยาลูกกลอนอายุวัฒนะสิบเม็ด ใช้ได้เจ็ดเม็ด ขั้นสามสี่เม็ด ขั้นเจ็ดอีกสามเม็ด” รองเจ้าสำนักตรวจสอบยาลูกกลอนในมือของผู้อาวุโสสามอย่างถี่ถ้วน ผงกหัวชื่นชม “ไม่เลยเลย”ในเวลาอันสั้น ภายใต้ขอบเขตสมุนไพรที่มีจำกัด เขาสามารถหลอมออกมาได้ถึงหกในสิบส่วนเลยหรือ ผู้อาวุโสสามเก่งกาจโดยแท้ “นางหนู เสียใจแล้วหรือไม่ ท้าอะไรไม่ท้า มาท้าในสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด หึ”เมื่อผู้ชมมองยาลูกกลอนที่อยู่ในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ต่างก็มีหลากหลายอารมณ์ บ้างทอดถอนใจเสียดาย บ้างดูถูกดูแคลน บ้างเฉยเมยราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดีหรือให้กำลังใจกับนางสักคนผู้คนต่างส่ายหน้า ซุบซิบทันทีที่เห็นก้อนกลมสีดำสองสามก้อนในมือนาง “ฝีมือเท่าหางอึ่ง นางยังกล้ารับคำท้าประลอง”“ตัวยาไหม้เกรียมขนาดนี้ นางพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว”“ไม่คิดว่าองค์ชายรองโม่ สมองจะมีปัญหา ดันคว้าสตรีโอ้อวดมาอยู่ข้างกาย”“สตรีผู้นี้เป็นตัวล