ด้วยความเมื่อยล้าจากการอยู่ในป่ามาหลายวันทำให้นางนอนหลับเป็นตายไปหนึ่งวันเต็ม เนื่องจากอาการแสบท้องเพราะอดอาหารปลุกให้นางตื่นขึ้นมา เวลาที่หลี่หลิงเฟิ่งลุกนั่งจากเตียงก็เหลือบเห็นพวกเสี่ยวเซียงทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างประตู หญิงสาวจึงเอ่ยเรียกอย่างเนิบๆ
“เสี่ยวเซียง เสี่ยวเฉิน” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้านาย ร่ายกายทั้งสองก็สะดุ้งทันที
“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” ทั้งสองเดินเข้ามาในห้องอย่างหวาดๆ
“พวกเจ้ากลัวอะไรกัน ข้าได้ดุด่าพวกเจ้าซักคำหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งคร้านจะสนใจกับนิสัยพวกนาง
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่คิดว่าจะท่านออกจากป่าอัศดงมาครบสามสิบสอง ที่นั่นอันตรายมากนะเจ้าคะ มีสัตว์อสูรดุร้ายเต็มไปหมด” เสี่ยวเซียงคุกเข่าคลานเข้ามาจับขาหลี่หลิงเฟิ่งแน่น ก้มหน้าหงอยๆ ยอมรับความผิด
“เจ้าคิดว่าข้าจะออกมาไม่ได้ซะมากกว่า ข้าก็เดินออกมาน่ะสิ” หลี่หลิงเฟิงประหลักปะเหลือกใส่เสี่ยวเซียง
มุมปากเสี่ยวเฉินกระตุกครั้งหนึ่ง ทว่ายังคงยืนเงียบไม่กล้าขยับ
“เจ้าจะถามอะไรนักหนา ข้าหิวแล้ว มีอะไรให้กินหรือไม่” มือขวานางเลื่อนลงไปลูบท้องที่ร้องประท้วงหาอาหารอยู่ตอนนี้
“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หัวใจดวงน้อยของหญิงรับใช้นามเสี่ยวเซียงพองโตขึ้น คุณหนูไม่โกรธนางแล้ว ดียิ่ง ใบหน้าสะอาดสะอ้านที่หม่นหมองพลันแย้มรอยยิ้มกว้าง ลุกออกไปอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเฉิน เจ้าเอาสมุนไพรพวกนี้ไปขายที่โรงหมอในหมู่บ้าน ข้าไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ เจ้าลองไปถามผู้ดูแลฉินดู” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบสมุนไพรจำนวนหนึ่งออกมาจากมิติส่งให้เสี่ยวเฉิน
ช่วงที่อยู่ใต้หุบเหวนางพบสมุนไพรหลากหลายชนิด ถึงแม้จะยังไม่รู้สรรพคุณต่างๆ ของมัน แต่ด้วยพรสวรรค์ในการรับรู้ธรรมชาติและสรรพสัตว์ของนางนั้น ความรู้สึกนี้บอกกับนางว่าเป็นของดี
“ขอรับ”
“อ้อ เจ้าเคยทำงานในร้านยามาก่อนน่าจะพอรู้ราคามาบ้าง อย่าให้โรงหมอกดราคาเอาได้เล่า” สมุนไพรเหล่านี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรหายาก แต่ก็เป็นสมุนไพรที่ไม่ได้พบเห็นได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดานแห่งนี้ สิ่งพวกนี้ถือเป็นสิ่งขาดแคลน
“คุณหนูวางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง” เสี่ยวเฉินเป็นคนที่หนักแน่นคนหนึ่ง เวลารับปากสิ่งใดย่อมเป็นไปตามนั้น นางจึงไว้วางใจให้เด็กหนุ่มไปจัดการเรื่องราวต่างๆ แทนอยู่เสมอ
ระยะเวลาสามปีมานี้ ตระกูลหลี่ไม่เคยส่งเงินมาให้พวกนางเลยสักอีแปะเดียว ช่วงแรกๆ พวกนางอาศัยเงินห้าร้อยตำลึงที่พี่ชายใหญ่นำมาให้รวมกับทรัพย์สินเดิมของท่านแม่ที่จิ่นอวี้แอบเอามาให้ก่อนออกจากจวน ต่อมาเพราะการซื้อตัวเสี่ยวเฉิน เงินในกระเป๋าของนางเลยแทบไม่เหลือ
หลังบ้านของนางอยู่ใกล้ป่าอัศดง ในระแวกนั้นจึงมีสมุนไพรมากมายให้พอเก็บเอาไปขายได้ และเพราะมีเสี่ยวเฉินที่เคยรับจ้างที่โรงหมอมาก่อน จึงนำสมุนไพรเหล่านั้นไปขาย ทำให้ช่วงสองปีมานี้พวกนางไม่ได้อยู่อย่างย่ำแย่แต่อย่างใด
หลังจากเสี่ยวเฉินจากไปไม่นาน เสี่ยวเซียงก็ยกสำรับอาการเข้ามา หลี่หลิงเฟิ่งรีบปืนลงมาจากเตียงตรงไปนั่งที่โต๊ะ หยิบจับอาหารเข้าปาก ไม่ห่วงภาพพจน์ใดๆ ทั้งสิ้น
“เออนี่ เสี่ยวเซียง เหตุใจพวกเจ้าถึงคิดว่าข้าตายแล้วล่ะ ข้าหายไปนานขนาดนั้นเลยรึ” พอเริ่มอิ่ม นางก็หันไปถามเสี่ยวเซียงอย่างสงสัย ข้าหายไปไม่กี่วันเองนะ ราวๆ หนึ่งเดือนได้
“คุณหนูเจ้าขา แค่คุณหนูเข้าไปเจ็ดวัน ก็เท่ากับเจ็ดปีแล้วเจ้าค่ะ พวกข้าคิดว่า...คิดว่าคุณหนูโดนสัตว์อสูรจับกินไปแล้วเจ้าค่ะ” พอเห็นเจ้านายอิ่มแล้ว นางก็เริ่มเก็บสำรับบนโต๊ะ ในขณะที่หลี่หลิงเฟิ่งเองก็ดื่มน้ำและกลั้วปาก
พรูดด
น้ำที่อยู่ในปากหลี่หลิงพลันพ่นออกมาโดนหน้าจิ้มลิ้มของสาวใช้เสี่ยวเซียงเต็มๆ เสี่ยวเซียงน้อยผู้น่าสงสาร ทำได้เพียงยกผ้าเช็ดหน้าใต้เขียนเสื้อขึ้นมาเช็ด
“ข้าขอโทษๆ ข้าเพียงแค่ตกใจไปหน่อย แค่กๆ” หญิงสาวไอจนตัวโยน เส้นประสาทบนใบหน้าของนางกระตุกเล็กน้อย ใครเลยจะคาดคิด ขนาดสาวใช้ตัวเองยังดูถูกความสามารถของนางขนาดนั้น หลี่หลิงเฟิ่งอยากจะร้องไห้
หลังจากปรับอารมณ์ได้ หลี่หลิงเฟิ่งก็ถามต่อทันที “แล้วเจ้าพอรู้บ้างหรือไม่ ที่นี่เขาฝึกพลังยุทธ์กันยังไง”
“คุณหนู ท่านไม่สบายตรงไหรรึเปล่าเจ้าคะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาได้” สายตาไร้เดียงสาราวกับกระต่ายน้อยส่งมาหาอย่างสงสัยใครรู้
หลี่หลิงเฟิ่งส่งสายตาค้อนประหลักปะเหลือกมองกลับไป “ข้าอยากรู้ไม่ได้รึ”
สาวน้อยยืนงุงงงอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “ข้าเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยฝึกพลังยุทธ์ แต่คุณหนูเจ้าคะ ปกติท่านศึกษาอยู่เป็นประจำ ไฉนถึงลืมไปได้ล่ะเจ้าคะ”
นางลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าของร่างเดิมเคยลองฝึกพลังยุทธ์มาก่อน สะเพร่าเกินไปแล้ว
“บอกเจ้าตามตรง วันนั้นหลังจากที่ข้าได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างหนัก ข้าก็ลืมสิ้นทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อข้าเอง ยังต้องถามเจ้า” เหตุผลนี้คงจะพอถูไถกับคนซื่อๆ อย่างสาวน้อยตรงหน้านี้ได้
“คุณหนู...” เสี่ยวเซียงมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างสงสารจับใจ คุณหนูของนางคงตกใจและเสียใจมากจากเหตุการณ์วันนั้น เลยทำให้นางลืมเรื่องราวแย่ๆ ไปสินะ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คุณหนูจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น
“เจ้าไม่ต้องเสียใจไป คุณหนูของเจ้าก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างอ่อนใจ เห้อ ช่างหลอกง่ายเสียจริง
“เจ้าค่ะ”
“อืม ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะพักผ่อน” ว่าแล้วนางก็โบกมือไล่เสี่ยวเซียงให้ออกไป นางควรจะศึกษาคัมภีร์โอสถสวรรค์สักหน่อย เผื่อสมุนไพรที่นางเก็บมาเหล่านั้นจะใช้ประโยชน์ได้
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร เสียงเสี่ยวเซียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง” คุณหนูเจ้าคะ ข้าคิดออกแล้วเจ้าค่ะ สัมภาระที่พวกเรานำติดตัวมาด้วยมีพวกตำราฝึกพลังยุทธ์ด้วยเจ้าค่ะ”
“รีบไปนำมาให้ข้า” เสียงตื่นเต้นของเสี่ยวเซียงพลอยทำนางตื่นเต้นตามไปด้วย ต้องยอมรับว่าสาวใช้ของนางคนนี้มีพลังบวกมากมายมหาศาล จนบางทีนางยังแทบไม่อยากเชื่อว่าในโลกที่โหดร้ายนี้จะมีคนใสซื่อไร้เดียงสาหลงเหลืออยู่อีก เห็นทีนางคงต้องขัดเกลาอีกเยอะ
“นี่เจ้าค่ะ เมื่อก่อนคุณหนูหวงมันมาก ต่อให้โดนทุบตี คุณหนูก็ไม่ยอมให้ใครแตะมันเป็นอันขาด ข้าเห็นว่ามันเป็นของรักของท่าน ข้าจึงหยิบติดมือมาด้วย” เสี่ยวเซียงก็กลับมาพร้อมตำราเก่าคร่ำครึเล่มหนึ่ง ด้านในอธิบายวิธีฝึกพลังยุทธ์และสิ่งจำเป็นในการฝึกต่างๆ ร่องรอยขีดเขียนมีอยู่เต็มทุกหน้า และยังมีการเขียนขยายความให้เข้าใจง่ายในบางจุดอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร่างเดิมพยายามมากแค่ไหน
ไม่มีใครหรอก อยากจะเป็นตัวไร้ค่า ตัวตลกในสายตาคนอื่น
นางคงต้องศึกษามันอย่างจริงจังแล้ว ไม่ใช่เพื่อใครอื่น แต่เพื่อตัวนางเอง ถ้าอยากจะอยู่รอดในแผ่นดินนี้ มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้น คือนางต้องแข็งแกร่งกว่าศัตรู
“เสี่ยวเซียงมานี่ เจ้ามาฟังพร้อมกับข้า นับจากนี้ไปพวกเราจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้จงได้” หลี่หลิงเฟิ่งดึงเสี่ยวเซียงมานั่งบนเตียงด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มอ่าน
“การฝึกพลังยุทธ์นั้น มีอยู่สามวิธี วิธีที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์จะรับพลังได้มากที่สุดคือจำเป็นต้องมีไขแร่ถึงจะสามารถฝึกได้ ซึ่งไขแร่ได้มาจากการนำหินแร่แช่ในน้ำแร่ ยิ่งไขแร่มีความใสแวววาวมากเท่าไหร่ พลังที่ผู้ฝึกยุทธ์จะซึมซับได้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น โดยหินแร่มีทั้งหมดห้าสี อันได้แก่ สีเทา สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีแดง โดยหินสีเทามีพลังต่ำที่สุด หรือผู้ฝึกยุทธ์ใช้ยาลูกกลอนประสานกายแทนไขแร่ก็สามารถดูดซับพลังได้เร็วขึ้นเช่นกัน และสุดท้ายผู้ฝึกพลังยุทธ์สามารถฝึกฝนด้วยตนเองก็อาจสามารถเพิ่มพลังยุทธ์ให้กับผู้ฝึกได้”
“อืม เท่าที่ข้าจับใจความได้ คือต้องใช้ไขแร่ถึงจะดูดซับพลังดีที่สุด แต่น้ำแร่คงต้องบริสุทธ์อย่างมากถึงจะมีผลลัพท์ที่ดี หรือไม่ก็ใช้ลูกกลอนประสานกายเป็นตัวช่วย”
“หมายความว่าเราทุกคนฝึกพลังยุทธ์ได้หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเซียงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่อยากให้คุณหนูของนางเสียใจ จึงถามออกไปประโยคหนึ่ง
หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก “ถูกต้อง แต่ที่พวกเจ้าไม่ได้ฝึกยุทธ์ นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่รู้วิธีฝึก อีกอย่างการมุ่งมั่นฝืนฝึกด้วยตนเองนั้นคงจะแข็งแกร่งยากยิ่ง ไม่แน่ว่าตลอดชีวิตของพวกเจ้าอาจไม่พ้นขั้นกำเนิดใหม่เลยด้วยซ้ำ”
“จำเอาไว้นะเสี่ยวเซียง บนโลกนี้ไม่มีใครที่เป็นเศษสวะมาตั้งแต่เกิด ทุกคนเกิดมาก็มีผ้าขาวห่อตัวด้วยกันทั้งนั้น ดีหน่อยตรงที่บางคนมีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น”
“ต่อให้เจ้าไม่มี แต่ถ้าเจ้าอดทนฝึกมากกว่าคนพวกนั้นหลายเท่า คำว่าพรสวรรค์ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย”
หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องนางอย่างไม่วางตา แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากสาวน้อยด้านข้าง ก็ให้หงุดหงิดใจ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวเซียงมองนางตาไม่กระพริบ
“เจ้ามองข้าทำไม ที่ข้าบอกไปเจ้าจำได้หรือไม่” หางคิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสงสัย
“เปล่าเจ้าค่ะ เอ่อ...จำได้เจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ชินตา ดูเหมือนคุณหนูจะเปลี่ยนไป” เสียงไม่มั่นใจเปล่งออกมาจากปากสาวใช้ตัวน้อย
ได้ยินดังนั้น หลี่หลิงเฟิ่งจึงเอนกายนอนตะแคงบนเตียง เท้าคางมองนางอย่างเกียจคร้าน “อ้อ ข้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร”
“ท่านดู ดูงดงามขึ้นเจ้าค่ะ” หลังพูดจบใบหน้าพลันเห่อร้อน เสี่ยวเซียงก้มหน้างุดซ่อนความเขินอายไว้ ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอีกเลย
“เสี่ยวเซียงเอ๋ย ข้าก็งดงามของข้าอยู่ทุกวัน ไหนเลยจะงามแค่วันนี้” เสียงหัวเราะทรงเสน่ห์ของหญิงดังขึ้นเบาๆ
เสี่ยวเซียงปราศจากคำพูดใดๆ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างใจลอย พึมพำกับตัวเองอย่างฉงน
“หรือเมื่อก่อนข้าไม่เคยสังเกตความงามของคุณหนูมาก่อนจริงๆ”
วันเวลาแห่งความสงบสุขล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนมาถึงคืนอันเงียบสงัดคืนหนึ่งในขณะที่ทุกคนหลับไหลกันหมดแล้ว แต่ยังมีบ้านหลังหนึ่งที่ตะเกียงยังคงสว่างไสว ภายในห้องมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด บ้างมีสีหน้าเคร่งเครียด บ้างหน้านิ่วคิ้วขมวด บ้างตื่นเต้นดีใจ หรือแม้กระทั่งรังเกียจเดียดฉันท์ ราวกับกำลังเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ“คุณหนู ท่านควรชี้แจงให้ชัดเจนนะขอรับ อย่างนี้ข้าจะบอกนายท่านว่าอย่างไร” ชายอาภรณ์สีเทาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเสี่ยวเซียงหันไปกล่าวกับหลี่หลิงเฟิ่งที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักตัวยาว ชายหนุ่มแย้มยิ้มจนแข็งเกร็งไปทั่วหน้า ในใจคิดอย่างขมขื่นที่ตนต้องมารับหน้าที่นี้ หากแต่ก็ไม่กล้าเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างไรก็ดี เขาค่อนข้างแปลกตาและไม่คุ้นชินกับคุณหนูห้าผู้มีชื่อเสียไปทั่วแว่นแคว้นนางนี้สักเท่าไหร่ หญิงสาวไม่ได้อ่อนปวกเปียกเหมือนพลับนิ่มดังเช่นกาลก่อนอีกแล้ว นอกจากนี้เขายังสัมผัสถึงความน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วนอีกด้วยบุรุษชุดเทาปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่หลิงเฟิ่งจะให้ความรู้สึกที่แค่สบสายตาก็เส
เช้าตรู่วันถัดมา หลี่หลิงเฟิ่งมาถึงป่าอัศดงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม ตั้งแต่นางค้นพบสมุนไพรล้ำค่าในป่าลึก กิจวัตรประจำวันของพวกนางจึงได้เพิ่มการหาสมุนไพรในป่าแห่งนี้ไปขาย โดยปกติแล้วนางมักจะพาเสี่ยวเซียงมาด้วย เพื่อฝึกให้สาวใช้ได้ปรับตัวและคุ้นชินกับการเอาชีวิตรอดต่ออันตรายเล็กๆ น้อยๆแรกเริ่มเสี่ยวเซียงก็หวาดกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ไม่อยากให้เจ้านายเข้ามาตามลำพัง อย่างไรก็ตามความเป็นความตายของนางก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของหลี่หลิงเฟิ่ง จึงได้ทำใจกล้าไปกับหลี่หลิงเฟิ่งทุกครั้ง นานวันเข้าจากคนที่รู้สึกหวาดกลัวกลับกลายเป็นรอคอยที่จะผจญภัยกับบทเรียนใหม่ๆ ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของสาวใช้ตัวน้อยนางนี้ทำเอาหลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจอย่างมากเพราะมีเวลาจำกัด ไหนจะเรื่องที่ต้องแอบหลบสายตาสอดส่องจากอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญพวกนั้น วันเวลาที่นางสามารถกอบโกยสมุนไพรก็น้อยลงไปทุกทีวันนี้จึงแตกต่างออกไปเล็กน้อย นางละทิ้งการฝึกฝนเสี่ยวเซียง เลือกพาเสี่ยวเฉินติดตามมาแทน นอกจากจะทำให้นางกังวลเรื่องความปลอดภัยน้อยลง ก็ยังสามารถหาสมุนไพรได้มากกว่าทุกวัน ความรู้ตลอดหลายเดือนที่นางพร่ำสอนก็ไม่ได้เสียเปล่าแต่อย่างใดตั้งแต่นางต
หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อนอย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานางหลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังย
เมื่อพินิจดูอย่างละเอียด นอกจากสมบัติเหล่านั้นแล้ว ยังมีโครงกระดูกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด แค่คิดนางก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหลายคงเป็นของเจ้าของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ถูกเจ้าปีศาจตนนั้นสังหารหลี่หลิงเฟิ่งมองสมบัติมากมายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเก็บทีละชิ้นนางได้ขาดอากาศหายใจก่อนเป็นแน่ นางจะเก็บหมดได้อย่างไร หญิงสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลองกวาดมือออกไปบริเวณที่มีสมบัติพลางคิดในหัว ‘เก็บ’ สมบัติที่กองเกลื่อนกลาดอยู่ตรงหน้าหายวับไปในพริบตาอย่างนี้ก็ได้หรือ ที่ผ่านมานางมัวเก็บทีละชิ้นให้เสียเวลาไปทำไมหลี่หลิงเฟิ่งส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจในมิติของตนเอง พบว่าพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ของนางอัดแน่นไปด้วยสมบัติ แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ใช้สอยเลยด้วยซ้ำนางเริ่มกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้างแล้ว เห็นทีข้าต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ นางได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้ช่างมันไปก่อน เรื่องของวันหน้าก็เอาไว้คิดกันวันหน้า ยังดีที่มิติของนางยังเก็บสมบัติไปได้หมด ไม่อย่างนั้นคงเสียดายแย่ อย่าหาว่านางทำตัวเหมือนโจรปล้นชิงเลย ก็ใครใช้ให้นางมีมิติมายาติดกายกันเล่าครืนนพลังจากบนบกสั่นสะเทือนมาถึงใต้น้ำ
บรรยากาศเงียบสงัดแพร่กระจายไปทั่วห้อง หลี่หลิงเฟิ่งหายใจสะดุด ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เลื่อนออกจากใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเลย เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบกวาดมองนางเงียบๆเนิ่นนาน ไร้ซึ่งคำพูด และไม่ขยับคล้ายเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี เสียงสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงดังขึ้นทำลายความเงียบงันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ สุดท้ายแล้วยังคงเป็นหลี่หลิงเฟิ่งที่ทนไม่ไหว ใคร่สงสัยตัวตนบุรุษรูปงามท่านนี้ ริมฝีปากเม้มแน่น อยากพูดบางอย่างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก มือของเขายังคงลูบผมนางอยู่อย่างนั้น คล้ายปลอบประโลมนางอยู่ทุกวินาที“ข้า...ข้าอยากกินองุ่น” หลี่หลิงเฟิ่งชะงักค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าขึ้นริ้วแดงๆ ด้วยความอับอาย นี่นางพูดอะไรออกไปอยากกินองุ่น? องุ่นเนี่ยนะ เพ้ย!หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัวหลบฝ่ามือใหญ่ หลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาอีกต่อไป ในใจสบถด่าตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำตัวเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นไปได้“เสี่ยวเซียง” บุรุษชุดขาวยิ้มพลางส่งเสียงเรียกเสี่ยวเซียง “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่” หลี่หลิงเฟิ่งมองเสี่ยวเซียงผลักประตูเข้ามา เดินก้มหน้ามาคุกเข่าตรงปลายเตียง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นนัยน์ตาคุณชายใหญ่ หล
สิ้นเสียงของหลี่หลิงเฟิ่ง มีมือสังหารรายหนึ่งทะยานเข้ามาหา หลี่หลิงเฟิ่งหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงเพลิงอาบย้อมกระบี่ แทงสวนกลับไป มือสังหารที่วิ่งเข้ามายังไม่ทันตั้งตัว แววตาพลันตื่นตระหนก ร่างกายแข็งค้างล้มลงตรงหน้าหญิงสาว“ระ....” สตรีผู้นี้... ในชั่วพริบตา โลกเบื้องหน้าเข้าสู่ความมืดมิด เพียงแค่ปริปากพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิน” ขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กถูกโยนออกมาจากมิติไปทางด้านหลัง รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นในแววตาหลี่หลิงเฟิ่ง ชุดสีแดงเพลิงเปียกชุ่มลู่ลงแนบลำตัว มือสังหารคาดไม่ถึงว่าจะมีสตรีอ่อนปวกเปียกเข้ามาช่วย หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมึนงง ฝ่าวงล้อมเข้าไปยืนข้างกายอู๋เหยียนเสี่ยวเฉินรับขวดกระเบื้องเนื้อหยาบที่ลอยมาตรงหน้า วิ่งอ้อมไปด้านหลังฝั่งหลี่เฟยหยาง เขารู้ดีว่ามันเป็นโหลบรรจุยาที่หลี่หลิงเฟิ่งปรุงขึ้น จะไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูเป็นคนสั่งให้เขาซื้อมันมาโดยเฉพาะหากแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร เสี่ยวเฉินมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างอับจนปัญญา อยากจะขอความช่วยเหลือ ทว่า เหลือบสายตามองเพียงแวบเดียวก็ให้สูดหายใจลึก“เฟิ่งเอ๋อร์ เข้ามาทำไม ออกไป” ใบหน้าที
ไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วยาม แสงยามเช้าส่องกระทบใบหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง เสียงฝูงนกกระพือปีกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องบินออกหากิน นางจำไม่ได้ว่าเกราะป้องกันสลายไปตอนไหน ทำสิ่งใดลงไปบ้าง ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของนางอยู่ที่คนในอ้อมกอดตลอดสมุนไพรทุกอย่างที่นางมีถูกนำมารักษาหลี่เฟยหยาง ยาต่างๆ ที่เคยสกัดไว้ก็เอาออกมาใช้ทั้งหมด แต่เหมือนจะเอามาเททิ้งมากกว่า เขาไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลย ยังดีที่สมุนไพรเหล่านี้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้แต่แล้วอย่างไร เขาจะทนได้นานแค่ไหน นางเองก็ยังไม่รู้จากเหตุการณ์เมื่อคืน หลี่หลิงเฟิ่งตระหนักได้ถึงโลกใบนี้อย่างแท้จริง โลกที่ผู้ฝึกพลังยุทธ์เป็นใหญ่ นางเคยคิดว่ารออีกหน่อย เดี๋ยวนางจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ต้องสนใจใครหรือสิ่งใดให้มาก ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เต็มที่จนเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมตายเพื่อนาง ความเพ้อฝันเหล่านั้นจึงพังทลายลง หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีความผูกพันกับคนในโลกนี้ อย่าว่าแต่หลี่เฟยหยางที่เพิ่งเจอกันไม่กี่วัน ต่อให้เป็นเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉิน นางก็เห็นเป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมทางเท่านั้นคนพวกนี้ยอมทำเพื่อนาง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพื่อเจ้าของร่างเดิมถึงกระนั้นนางก็ยังอ
หูซานแตกตื่นจนหน้าถอดสี ถุงผ้าในมือเกือบหลุดร่วง “นี่มันเกินไป เกินไปแล้ว” หลังจากหายตื่นตะลึง เขาก็มีท่าทางดีอกดีใจอย่างปิดไม่มิดแววตามองคล้ายขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย อดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ “เจ้ามีของล้ำค่าติดตัวมากมายขนาดนี้ ยังจะทำเป็นไม่รู้จักหินแร่พวกนี้อยู่อีก ผายลม!”หลี่หลิงเฟิ่งทำหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ ตาเฒ่าผู้นี้อยู่ดีๆ ก็อารมณ์ขุ่นมัวใส่นาง“เจ้ามีของเช่นนี้อยู่ตั้งแต่แรก ไยจึงไม่รีบนำมันออกมา” ตำหนิหญิงสาวก่อนกล่าวต่อ “แต่แค่สองก้อนก็พอ ที่เหลือเจ้าเก็บไว้เถอะ” หูซานหยิบออกจากถุงเพียงสองก้อนจริงๆ มองที่เหลืออย่างอาลัย สุดท้ายตัดใจส่งมันคืนให้นางหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเข้าหากัน นัยน์ตาฉายแววงุนงงมากกว่าเดิม “แค่สองก้อนพอแน่หรือ ท่านหยิบมันไปเพิ่มอีกดีหรือไม่” ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไร หากแต่ช่วยรักษาได้ย่อมเป็นเรื่องดีได้ยินดังนั้น หูซานฉุนขึ้นมาทันที “ข้าเป็นหมอมาสามสิบกว่าปี อาการของโรคเป็นอย่างไร ปริมาณยาหรือพลังที่ใช้ย่อมรู้แน่ชัดอยู่แล้ว บอกว่าพอก็คือพอ เด็กอย่างเจ้าสงสัยคำวินิจฉัยของข้าอย่างนั้นหรือ” หญิงผู้นี้อะไรก็ดีไปหมด เหตุใดวันนี้ริทำตัวน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงนักห
เสียงหอบหายใจของหลี่หลิงเฟิ่งและคนอื่นๆ ดังขึ้นท่ามกลางเสียงคำรามอันต่ำของฝูงอสูรที่ล้อมรอบพวกเขาไว้ มันไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรธรรมดา หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วและถูกปลุกขึ้นมาด้วยพลังลึกลับ เนื้อหนังที่เน่าเปื่อยของพวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวและความสยดสยองที่แผ่กระจายไปทั่ว“เจ้าพวกนี้มันไม่มีวันตายจริงๆ สินะ” หลูหวั่นชิงพึมพำ น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความตื่นตระหนกยิ่งยวด“แต่พวกเราตายได้นะ” จวินชางหลางตะโกนพลางหมุนตัวฟาดดาบในมือผ่านร่างอสูรตัวหนึ่งจนขาดเป็นสองท่อน แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา เศษเนื้อและกระดูกที่แตกกระจายกลับเริ่มเคลื่อนไหวและประกอบร่างอีกแล้ว เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป“ไม่ว่าเจ้าจะฟันอีกกี่ครั้ง มันก็ยังรวมร่างได้ เสียเวลาเปล่า” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวเสียงเรียบ นางสะบัดมือข้างหนึ่ง ผ้าสีแดงสิบเส้นพลันพุ่งออกไปพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง แส้เพลิงฟาดลงบนร่างของสัตว์อสูรตัวหนึ่งเสี่ยวจูจูที่ยืนอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงร้องคำรามอันทรงพลัง ร่างเล็กของมันกระโจนออกจากที่มั่น ลวดลายสีดำสลับทองบนตัวส่องประกายระยับ ขณะที่กรงเล็บของมันตวัดฉีกกระชากอสูรตัวหนึ่งจนกระเด็นไปไกล
ทหารหลวงตั้งแนวป้องกันที่หน้าประตูเมืองใหญ่ ทหารถือหอกและโล่แน่น ร่างกายของพวกเขาสั่นด้วยความกดดัน แต่ไม่มีใครถอยแม้แต่ก้าวเดียว“อย่าปล่อยให้ศัตรูผ่านไปได้แม้แต่คนเดียว!” แม่ทัพหลวงตะโกนก้อง ดาบใหญ่ในมือฟาดฟันนักรบชุดดำที่พุ่งเข้าใส่ ดาบของเขาฝังลึกลงไปในร่างของศัตรูจนเลือดสาดกระเซ็นศิษย์จากสำนักศึกษาหลวงและอาจารย์ผู้ทรงพลังต่างรีบรวมตัวกันบริเวณลานกว้างกลางเมือง พวกเขาสวมชุดคลุมประจำสำนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความกังวลในเวลาเดียวกัน“ทุกคนฟังข้า!” เสียงของเจ้าของหอฝึกยุทธ์โจวมั่ว ดังขึ้น เขายืนอยู่บนแท่นสูงกลางลานด้วยท่าทางเคร่งขรึม “พวกเราต้องปกป้องเมืองหลวงให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”“แยกกำลังกันเป็นสองฝ่าย กลุ่มแรกไปป้องกันประตูเมือง อีกกลุ่มคอยคุ้มกันชาวบ้านที่อพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง”เหล่าศิษย์พยักหน้ารับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง แม้ในใจหลายคนจะเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็ไม่มีใครถอยหลังกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักแพทย์โอสถกำลังช่วยกันรักษาผู้บาดเจ็บ ขณะที่ยังต้องต่อสู้ไปด้วย อาจารย์และศิษย์ที่มีพลังยุทธ์ขั้นกลางและสูงใช้ยาลูกกลอนรักษาและพลังยุทธ์ป้องกันตัวจากศัตรู“
แสงสีอ่อนจากสัญลักษณ์โบราณที่สลักอยู่บนผนังถ้ำยังคงเปล่งประกายเบาบาง ทำให้ความมืดสลัวภายในถ้ำดูไม่เงียบสงบอย่างที่ควรจะเป็น กลิ่นอายของบางสิ่งที่ไม่อาจระบุชัดได้คละคลุ้งในอากาศ เหลียนฉือกงที่บาดเจ็บพิงตัวอยู่กับผนังถ้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ และดวงตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้เขาจะพยายามฝืนตัวเองให้ดูเข้มแข็ง แต่บาดแผลที่สีข้างที่เลือดไหลซึมออกมาตลอดเวลาได้ทำลายภาพลักษณ์นั้นจนหมดสิ้น“เสด็จพี่ ท่านไม่ไหวแล้วจริงๆ” เหลียนฉู่ฉู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แววตาฉายชัดว่าเป็นกังวล อีกทั้งยังความหวาดระแวงกับเงามืดที่เคลื่อนไหวบนผนังถ้ำชวนให้นางรู้สึกว่าถ้ำนี้เหมือนมีชีวิต“ข้าจะไหวหรือไม่ ตอนนี้มันไม่สำคัญนัก เราต้องแน่ใจว่าพวกมันจะไม่ตามเราเข้ามาในนี้” เหลียนฉือกงกล่าวพลางกัดฟันแน่น เขาฉีกเศษผ้าจากชายเสื้อพันบาดแผลที่สีข้างไว้แน่น พยายามหยุดเลือดที่ยังไหลออกมาไม่หยุด“อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ตอนนี้ท่านต้องพักก่อน ดื่มนี่หน่อย อย่างน้อยจะช่วยให้ท่านมีแรงขึ้น" นางล้วงหยิบกระบอกน้ำในถุงเก็บของออกมาอย่างรี
เสียงกรีดร้องของเพื่อนร่วมทีมที่สิ้นหวังสะท้อนไปทั่วป่า สามร่างที่ล้มลงไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมาอีก เศษเลือดและเนื้อเปรอะเปื้อนตามพื้นป่า บ่งบอกถึงความน่ากลัวของสิ่งที่พวกเขาเผชิญเหลียนฉู่ฉู่กำสาบเสื้อบนอกแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา นางมองดูเพื่อนร่วมทีมที่ถูกสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเหล่านั้นกลืนกินจนไม่เหลือชิ้นดี ร่างกายของนางสั่นเทา ขณะที่ความกลัวกัดกินจิตใจอย่างช้าๆ“พวกเราจะต้องตายที่นี่หรือ” เหลียนฉู่ฉู่พึมพำเสียงแผ่ว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้ายังไม่อยากตาย...ข้าไม่อยากตาย!”เสียงหอบหายใจของเหลียนฉู่ฉู่และเหลียนฉือกงดังก้องในความเงียบรอบตัว พื้นที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและแรงกดดันจากเงาดำที่แฝงตัวอยู่ในทุกมุม เงาสัตว์อสูรเน่าเปื่อยเดินช้าๆ เข้ามาใกล้ ร่างของพวกมันเต็มไปด้วยความผิดธรรมชาติและน่าหวาดกลัวเหลียนฉือกงที่ยังยืนหยัดอยู่ข้างหน้า กัดฟันกรอด เขาฟาดกระบี่ออกไปอีกครั้ง ฟันกรงเล็บของสัตว์อสูรตัวหนึ่งจนเซถอยไป แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยุดหายใจ ตัวอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง“ฉู่ฉู่ตามข้ามา
ขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งยังอยู่ที่เดิม นุ่มนิ่ม ไส้เดือนตัวน้อยเลื้อยตามกลุ่มของเหลียนฉู่ฉู่ไปในเงามืด มันเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง ผ่านพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเหลียนฉู่ฉู่ที่กำลังรีบวิ่งหนีถือป้ายหยกไว้แน่นในมือ ร่างกายของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหลือบมองไปข้างหลังเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา“เร็วเข้า!” เสียงของเหลียนฉือกงดังขึ้นที่ด้านหลัง “พวกเราต้องหาที่ปลอดภัยซ่อนตัวก่อนที่พวกมันจะตามมาได้”นุ่มนิ่มเลื้อยตามอย่างอดทน มันแฝงตัวอยู่ในเงามืด พลางจับตามองการเคลื่อนไหวของเหลียนฉู่ฉู่และพวกเหลียนฉือกงอย่างใกล้ชิดในที่สุดกลุ่มของแคว้นเหลียนก็หยุดพักที่ลานเล็กๆ กลางป่า เหลียนฉู่ฉู่วางป้ายหยกลงชั่วครู่เพื่อหยิบกระบอกน้ำขึ้นมาดื่ม“เราจะทำอย่างไรต่อ” หนึ่งในคนของแคว้นเหลียนเอ่ยถาม “หากพวกมันตามเรามาทัน เราคงไม่มีทางรอดแน่”“ไม่ต้องห่วง” เหลียนฉือกงแสยะยิ้ม “พวกนั้นไม่มีทางหาเราเจอเร็วๆ นี้แน่นอน ป่ากว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราแค่ซ่อนตัวจนครบกำหนดก็พอแล้ว”ระหว่างที่พวกแคว้นเหลียนนั่งพัก สายสืบตัวน้อยก็เริ่มทำงานบ้างแล้ว นุ่มนิ่มส่งกระแสจิตมาถึงหลี่หลิงเฟิ่ง คว
สองกลุ่มซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลมองการต่อสู้อันดุเดือดตรงหน้าพลางวิจารณ์สำนักเมฆาคล้อยที่กำลังเพรี่ยงพล้ำอยู่ขณะนี้“ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการกำจัดสำนักเมฆาคล้อยให้สิ้นซาก” หลูหวั่นชิงเอ่ยขึ้น พลางขมวดคิ้วไปด้วย“พวกแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งผนึกกำลังกันเช่นนี้ สำนักเมฆาคล้อยคงยืนหยัดไม่นาน” โม่จื่อหลิงกล่าว “นี่ไม่เหมือนการแย่งชิงป้ายหยกธรรมดา หากบอกว่ากำลังชำระแค้นกันอยู่น่าจะเข้าท่ามากกว่า”“ถ้าเราไม่ลงมือก่อน เกรงว่าอีกไม่นาน พวกนั้นอาจจะหันมาจัดการพวกเราบ้าง” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ นางพิจารณาสถานการณ์ด้วยความระมัดระวังกลุ่มของสำนักเมฆาคล้อยกำลังถูกกดดันอย่างหนัก เสียงปะทะของอาวุธและพลังยุทธ์ที่ฟาดฟันกันอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่ว พวกเขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบ ถูกล้อมโดยทีมของแคว้นตงเยว่และตระกูลซ่งชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าของสำนักเมฆาคล้อยยกกระบี่ขึ้นป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วรุนแรงจากอีกฝั่ง เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น เขาเคลื่อนตัวอย่างว่องไว หลีกเลี่ยงกระบี่ของฝ่ายตงเยว่ได้อย่างหวุดหวิดเสียงคำรามของพลังยุทธ์ดังสนั่น หนึ่งในผู้คุ้มกันของสำนักเมฆาคล้อยล้มลงเมื่อถูกกระบี่ของฝ่ายตงเยว่พุ่งแทงเข้าที่หน
หลังจากท้องฟ้ามืดสนิทจนลมหนาวพัดผ่านมาเป็นระยะ กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งที่หยุดพักเพื่อย่างไก่เมื่อช่วงเย็น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ระหว่างทางเจอคู้ต่อสู้แย่งชิงป้ายหยกมาเพิ่มอีกเจ็ดชิ้น ตอนนี้ในมือของพวกนางมีป้ายหยกทั้งหมดเก้าชิ้น“พอมีพวกเจ้าสองคนทุกอย่างก็ดูง่ายไปเสียหมดจนข้าชักจะเริ่มเบื่อแล้ว” จวินชางหลางเอ่ยพลางยืดเส้นยืดสายไปด้วยหลูหวั่นชิงหัวเราะเบาๆ “ข้าว่าดีจะตาย ถ้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา เจ้าคงไม่มีเวลามาโอดครวญเช่นนี้หรอก”“หากเวลานั้นมาถึง เจ้าอย่าห่วง ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” จวินชางหลางหันไปยักคิ้วให้ แต่ก็ถูกหลูหวั่นชิงมองค้อนกลับทันทีโม่จื่อหลิงที่เดินนำอยู่ข้างหน้าเหลือบมองหลี่หลิงเฟิ่งเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเดินชิดเข้ามาใกล้นางโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเบื้องหน้าเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหวในขณะที่กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางกลางป่า เสียงฝีเท้าของอีกกลุ่มหนึ่งก็ดังแว่วมาไม่ไกล“มีคน” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงของนางราบเรียบแต่ก็แฝงไว้ด้วยความระวัง ทุกคนหยุดชะงักทันทีไม่นานนัก เงาร่างของกลุ่มคนที่เดินมาจากอีกฟากหนึ่งก็ปรากฏข
กลิ่นหอมฉุยของไก่ย่างลอยฟุ้งไปในอากาศรอบกองไฟ กระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก หลี่หลิงเฟิ่งถือไก่ย่างชิ้นโตไว้ในมือ นางกัดมันด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข เนื้อไก่นุ่มๆ หนังกรอบๆ รสชาติกลมกล่อม ช่างเป็นอาหารที่วิเศษสุดในยามนี้จวินชางหลางที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยกชิ้นไก่ขึ้นมากัดบ้าง ดวงตาเป็นประกายราวกับพบขุมทรัพย์ "นี่สิชีวิต ทำไมต้องเครียดกับการแย่งป้ายหยก เราแค่กินให้อิ่ม แล้วรอให้พวกเขาเดินมามอบป้ายให้ก็พอ" จวินชางหลางพูดราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล"เจ้าคิดว่าจะมีคนโง่ขนาดนั้นที่ไหนกัน" หลูหวั่นชิงกลอกตา มือเล็กถือไก่ย่างไว้ ริมฝีปากอมยิ้มโม่จื่อหลิงนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างหลี่หลิงเฟิ่ง เขาหยิบเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งส่งให้นาง ดวงตาของเขาอ่อนโยน "เจ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว""อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็ก" หลี่หลิงเฟิ่งบ่นเบาๆ แต่ก็กัดไก่ชิ้นนั้นอย่างไม่ปฏิเสธ มองข้ามสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักของเขาทว่า ความสงบสุขกลับถูกทำลายลงในพริบตา เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากเงามืด เปลวไฟสะท้อนเงาร่างหลายร่างที่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน"ข้ารู้แล้วว่ากลิ่นหอมนี้มาจากไหน" เปียวเมี่ยวเดินนำออกมาพร้อ
เมื่อแสงสีฟ้าจากยันต์คืนฟ้าสว่างวาบราวกับดวงดาวระเบิด กลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งก็ถูกส่งมายังพื้นที่แห่งหนึ่งในป่าทมิฬ ทันทีที่เท้าแตะพื้น เสียงนกร้องประสานเสียงกับสายลมที่พัดใบไม้ไหวก็ดังขึ้นรอบด้าน ราวกับต้อนรับพวกเขาสู่ดินแดนลึกลับ พื้นดินปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวสดและใบไม้แห้ง เส้นทางในป่าทมิฬดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด พื้นปูด้วยเศษใบไม้แห้งที่ส่งเสียงกรอบแกรบยามเมื่อเหยียบย่าง อากาศเย็นชื้นปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของกลุ่มตัวแทนทั้งสี่คนที่เดินเรียงแถวกันหลี่หลิงเฟิ่งเดินนำหน้า โม่จื่อหลิงเดินเคียงข้างเธอ ส่วนจวินชางหลางกับหลูหวั่นชิงตามมาติดๆ"นางมารน้อย" โม่จื่อหลิงเอ่ยเรียกเบาๆ ราวกับกลัวจะทำลายความเงียบสงบของป่า "เจ้าเคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่""คำพูดอะไรอีกเล่า ท่านกำลังจะเริ่มอะไรอีก" หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง นางเอ่ยอย่างเอือมระอา แต่ก็ยังยอมฟัง"มีคำพูดว่า...ในป่าทึบ แม้ดวงจันทร์จะมืดมน แต่ดอกไม้เพียงดอกเดียวกลับทำให้ทุกสิ่งดูสดใสขึ้นได้" เขายิ้มมุมปาก เอียงหน้ามองหลี่หลิงเฟิ่ง ฉวยจับมือนางขึ้นมาจวินชางหลางที่เดินตามหลังถึงกับกลอกตาแรงจนแทบมองเห็นดวง