“ท่านผู้มีพระคุณ”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกิน
ที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”
“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”
“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”
คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”
“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”
“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเด็กหญิง “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเดินลงน้ำไปทำไม”
“ท่านผู้มีพระคุณเข้าใจข้าน้อยผิดแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรีบอธิบาย “นายท่านรองบอกให้ข้าน้อยลงไปแช่เท้าที่สระน้ำนี้บ่อยๆ ให้ข้าน้อยฝึกเดินในน้ำ”
ได้ยินถ้อยคำของนางก็ทำให้เด็กหนุ่มหน้าตึงไป เขาก้าวเท้าถอยห่างนางออกมาเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ ข้าจะจำใส่ใจไว้” นางส่งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายงดงาม
สวินเย่ว์กวาดตามองเด็กหญิงตรงหน้า เขาไม่ได้ใส่ใจนางนัก ตั้งแต่พบกันเมื่อครึ่งปีก่อนก็จำอะไรเกี่ยวกับนางไม่ได้มาก เขาติดตามไต้ซือซูแรมรอนไปทั่วยุทธภพมาสี่ปี เวลาที่ผ่านมามิได้อยู่เปล่าดาย แต่ฝึกฝนวรยุทธ์จนกล้าแกร่ง ผนวกกับคำสอนพุทธศาสนาซึ่งไม่ค่อยจะเข้าไปในหัวของเขาสักเท่าไหร่ ฐานะครอบครัวของเขามิได้อ่อนด้อย เพียงแต่เมื่อติดตามไต้ซือแล้วจึงมักสวมเสื้อผ้าสีดำเรียบง่ายอย่างเคยชิน ทว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่มีกระทั่งปิ่นปักผม เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิดแล้วดึงปิ่นหยกบนศีรษะของตนออกยื่นให้นาง
เด็กหญิงมองอย่างฉงนแต่มิได้รับไว้ ความใจร้อนของเด็กหนุ่มจึงผลักเข้าใส่มือนาง นางประคองไว้ด้วยสองมือแต่แววตายังเต็มไปด้วยคำถาม
“หันหลังมานี่”
“เจ้าค่ะ”
สวินเย่ว์เห็นเด็กน้อยรีบหมุนตัวทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขาพลันขมวดคิ้วไม่พอใจ นิสัยนางอ่อนแอเช่นนี้จะมีชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรกัน เขาจับเส้นผมที่ยาวประบ่าแล้วเกล้าผมอย่างง่ายๆ ปักปิ่นหยกให้นาง ทว่าปลายนิ้วยังสัมผัสถึงรอยแผลของนาง แค่นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นเนื้อไหม้
“ท่านผู้มีพระคุณ”
เด็กหนุ่มอ้าปากจะโต้เถียงนางให้เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ แต่เกรงว่า ยามใดนางคิดสั้นขึ้นมาจริงๆ ก็คงน่าเสียดายที่อุตส่าห์มีชีวิต
รอดเช่นนี้ คิดได้ตามนั้นเขาจึงเก็บถ้อยคำเสีย
“ข้าให้” เขาปรายตามองเด็กหญิงอีกครั้ง “เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวเดินจากไป ไม่เหลียวกลับมามองอีก เขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจ นางก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของนาง เพราะเขาหมุนตัวกลับและเดินจาก
ไปโดยไม่เหลียวมอง เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่า
เด็กหญิงคนหนึ่งเฝ้ามองด้วยหัวใจที่สัตย์ซื่อต่อถ้อยคำของเขา.
….
‘อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว’
หญิงสาวมองปิ่นหยกที่อยู่ในกล่องไม้ ถ้อยคำของเจ้าของปิ่นหยกยังคงวนเวียนในความทรงจำของนางเสมอ ผ่านมาห้าปีแล้ว นางไม่ได้พบคนผู้นั้นอีก เพียงแต่รับรู้การเคลื่อนไหวของเขาอยู่เสมอ
เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า นางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาได้แค่สองวัน ยามนี้กำลังนั่งพับเก็บชุดกระโปรงสีแดงที่ใส่ในวันนั้น ต้องขอบคุณนายหญิงใหญ่ที่เมตตาจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้เด็กกำพร้าอย่างนาง
ผ่านมาห้าปี นางกลายเป็นเด็กกำพร้ามาห้าปีแล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงแจ่มชัด นางยังใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบง่ายกับใบหน้าอัปลักษณ์และขาที่พิการ ครอบครัวสกุลเกาเป็นสหายกับบิดาของนาง ในวันที่หลบหนีการไล่ล่านั้น บิดาได้ทำการนัดหมายคนสกุลเกาไว้แล้ว แต่ไม่อาจพานางไปส่งถึงทันเวลา เกาฮ่วนปิ่ง ประมุขสกุลเกาและประมุขสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม คนสกุลเกาดูแลนางอย่างดียิ่ง บิดาของนางเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเกาฮ่วนปิ่ง เกาฮูหยินเองรักใคร่เอ็นดูนาง เดิมทีเคยเปรยอยู่บ้างเรื่องรับนางเป็นบุตรบุญธรรม แต่นางเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ บิดามารดามีนางเพียงผู้เดียว นางอยากใช้แซ่ของบิดาต่อไป ด้วยความที่นางไม่มีญาติพี่น้องที่ใด นายท่านใหญ่เกาฮ่วนปิ่งจึงรับดูแลนาง บาดแผลของนางนั้นได้นายท่านรอง เกาเทียนฉี น้องชายของเกาฮ่วนปิ่งคอยรักษาดูแลนาง เกาเทียนฉีมีนิสัยแปลกประหลาดไปสักหน่อย เขาชื่นชอบการปรุงยา รอบเรือนพักของเขานั้นมีแปลงปลูกพืชสมุนไพร บางครั้งเขาจะหายตัวไปนานนับเดือนเพื่อเสาะแสวงหาสมุนไพรหายาก
เสิ่นฉางซีอยู่ภายใต้การดูแลของเกาเทียนฉีซึ่งเขารู้จักกับไต้ซือซูอยู่ก่อนแล้ว หากแม้นางมิใช่บุตรสาวของเสิ่นจางเหว่ย เกาเทียนฉีย่อมรับรองดูแลนางตามคำฝากฝังของไต้ซือซู อาการบาดเจ็บของนางเรียกได้ว่าสาหัสยิ่ง เท้าข้างหนึ่งก้าวข้ามประตูปรโลกแล้ว แต่ด้วยการรักษายื้อชีวิตไว้ทำให้นางตื่นฟื้นอีกครั้ง ทว่า ‘ฝ่ามืออัคคี’ นั้นทิ้งบาดแผลที่กลายเป็นแผลเป็น บริเวณหน้าผากของหน้ามีรอยแผลเป็นที่ยามนี้เป็นสีชมพูอ่อนจางแล้ว
ชายผู้นั้นใช้เท้ากระทืบท้องของนางก่อนจะกระทืบซ้ำอีกครั้งที่ต้นขา กระดูกต้นขาแตก นางใช้เวลาอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีกว่าจะลงมาเดินได้ แต่ทำให้นางไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ แผลเป็นอัปลักษณ์ตลอดจนการเดินที่ต้องลากเท้าขวานั้นยังไม่เลวร้ายเท่าการบาดเจ็บภายในที่ไต้ซือซูได้เตือนไว้แล้วว่า นางบาดเจ็บที่ท้องอย่างรุนแรงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และ‘ฝ่ามืออัคคี’ ทำให้นางมีอาการปวดศีรษะอย่างหนักหน่วง นางไม่สามารถเกล้ามวยผมได้ การรวบผมให้เรียบตึงทำให้นางปวดศีรษะจนหลั่งน้ำตา ยามหวีผมต้องสางผมอย่างเบามือ นางจึงทำได้เพียงแค่รวบผมด้วยแถบผ้าเส้นเล็ก หรือเชือกสวยๆ ที่เกาฮูหยินมอบให้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่สามารถประดับเครื่องประดับใดบนศีรษะได้ แต่กระนั้น นางปรารถนาจะเข้าพิธีปักปิ่น ซึ่งนายท่านและฮูหยินเมตตาจัดการให้นางเสร็จสรรพเรียบร้อย เรียกได้ว่าไม่ด้อยกว่าหญิงสาวคนใดในหมู่บ้าน
“น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ
“คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
ความดีใจกับความเศร้าใจบางครั้งก็มาพร้อมกัน เกาเทียนฉียกถุงน้ำขึ้นกรอกน้ำลงคอดับกระหายแล้วใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากง่ายๆ หากเขารู้ว่าเด็กน้อย เอ่อ ไม่ใช่สินะ เด็กสาวคนนั้นมีระดูคงไม่พานางให้ติดตามเขาออกมาเช่นนี้ หากยังอยู่ที่สำนักคุ้มภัยฯ อย่างน้อยก็มีพี่สะใภ้ช่วยสอนนางเรื่องเหล่านี้ได้ เด็กหญิงที่เติบโตโดยไร้มารดานี่ช่างน่าสงสารนัก แต่ในขณะเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าร่างกายของนางฟื้นฟูได้ดี แต่เดิมเกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นงานอดิเรก เขาช่วยงานด้านบัญชีในสำนักคุ้มภัย วรยุทธ์ของเขามิอาจเทียบพี่ใหญ่ได้ แต่ไม่นับว่าด้อยนัก ทว่าหากเป็นเรื่องการคิดคำนวณแล้ว พี่ใหญ่สู้เขามิได้ คิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เป็นพี่น้องที่อายุห่างกันสิบปี แต่กลับเล่นซุกซนเหมือนอายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี หลังจากภรรยาของเขาตายจากทั้งที่แต่งงานกันได้เพียงแค่ปีเศษ เขากลับมาทุ่มเทความสนใจในเรื่องสมุนไพรอีกครั้ง บางที ถ้าเขาจริงจังมากกว่านี้ ภรรยาของเขา...นางอาจจะ... ด้วยเหตุนี้ เมื่อไต้ซือซูและพี่ใหญ่ พาเด็กหญิงตัวน้อยมาทำการรักษาเขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยนาง เขาได้
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล