Home / รักโบราณ / จารใจทุรยศ / Chapter 6. ลิขิตชีวิตตัวเอง

Share

Chapter 6. ลิขิตชีวิตตัวเอง

last update Last Updated: 2025-03-03 21:36:08

‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’

 ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’

ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง

‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’

ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด

            สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง

            ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย  แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่อยืนอยู่หน้าเตาได้  นางเรียนรู้การทำอาหารจากพ่อครัว ยามอยู่กับเกาฮูหยินก็ฝึกฝนงานเย็บปัก  เการุ่ยเฉียงมักเรียกนางไปฝึกคัดตัวอักษรพร้อมกัน นางทำตามไม่อิดออด ทั้งอ่านตำราท่องโคลงกลอน  นายท่านรองกวักมือเรียกนางไปสวนสมุนไพร นางคว้าตะกร้าวิ่งกะโผลกกะเผลกตามไป โดยไม่ต้องให้นายท่านเอ่ยปากเรียกซ้ำ มีเพียงการฝึกยุทธ์ที่นางไม่อาจทำได้ ด้วยสภาพร่างกายที่บาดเจ็บตั้งแต่ครั้งนั้น

            นางหวังเพียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ท่านพ่อ ท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้ไม่เป็นทุกข์ใจเพราะนาง

            “ฉางซี”

            “เจ้าคะ”

            เสียงแม่ครัวหนวนเรียกทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ นางช่วยงานร่วมชั่วยาม เห็นทีควรกลับได้แล้ว มิเช่นนั้นนายท่านรองจะรอนาน

            หรืออาจจะไม่ได้รอนางอยู่ก็เป็นได้

            “เจ้านี่น่าจะมาสมัครเป็นแม่ครัวในจวนนี้นะ”

            “ข้าหรือ?” นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง แล้วก็ยิ้มออกมา

            “เจ้าอายุยังน้อย ฝึกฝนเอาดีด้านนี้ย่อมเป็นแม่ครัวใหญ่ได้แน่ อย่าเอาแต่หาของป่าหรือสมุนไพรมาขายเลย”

            นางส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้ม นางจะออกจากสกุลเกาได้อย่างไร ทุกคนดีต่อนางมาก แม้นางไม่มีเบี้ยรายเดือนเช่นผู้อื่น แต่ทุกครั้งที่ทำงานก็มีคนยื่นก้อนเงินให้นางเสมอ นายท่านรองพานางขึ้นเขาเข้าป่าเรียนรู้การหาของป่าและสมุนไพร อนุญาตให้นางนำออกมาขายได้ด้วยตนเอง นับว่าเป็นการสอนให้นางใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง การที่นางแอบมาเป็นลูกมือแม่ครัวจวนสกุลสวินเช่นนี้ไม่มีผู้ใดรู้ นางเกรงว่าทุกคนเข้าใจผิดคิดว่าเงินทองขาดมือ หรือถูกผู้อื่นรังแกจนอยู่ในสกุลเกาไม่ได้ จนต้องมาทำงานเช่นนี้

นางเพียงแค่อยากรู้สึก ‘ใกล้ชิด’ ผู้มีพระคุณของนางก็เท่านั้น

            แย่จริง! นางอายุแค่สิบห้า เพิ่งพ้นวันปักปิ่นมาแค่ครึ่งเดือน เหตุใดเอาแต่หมกมุ่นคิดถึงแต่เรื่องบุรุษผู้นั้นนะ

            เสิ่นฉางซีปลดผ้ากันเปื้อน ล้างไม้ล้างมือจนสะอาด นางเอ่ยลาคนในครัวอีกเล็กน้อยแล้วเดินออกทางประตูหลังของจวน เสียงดนตรีที่แผ่วดังลอยมาตามลมทำให้นางชะงักแล้วเอี้ยวตัวหันไปมองเล็กน้อย  นางกระชับผ้าคลุมศีรษะอีกครั้งคล้ายย้ำถึงความอัปลักษณ์ของตนเองก่อนยิ้มเศร้าออกมา ได้ใกล้ชิดแค่นี้ก็พอแล้ว อย่าให้หญิงอัปลักษณ์อย่างนางเป็นที่ระคายสายตาผู้อื่นเลย

            เด็กสาวระบายลมหายใจ หมุนตัวเดินออกมาแล้วค่อยๆ เร่งเท้าเดินเร็วขึ้นเพราะเกรงว่าคนที่มาด้วยจะรอนาน นางเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางสายรอง จนมาถึงโรงหมอหวังข่าย เด็กสาวยิ้มให้คนที่เฝ้าหน้าประตูแล้วก้าวเข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย พลันเห็นบุรุษสองคนนั่งประจันหน้ากันอยู่โดยมีกระดานหมากล้อมวางอยู่ตรงกลาง เสิ่นฉางซีลอบยิ้มอย่างโล่งอกแล้วค่อยๆ นั่งลงไม่รบกวนคนทั้งสอง

            “แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้เถิด ท่านเกาเทียนฉี”

            “ได้อย่างไรกัน ข้ายัง...” จะบอกว่าไม่แพ้ก็พูดได้ไม่เต็มปาก จึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดของตัวเองเสีย

            “นี่ๆ ท่านเกาเทียนฉี ข้าอยากให้นังหนู อ่อ ไม่สิ เจ้าไม่ใช่นังหนูแล้วนี่” ท่านหมอหวังข่ายชำเลืองตามองเด็กสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มเอ็นดูให้นาง “ฉางซีเป็นสาวแล้วนี่นะ”

            “ท่านหมอหวังอย่าล้อข้าเล่นเลยเจ้าค่ะ” เสิ่นฉางซีหัวเราะเบาๆ แล้วรินน้ำชาให้ทั้งสองท่าน

            “เจ้ามาศึกษาการรักษาคนกับข้าดีกว่าไปอยู่สวนสมุนไพรชายป่าโน้น” คนเป็นหมออดส่ายหน้าด้วยความเสียดายไม่ได้ เด็กคนนี้มีแววดี แม้เป็นสตรีแต่หากฝึกฝนให้ดี วันข้างหน้าย่อมมีหนทางก้าวหน้าเป็นแน่

            “ไม่ได้” เกาเทียนฉีรีบแย้งทันควัน “หากนางมาอยู่กับหมออย่างเจ้า แล้วใครจะช่วยดูแลสวนสมุนไพรของข้า นางมือเย็น เพาะปลูกสิ่งใดก็งอกงามได้ดี” 

            “เจ้านี่ช่างเห็นแก่ตัวนัก ให้เด็กสาวบอบบางไปทำงานในไร่ในสวนได้รึ!”

            “แล้วเจ้าเล่า นางเป็นหญิงจะให้ไปเป็นหมอถูกเนื้อต้องตัวบุรุษได้อย่างไรกัน”

            ทั้งสองต่างแยกเขี้ยวยิงฟันใส่กัน เสิ่นฉางซีมิได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่นางอดหัวเราะกับท่าทางเหมือนเด็กน้อยของบุรุษทั้งสองมิได้  ดีจริง เป็นหญิงอัปลักษณ์ที่มีคนต้องการตัวเช่นนี้

            “นายท่านรอง ถ้าไม่รีบเดินทางกลับ เห็นทีว่าจะกลับเข้าสำนักคุ้มภัยมืดค่ำนะเจ้าคะ”

            “อ๊ะ! ข้านี่ก็แย่จริง มาส่งสมุนไพรให้เจ้าหมอหัวรั้นนี่ทีไร อยู่เล่นหมากล้อมลืมเวลากันทุกที” เกาเทียนฉีอาศัยเหตุผลนี้แสร้งทำเป็นไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในหมากล้อมกระดานนี้

“เช่นนั้นข้าขอลาท่านแล้ว”

            “ประเดี๋ยวก่อน” คนเป็นหมอลุกเดินตามแต่ไม่ทัน “นางไม่ใช่เด็กแล้ว อย่าจับมือนางเช่นนั้นสิ”

            หมอหวังข่ายเห็นเกาเทียนฉีคว้าข้อมือเด็กสาวได้รีบจ้ำพรวดๆ ออกมา เขาได้แต่ตะโกนไล่หลังด้วยความโมโหเจ้าคนไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้วยังพาตัวเด็กสาวไปหน้าตาเฉย เกาเทียนฉีจูงมือเสิ่นฉางซีมาถึงรถม้าที่จอดไว้ด้านหลังโรงหมอของหวังข่าย แท้จริงทั้งสองเป็นสหายรักกันแต่มักพูดจาเหมือนคนทะเลาะกันตลอดเวลา ปีนี้เกาเทียนฉีอายุยี่สิบหกแล้ว เขาเคยแต่งภรรยาแต่นางป่วยตายหลังจากแต่งงานกันได้เพียงปีเศษ หลังจากนั้นเขาไม่เคยมีสตรีเคียงข้าง วันๆ คล้ายคนบ้าเอาแต่คลุกอยู่กับสวนสมุนไพร

Related chapters

  • จารใจทุรยศ    Chapter 7. นายท่านรอง

    เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า

    Last Updated : 2025-03-03
  • จารใจทุรยศ    Chapter 8. ใครว่าข้าไม่แข็งแรง

    “อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็

    Last Updated : 2025-03-03
  • จารใจทุรยศ    Chapter 9. สวินเย่ว์        

    "ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์

    Last Updated : 2025-03-03
  • จารใจทุรยศ    Chapter 10. เก็บสมุนไพร

    “เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน

    Last Updated : 2025-03-03
  • จารใจทุรยศ    Chapter1. บทนำ

    รถม้าคันหนึ่งถูกไล่ล่ามากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างบอบบางของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่สวมชุดเด็กชายอยู่นั้น ถูกบิดากอดไว้แนบแน่นอย่างปกป้อง เด็กน้อยจ้องมองหัวไหล่ของบิดาที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงร้องแต่กระนั้นน้ำตาหยดใสยังไหลรินจากดวงตาคู่งาม หนีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ อีกแค่ไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดสวรรค์ไม่เมตตา “พ่อผิดต่อเจ้าแล้ว ซีเอ๋อร์” น้ำเสียงของบิดาปลอบประโลมอยู่ริมหู หัวใจเหมือนมีมือยักษ์มาบีบเค้นจนเจ็บปวดเกินพรรณนา ด้วยสถานการณ์บังคับ เขาในฐานะหัวหน้าองครักษ์ต้องปกป้ององค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้กลับต้องใช้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมชุดรัชทายาทลวงเหล่านักฆ่ามาอีกทางเพื่อให้คนของเขาพาองค์รัชทายาทเสด็จกลับวังโดยด่วน “ซีเอ๋อร์อย่าได้กลัว” วงแขนโอบกอดบุตรสาวแนบแน่น ภรรยารักของเขานั้นเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ในวังหลวง เมื่ออยู่จนอายุครบกำหนดก็ออกมาใช้ชีวิตนอกวังตามกฎ เขาผู้แอบรักนางมาเนิ่นนานจึงได้แต่งงานกันอย่างเงียบๆ มีบุตรสาวที่แสนน่ารัก ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องใช้ชีวิตบุตรสาวตัวเองทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้

    Last Updated : 2025-03-02
  • จารใจทุรยศ    Chapter 2. เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า

    “ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้ เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“โอ๊ย!”เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และค

    Last Updated : 2025-03-02
  • จารใจทุรยศ    Chapter 3. เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า

    “ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ

    Last Updated : 2025-03-02
  • จารใจทุรยศ    Chapter 4. เติบโต

    “น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ

    Last Updated : 2025-03-02

Latest chapter

  • จารใจทุรยศ    Chapter 10. เก็บสมุนไพร

    “เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน

  • จารใจทุรยศ    Chapter 9. สวินเย่ว์        

    "ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์

  • จารใจทุรยศ    Chapter 8. ใครว่าข้าไม่แข็งแรง

    “อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็

  • จารใจทุรยศ    Chapter 7. นายท่านรอง

    เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า

  • จารใจทุรยศ    Chapter 6. ลิขิตชีวิตตัวเอง

    ‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่

  • จารใจทุรยศ    Chapter 5. นับตั้งแต่นั้น

    “คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค

  • จารใจทุรยศ    Chapter 4. เติบโต

    “น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ

  • จารใจทุรยศ    Chapter 3. เสิ่นฉางซีในวัยสิบห้า

    “ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ

  • จารใจทุรยศ    Chapter 2. เจ้าจะได้จำได้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้า

    “ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้ เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“โอ๊ย!”เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และค

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status