“คุณชายเกา”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่
“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ย
เการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด
เขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิต
ทั้งชีวิต.
บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว
ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลคลั่งไคล้หวังจะได้นั่งตำแหน่งฮูหยิน
ทว่าเจ้าของดวงตาคมดุจเหยี่ยวคู่นั้นหาได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ไม่
แต่ไหนแต่ไร สมองของเขาคิดเพียงเรื่องการรบ ตั้งแต่กลับเข้าตระกูล เขาก็เข้าสู่การเป็นทหาร และเป็นทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นใคร ยามนั้นเขาไม่ได้โกรธเคืองที่บิดาทำเช่นนั้น คล้ายยอมรับโชคชะตา คล้ายขัดขืนอยู่ในที แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนมั่นใจในตัวเองยิ่ง ใช้เวลาห้าปีสร้างผลงาน ในค่ายทหาร ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือบุตรชายคนโตของตระกูลสวินผู้เป็นนักรบมาหลายชั่วอายุคน
สวินเย่ว์ ได้กลับจวนอย่างสง่าผ่าเผย ผิดกับทุกครั้งที่ เขามักลอบเข้าไปพบบิดามารดาโดยที่ไม่มีผู้อื่นรู้ การกลับเข้าจวนครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการประกาศตัวตนที่แท้จริงของเขา
หญิงสาวประคองตะกร้าที่คล้องแขนไว้ด้วยความระมัดระวังมิให้ถูกผู้คนเบียด นางระวังของในตะกร้ามากกว่าตนเองเสียอีก ผู้คนมากมายโห่ร้องต้อนรับแม่ทัพหนุ่มบนหลังอาชาที่กำลังเคลื่อนผ่านพวกเขาไป ร่างเล็กถูกเบียดไปมาจนผ้าคลุมศีรษะเลื่อนหล่น นางแหงนหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของบุรุษผู้นั้นที่สายตายังคงมองตรงไปด้านหน้าไม่เหลียวมองรอบข้างเลยสักนิด เสิ่นฉางซีเผลอยิ้มบางเบา มองจนเห็นแผ่นหลังของเขาผ่านไปลับตาแล้วจึงยกมือจับผ้าคลุมศีรษะให้มิดชิดอีกครั้ง แล้วค่อยๆ แทรกตัวออกจากฝูงชนเดินลัดเลาะในถนนเส้นรองมาจนมาถึงตรอกด้านหลังจวนสกุลสวิน บ่าวชายที่เฝ้าประตูด้านหลังเห็นหญิงสาวจึงเอ่ยทักด้วยความคุ้นเคย
“พี่ชาย รบกวนขอพบแม่ครัวหนวนเจ้าค่ะ”
“แม่นางฉางซี” คนเฝ้าประตูส่งยิ้มให้ “เจ้าเข้าไปได้เลย แม่ครัวได้แจ้งกับพวกเราไว้แล้ว”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มเล็กน้อยแล้วล้วงหยิบเอาห่อสมุนไพรส่งให้คนเฝ้าประตูคนละห่อ “นี่เป็นสมุนไพรบำรุงข้อและกระดูก พี่ชายยืนทั้งวันจะปวดเข่าได้ ต้มดื่มในตอนเช้าจะช่วยบำรุงเจ้าค่ะ”
“พวกข้าไม่เกรงใจละนะ ขอบใจแม่นางเสิ่นมาก”
หญิงสาวก้มศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย สองปีมานี้ นางมาส่งสมุนไพรและของป่าหายากให้จวนสกุลสวินมาตลอด เดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง แรกทีเดียวนางรู้จักแม่ครัวหนวนเพราะนางเอาสมุนไพรป่ามาขายที่ร้านขายยา บังเอิญได้พบแม่ครัวหนวนที่มาซื้อสมุนไพรนำไปทำอาหาร นางถูกคำว่า ‘สกุลสวิน’ ดึงดูด จึงเข้าไปพูดคุยและแนะนำเรื่องรายการอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพ
สำหรับเสิ่นฉางซีแล้ว สิ่งที่นางทำอยู่เพื่อ ‘ตอบแทน’ ผู้มีพระคุณของนาง
“แม่ครัวหนวน” หญิงสาวร้องทัก แม่ครัวร่างอวบหันมาตามเสียงเรียกเห็นเป็นคนที่รออยู่ก็ยิ้มกว้าง กวักมือเรียกนางเข้าไปหา “วันนี้ข้าได้เขากวางอ่อนมาเจ้าค่ะ ใช้บำรุงไขข้อและทำให้กระฉับกระเฉง”
“เจ้ามาเสียที” แม่ครัวยิ้มออกมาได้ “แขกมาเต็มจวน ข้าทำไม่ทันแล้ว เจ้ามาช่วยเป็นลูกมือข้าหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ เดินลากขาข้างขวาไปล้างมือแล้วรับผ้ากันเปื้อนมาสวมทับชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ตนสวมอยู่ นางผูกปมผ้าคลุมศีรษะให้แน่นขึ้นเพื่อทำงานในครัวได้สะดวก
“นังหนู มาช่วยทำปลาเร็ว”
“ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวหมุนตัวไปช่วยแม่ครัวทันที แค่แม่ครัวสั่งนางก็ทำตามได้อย่างคล่องแคล่ว แล่เนื้อปลาไร้ก้างวางใส่จานให้อย่างดี
“วันนี้คุณชายใหญ่กลับเข้าจวน ผู้คนมาแสดงความยินดีมากมายนัก อาหารทำแทบไม่ทันทั้งที่เตรียมไว้ก่อนแล้วแท้ๆ”
“คุณชายใหญ่?” เสิ่นฉางซีทวนคำที่ได้ยินแต่มือก็ยังทำงานไม่ได้หยุดนิ่ง
“นังหนูคงไม่เคยเห็น คุณชายใหญ่ของเราก็คือแม่ทัพสวินเย่ว์”
นางพยักหน้าหงึกหงัก เก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ นางมาขายสมุนไพรหรือของป่ามิใช่ความบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจ สำหรับคนผู้นั้นอาจลืมเลือนนางไปนานแล้ว แต่สำหรับนางแล้วการได้เฝ้าติดตามข่าวคราวของเขาคือความสุขของนาง
ห้าปีก่อน ตั้งแต่วันที่เขาจากไป นางเฝ้าติดตามข่าวคราวของเขาเรื่อยมา จากการสอบถามกับไต้ซือซูจึงได้รู้ว่าเขาชื่อสวินเย่ว์ นางอยากขอบคุณที่เขาเมตตาช่วยเหลือ ซ้ำยังอุ้มนางไว้อย่างไม่รังเกียจ แต่นางรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น ช่วงเวลาที่ไต้ซือซูรักษานางนั้น สวินเย่ว์ไม่ชอบให้ผู้อื่นเข้าใกล้ วันที่ไต้ซือซูอำลาพร้อมกับพาสวินเย่ว์ไปด้วยนั้น เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ แม้นางจะอายุแค่สิบขวบกลับรู้ได้ดีว่าเขามิใช่คนธรรมดา นางจึงหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
นางได้แต่มองแผ่นหลังของเขาไปไกลสุดสายตา
นับตั้งแต่นั้น นางอาศัยในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม ค่อยๆ เก็บเกี่ยวเรื่องราวของเขามาเป็นเรื่องของตนเอง ช่วงที่นางรักษาตัวอยู่ในห้อง ไต้ซือซูบอกเล่าเรื่องของสวินเย่ว์ราวกับเล่านิทานให้นางฟัง นางจึงรู้ฐานะที่แท้จริงของเขาและเหตุผลที่จำเป็นต้องติดตามไต้ซือซูใช้ชีวิตนอกจวนอันใหญ่โตถึงสี่ปี
‘นังหนู’
นางจำได้ว่าวันนั้นไต้ซือซูเล่าเรื่องชะตาทรราชของสวินเย่ว์ให้นางฟัง
‘เจ้าไม่กลัวชายผู้นั้นรึ’ ใบหน้าเปี่ยมเมตตาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เด็กหญิงส่ายหน้าไปมา ‘เขาเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะกลัวเขาได้อย่างไร’
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
ความดีใจกับความเศร้าใจบางครั้งก็มาพร้อมกัน เกาเทียนฉียกถุงน้ำขึ้นกรอกน้ำลงคอดับกระหายแล้วใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากง่ายๆ หากเขารู้ว่าเด็กน้อย เอ่อ ไม่ใช่สินะ เด็กสาวคนนั้นมีระดูคงไม่พานางให้ติดตามเขาออกมาเช่นนี้ หากยังอยู่ที่สำนักคุ้มภัยฯ อย่างน้อยก็มีพี่สะใภ้ช่วยสอนนางเรื่องเหล่านี้ได้ เด็กหญิงที่เติบโตโดยไร้มารดานี่ช่างน่าสงสารนัก แต่ในขณะเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าร่างกายของนางฟื้นฟูได้ดี แต่เดิมเกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นงานอดิเรก เขาช่วยงานด้านบัญชีในสำนักคุ้มภัย วรยุทธ์ของเขามิอาจเทียบพี่ใหญ่ได้ แต่ไม่นับว่าด้อยนัก ทว่าหากเป็นเรื่องการคิดคำนวณแล้ว พี่ใหญ่สู้เขามิได้ คิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เป็นพี่น้องที่อายุห่างกันสิบปี แต่กลับเล่นซุกซนเหมือนอายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี หลังจากภรรยาของเขาตายจากทั้งที่แต่งงานกันได้เพียงแค่ปีเศษ เขากลับมาทุ่มเทความสนใจในเรื่องสมุนไพรอีกครั้ง บางที ถ้าเขาจริงจังมากกว่านี้ ภรรยาของเขา...นางอาจจะ... ด้วยเหตุนี้ เมื่อไต้ซือซูและพี่ใหญ่ พาเด็กหญิงตัวน้อยมาทำการรักษาเขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยนาง เขาได้
“ข้าไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ แน่” นางตวัดแส้ในมือลงพื้นระบายอารมณ์ แต่ปลายแส้ถูกปลายเท้าของชายหนุ่ม ทำเอาอีกฝ่ายกระโดดหลบแทบไม่ทัน “ช่างเถอะ คนผู้นั้นต้องพิษของข้าคงไปได้ไม่ไกล พวกเจ้าลองหาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ เราก็มุ่งหน้าไปตามเป้าหมายเดิม” “นี่เจ้า!” “เจ้านี่ก็เกะกะสายตาข้าเสียจริง” หญิงสาวเก็บแส้แล้วเหยียดยิ้มมองด้วยสายตาเวทนา “เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าเป็นปัญญาอ่อน ข้าจะไม่ถือสา หลีกทาง!” “ปัญญาอ่อน?” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเบิกตากว้าง “มารดาเถอะ! เจ้าด่าข้าเรอะ!”เกาเทียนฉีชี้นิ้วใส่อีกฝ่ายด้วยความโมโห ไม่คิดว่าจะถูกสตรีบอบบางคนหนึ่งด่าว่าเอาเช่นนี้ ด้วยความโมโหจึงพุ่งตัวไปหมายสั่งสอนอีกฝ่าย แต่หญิงสาวพลิ้วกายหลบหลีกได้ไม่ยากเย็น ซ้ำยังอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายรุกอย่างไร้ท่วงท่าจี้สกัดจุดอีกฝ่ายแล้วยกเท้าถีบร่างสูงโปร่งกลิ้งไปบนพื้น “หญิงบ้า! เจ้ากล้า!” “ถ้าไม่หุบปาก ข้าจี้จุดใบ้เจ้าแน่” นางใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างที่แข็งทื่ออยู่บนพื้นดิน “ทำข้าเสียเวลา อยู่นิ่งๆ สักสองสามชั่วยามเถอะ! ว่าที่สามีของข้าไม่
เด็กสาวถามตัวเองแล้วม้วนตัวแหวกว่ายในสายน้ำ เสียงหัวเราะเยาะ สายตาที่มองอย่างเวทนา หรือแม้แต่ก้อนหินที่ปาใส่เพราะใบหน้ามีรอยแผลอัปลักษณ์น่าเกลียดนี้ แม้บาดแผลเหล่านี้จางลงกว่าก่อนมาก แต่...นางไม่อาจลืมทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้เลย และมันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้นางอดทนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านพ่อปกป้องนาง ไต้ซือซู นายท่านรอง และยังมี...ชายผู้นั้น...รวมทั้งใครต่อใครมากมายที่ดีกับนาง เพื่อให้นางได้เติบโตมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจะต้องมีชีวิตที่ดีมีความสุขให้สมกับที่พวกเขาช่วยเหลือนางมาตลอด อากาศที่เก็บไว้ใกล้หมด แม้จะนับถือตนเองที่ดำน้ำเก่งกาจขึ้นทุกวันแต่นางมิใช่ปลา ถึงอย่างไรก็ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ ร่างบางโผล่ขึ้นจากใต้น้ำ อ้าปากสูดเอาอากาศเข้าเต็มปอด ทว่าร่างของนางกลับถูกรวบกอดจากด้านหลัง หญิงสาวเอี้ยวตัวหันไปมองกลับพบดวงตาร้อนแรงคู่หนึ่งจับจ้อง พร้อมกับริมฝีปากบางที่ครอบครองริมฝีปากของนาง ดวงตากลมเบิกตากว้างฉายแววตระหนกนี่ความฝันหรือความจริงเหตุใดเป็นเขา! เพราะทะนงในฝีมือตนเองจึงพลาดพลั้งเสียท่าอย่างน่าอับอายเช่นนี้
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล