"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้
สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที
“เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ”
“หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้
“ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”
สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ
“เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า”
“ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้”
รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์ ครานั้นเขายังไม่รู้ว่า ‘สวินเย่ว์’ เป็นใคร เพียงแต่เห็นว่าเขาเป็นทหารระดับล่างที่มีฝีมือดี สวินเย่ว์เคยช่วยเขาเมื่อครั้งที่ลอบออกจากตำหนักสองหรือสามครั้ง ใบหน้าเรียบนิ่งและท่าทีหยิ่งยโสนั้นรบกวนจิตใจเขา คนผู้นี้ไม่เปิดโปงเขาและไม่ปากมาก เดิมทีคิดจะลากสวินเย่ว์มาเป็นองครักษ์ข้างกาย แต่อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เขาจึงรู้สึกว่าทหารผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงคบหาอย่างสหาย แม้ไม่ได้พบเจอกันบ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ได้พบกลับรู้สึกราวกับคนคุ้นเคย เมื่อรู้ความจริงว่าสวินเย่ว์เป็นบุตรชายคนโตสกุลสวิน ตระกูลนักรบหลายชั่วอายุคน เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
สวินเย่ว์เองรู้ดีมาตั้งแต่พบหน้าฝูหรงครั้งแรกว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท แม้ตัวเขาใช้ชีวิตนอกจวน แต่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวังหลวงและการทหารย่อมอยู่ในสายตาของเขาตลอด มิเช่นนั้นเขาจะยังสามารถใช้ชีวิตรอดพ้นคมกระบี่มาถึงเวลานี้ได้หรือ? แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการให้เขารู้ เขาจึงแสร้งไม่รู้ กระทั่งยามที่ได้พบกันในท้องพระโรง เขาไม่เห็นแววตาแตกตื่นหรือประหลาดใจของฝูหรงแม้แต่น้อย ตามจริงแล้ว เมื่อฐานะที่แท้จริงของเขาเปิดเผย ฝูหรงไม่จำเป็นต้องแต่งกายชุดขันทีลอบมาพบเขาเช่นนี้
หรือว่าชายผู้นี้ชอบชุดขันทีจริงๆ
ฝูหรงเห็นแววตาวูบหนึ่งของสวินเย่ว์มีคำถามแล้วก็กลบเกลื่อนด้วยการมองไปทางอื่น
“ดูเหมือนเจ้าไม่ชอบอยู่จวนเท่าไหร่นี่” ฝูหรงไม่ใส่ใจสายตาแปลกๆ วูบนั้น
“แค่ไม่คุ้น มิใช่ไม่ชอบ” สวินเย่ว์ไหวไหล่เล็กน้อย “อีกอย่างการที่ข้าเลื่อนมารับตำแหน่งแม่ทัพในครั้งนี้ทั้งที่เหตุการณ์ไม่คลี่คลายดีนัก ข้าอยากกลับไปสะสางให้แล้วเสร็จ”
“อ้อ...เจ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพมีความดีความชอบเพราะสังหารแม่ทัพที่คิดก่อกบฏ” ฝูหรงแสร้งพูดเหมือนเพิ่งนึกได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แสดงว่าคนในสกุลสวินนั้นระแคะระคายเรื่องเหล่านี้มาตลอดจึงยอมส่งบุตรชายคนโตเข้ากองทัพโดยไม่เปิดเผยตัวจริงออกไป “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้จะทรงพระราชทานงานสมรสให้เจ้าด้วยนี่ เจ้าจะได้เป็นถึงราชบุตรเขยเลยทีเดียว”
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นแล้วปรายตามองอีกฝ่าย เรื่องนี้เขาได้ยินมาบ้างและแจ้งกับบิดาให้ช่วยยับยั้งไว้ก่อน หรือจะให้ดีก็ทำให้ฮ่องเต้เลิกคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้เสีย
“บ้านเมืองยังไม่สงบ อย่าได้เสียเวลากับเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
“ฟังเหตุของเจ้าแล้วดูดีนัก หรือเจ้ามีนางในดวงใจ อย่างไรให้ข้าช่วยออกหน้าให้ดีหรือไม่” ฝูหรงอดกระเซ้าสหายมิได้ นอกจากสวินเย่ว์
แล้ว เขาไม่ค่อยได้พูดจาเช่นนี้กับผู้ใด
“ข้าไม่ได้มีเวลาว่างคิดเรื่องพรรค์นั้น”
“หรือเจ้าชอบบุรุษ”
คราวนี้เห็นเส้นเลือดที่ขมับของสวินเย่ว์เต้นตุบๆ ขึ้น ฝูหรงจึงยอมรามือ
“สรุปว่าเจ้ามีเรื่องที่อยากทำแต่ยังออกไปไม่ได้สินะ”
“ท่านเองก็คงไม่ต่างจากข้า” เขาปรายตามองชุดขันทีอีกครั้ง
“ข้าแค่อยากหาเด็กคนนั้นให้พบ” ฝูหรงระบายลมหายใจเบาๆ
“ผ่านมาห้าปีแล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่คงเติบโตอายุสิบสี่สิบห้าแล้ว” สวินเย่ว์รู้เหตุผลที่องค์รัชทายาท ลอบออกจากตำหนักบูรพา มิใช่เที่ยวเล่น แต่เพื่อตามหาใครคนหนึ่ง ฝูหรงไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมาก บอกเล่าแค่ว่าเมื่อห้าปีก่อนมีเด็กหญิงคนหนึ่งช่วยเขาไว้ให้รอดพ้นการลอบสังหาร
“หรือนางอาจตายไปนานแล้วก็เป็นได้”
ฝูหรงพยักหน้ายอมรับ “ไม่พบศพนาง ข้าไม่อาจทำใจได้ว่านางตายแล้ว”
“หรือเพราะเจ้ารู้สึกติดค้าง จึงไม่ยอมรับว่านางตายไปแล้ว”
ฝูหรงหัวเราะเสียงปร่าเหมือนเย้ยหยันตนเอง หลายปีมานี่เขาพยายามตามหา ‘เด็กหญิง’ ที่ไม่รู้ชื่อคนหนึ่ง แววตาของนางประทับในหัวใจของเขา นางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยินดีสวมเสื้อคลุมปลอมตัวเป็นเขา เพื่อให้เขาได้หลบหนีจากการถูกลอบสังหาร นางควรหวาดกลัว แต่แววตาของนางยังเป็นประกายงดงาม รอยยิ้มไร้เดียงสา ราวกับไม่รู้ว่านี่เป็นการเดินไปสู่ความตาย
เขารู้เพียงแค่ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่น
“เอาเถอะ อย่างไรข้าจะช่วยสืบข่าวให้อีกทาง” สวินเย่ว์เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเห็นฝูหรงตื่นจากภวังค์และหันมามองทางเขา ชายหนุ่มก็ยกมุมปากขึ้น
แต่รอยยิ้มของสวินเย่ว์ทำให้ฝูหรงขมวดคิ้ว
“ข้าจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่” เขายิ้มเย็นแล้วขยับข้อมือซ้ายขวาสลับไปมา เหมือนชั่งใจว่าจะใช้มือข้างไหนดี
“แล้ว?”
“ตามจริงแล้ว ทุกคนใช้เหตุผลที่ว่า ข้าเพิ่งเสร็จศึกให้อยู่แต่ในจวนเพื่อพักผ่อน แต่ข้าอยากออกไปสืบข่าวบางเรื่อง” เขาเชื่อว่าเบื้องหลังอดีตแม่ทัพใหญ่ต้องมีคนหนุนอย่างแน่นอน อีกอย่างตอนที่ประมือกับอดีตท่านแม่ทัพ มีชายลึกลับมาช่วย ปกติแล้วชาวยุทธ์ไม่ยุ่งกับทางการ น้อยนักที่จะเห็นคนของพรรคใดมาก้าวก่ายในเรื่องราชสำนักอย่างเปิดเผย
โดยเฉพาะ คนผู้นั้นใช่ ‘ฝ่ามืออัคคี’
ฝ่ามืออัคคีร้ายกาจนัก มิมีผู้ใดรอดพ้นความตาย แต่เด็กหญิงคนนั้นรอด...
สวินเย่ว์เผลอคิดถึงเด็กหญิงคนนั้น ร่างกายของนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและกลิ่นเนื้อไหม้ ใครจะรู้ว่านางรอดพ้นจากความตาย หากเป็นผู้อื่นคงสติฟั่นเฟือน ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา แต่นาง...กลับส่งยิ้มและเรียกเขาว่า ‘ผู้มีพระคุณ’
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
ความดีใจกับความเศร้าใจบางครั้งก็มาพร้อมกัน เกาเทียนฉียกถุงน้ำขึ้นกรอกน้ำลงคอดับกระหายแล้วใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากง่ายๆ หากเขารู้ว่าเด็กน้อย เอ่อ ไม่ใช่สินะ เด็กสาวคนนั้นมีระดูคงไม่พานางให้ติดตามเขาออกมาเช่นนี้ หากยังอยู่ที่สำนักคุ้มภัยฯ อย่างน้อยก็มีพี่สะใภ้ช่วยสอนนางเรื่องเหล่านี้ได้ เด็กหญิงที่เติบโตโดยไร้มารดานี่ช่างน่าสงสารนัก แต่ในขณะเดียวกัน ย่อมแสดงให้เห็นว่าร่างกายของนางฟื้นฟูได้ดี แต่เดิมเกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรเป็นงานอดิเรก เขาช่วยงานด้านบัญชีในสำนักคุ้มภัย วรยุทธ์ของเขามิอาจเทียบพี่ใหญ่ได้ แต่ไม่นับว่าด้อยนัก ทว่าหากเป็นเรื่องการคิดคำนวณแล้ว พี่ใหญ่สู้เขามิได้ คิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ เป็นพี่น้องที่อายุห่างกันสิบปี แต่กลับเล่นซุกซนเหมือนอายุห่างกันแค่ไม่กี่ปี หลังจากภรรยาของเขาตายจากทั้งที่แต่งงานกันได้เพียงแค่ปีเศษ เขากลับมาทุ่มเทความสนใจในเรื่องสมุนไพรอีกครั้ง บางที ถ้าเขาจริงจังมากกว่านี้ ภรรยาของเขา...นางอาจจะ... ด้วยเหตุนี้ เมื่อไต้ซือซูและพี่ใหญ่ พาเด็กหญิงตัวน้อยมาทำการรักษาเขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจ เพื่อช่วยนาง เขาได้
“ข้าไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ แน่” นางตวัดแส้ในมือลงพื้นระบายอารมณ์ แต่ปลายแส้ถูกปลายเท้าของชายหนุ่ม ทำเอาอีกฝ่ายกระโดดหลบแทบไม่ทัน “ช่างเถอะ คนผู้นั้นต้องพิษของข้าคงไปได้ไม่ไกล พวกเจ้าลองหาอีกสักรอบ ถ้าไม่เจอ เราก็มุ่งหน้าไปตามเป้าหมายเดิม” “นี่เจ้า!” “เจ้านี่ก็เกะกะสายตาข้าเสียจริง” หญิงสาวเก็บแส้แล้วเหยียดยิ้มมองด้วยสายตาเวทนา “เอาเถิด เห็นแก่ที่เจ้าเป็นปัญญาอ่อน ข้าจะไม่ถือสา หลีกทาง!” “ปัญญาอ่อน?” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเบิกตากว้าง “มารดาเถอะ! เจ้าด่าข้าเรอะ!”เกาเทียนฉีชี้นิ้วใส่อีกฝ่ายด้วยความโมโห ไม่คิดว่าจะถูกสตรีบอบบางคนหนึ่งด่าว่าเอาเช่นนี้ ด้วยความโมโหจึงพุ่งตัวไปหมายสั่งสอนอีกฝ่าย แต่หญิงสาวพลิ้วกายหลบหลีกได้ไม่ยากเย็น ซ้ำยังอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายรุกอย่างไร้ท่วงท่าจี้สกัดจุดอีกฝ่ายแล้วยกเท้าถีบร่างสูงโปร่งกลิ้งไปบนพื้น “หญิงบ้า! เจ้ากล้า!” “ถ้าไม่หุบปาก ข้าจี้จุดใบ้เจ้าแน่” นางใช้ปลายเท้าเขี่ยร่างที่แข็งทื่ออยู่บนพื้นดิน “ทำข้าเสียเวลา อยู่นิ่งๆ สักสองสามชั่วยามเถอะ! ว่าที่สามีของข้าไม่
เด็กสาวถามตัวเองแล้วม้วนตัวแหวกว่ายในสายน้ำ เสียงหัวเราะเยาะ สายตาที่มองอย่างเวทนา หรือแม้แต่ก้อนหินที่ปาใส่เพราะใบหน้ามีรอยแผลอัปลักษณ์น่าเกลียดนี้ แม้บาดแผลเหล่านี้จางลงกว่าก่อนมาก แต่...นางไม่อาจลืมทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้เลย และมันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้นางอดทนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านพ่อปกป้องนาง ไต้ซือซู นายท่านรอง และยังมี...ชายผู้นั้น...รวมทั้งใครต่อใครมากมายที่ดีกับนาง เพื่อให้นางได้เติบโตมีชีวิตอยู่ต่อไป นางจะต้องมีชีวิตที่ดีมีความสุขให้สมกับที่พวกเขาช่วยเหลือนางมาตลอด อากาศที่เก็บไว้ใกล้หมด แม้จะนับถือตนเองที่ดำน้ำเก่งกาจขึ้นทุกวันแต่นางมิใช่ปลา ถึงอย่างไรก็ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ ร่างบางโผล่ขึ้นจากใต้น้ำ อ้าปากสูดเอาอากาศเข้าเต็มปอด ทว่าร่างของนางกลับถูกรวบกอดจากด้านหลัง หญิงสาวเอี้ยวตัวหันไปมองกลับพบดวงตาร้อนแรงคู่หนึ่งจับจ้อง พร้อมกับริมฝีปากบางที่ครอบครองริมฝีปากของนาง ดวงตากลมเบิกตากว้างฉายแววตระหนกนี่ความฝันหรือความจริงเหตุใดเป็นเขา! เพราะทะนงในฝีมือตนเองจึงพลาดพลั้งเสียท่าอย่างน่าอับอายเช่นนี้
“ไฉนตัวท่านร้อนเช่นนี้!” ขนาดอยู่ในน้ำเขายังตัวร้อนราวเปลวเพลิง นางกังวลเรื่องของเขามากกว่าเรื่องที่ตนเองแทบจะเปลือยเปล่า เขาไม่เอ่ยตอบแต่หมุนตัวหมายจะว่ายน้ำไปขึ้นฝั่ง แต่นางว่ายตามมาใกล้ๆ“ท่านไม่สบายหรือ?”“พูดมาก!เจ้าเป็นหมอหรือไร!” สวินเย่ว์ตวาด หวังให้หญิงแปลกหน้าหวาดกลัว ไม่เข้ามาใกล้เขา ทว่ากลิ่นอายของหญิงสาวกลับยิ่งปลุกเร้าจนเขาเจ็บปวดไปทั่วร่าง“ข้ามิใช่หมอ” นางว่ายน้ำตามเขาจนทัน “แต่ท่าทางของท่านหากไม่เจ็บป่วยก็ต้องพิษเป็นแน่”ถ้อยคำของหญิงแปลกหน้าทำให้ชายหนุ่มชะงักไป เขามองร่างบอบบางที่ว่ายน้ำมาทันเขาแล้วคว้าข้อมือเขาไปจับไว้ แม้ดวงตาของเขาเห็นไม่กระจ่างชัด ทว่าความจริงใจของนางนั้นเขาสัมผัสได้เสิ่นฉางซียังจับชีพจรไม่แม่นยำเหมือนเกาเทียนฉี แต่กระนั้นนางรู้สึกได้ว่าชีพจรของเขาสับสนยิ่งนัก นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ทนกลั้น หัวใจของนางพลันเจ็บปวดไปกับเขาด้วยนางผู้เคยผ่านความเจ็บปวดอันแสนสาหัสทุรนทุรายมาแล้ว ย่อมไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเผชิญความเจ็บปวดอีก โดยเฉพาะคนผู้นี้คือ...ผู้มีพระคุณของนาง “ท่านเดินไหวหรือไม่ จากนี้ไม่ไกลจะถึงบ้านของข้า”
“ฆ่ า ตั ว ตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเด็กหญิง “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเดินลงน้ำไปทำไม”“ท่านผู้มีพระคุณเข้าใจข้าน้อยผิดแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรีบอธิบาย “นายท่านรองบอกให้ข้าน้อยลงไปแช่เท้าที่สระน้ำนี้บ่อยๆ เจ้าค่ะ ให้ข้าน้อยฝึกเดินในน้ำ” ได้ยินถ้อยคำของนางก็ทำให้เด็กหนุ่มหน้าตึงไป เขาก้าวเท้าถอยห่างนางออกมาเล็กน้อย“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่าได้ลืมเชียวว่าชีวิตเจ้าเป็นของข้าแล้ว”“เจ้าค่ะ ข้าจะจำใส่ใจไว้” สวินเย่ว์ที่เดิมทีไม่คิดสนใจว่าสตรีผู้นี้จะเป็นเช่นไร แต่เมื่อความทรมานเบาบางลง แทนที่ด้วยความเสียวกระสัน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เคยจ้องมองเขากลับปิดลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเปื้อนแก้ม นางกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แต่กระนั้นเขาย่อมรู้ได้ว่านางกำลังสะอึกสะอื้น หัวใจของเขาอ่อนยวบลงจึงโน้มหน้าลงกระซิบ“ผ่อนคลาย ประเดี๋ยวก็จบแล้ว” น้ำเสียงแหบพร่าและลมหายใจร้อนระอุ ทำให้นางพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนี กลัวอีกฝ่ายจะเห็นรอยแผลเป็นที่หน้าผาก กลัวเขาผลักไส กลัวเหลือเกินว่าเขาไม่สนใจนางชีวิตนางเป็นของเขาแม้เรื่องที่เก
เสิ่นฉางซีไม่กล้าเอ่ยชื่อเกาเทียนฉี นางเกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาสู่สกุลเกา หากจะมีเรื่องเลวร้ายใดเกิดขึ้น ก็เกิดกับนางผู้เหลือเพียงคนเดียวเถิด เพราะมองไม่เห็นแต่จับน้ำเสียงที่คล้ายไม่อยากเอ่ยอะไรมากนัก สวินเย่ว์จึงไม่เอ่ยปากซักไซ้ เพียงแค่ประหลาดใจที่นางสามารถหาเสื้อผ้าของบุรุษให้เขาผลัดเปลี่ยนได้ แรกทีเดียวคิดว่านางมี ‘สามี’ แต่นึกอีกที ‘พรหมจรรย์’ของนางนั้น เขาได้พรากมันมาแล้ว ควรนับได้ว่านางเป็นผู้หญิงของเขา “ร่างกายท่านยังไม่ฟื้นตัวดีนัก กินข้าวต้มกับผัดกุยช่ายขาวกุยช่ายขาวช่วยบำบัดอาการฟกช้ำและบำรุงสายตา เอ่อ...ท่านฝืนกินสักนิดเถิดนะ” สวินเย่ว์นิ่งไปเล็กน้อย ท่าทางนางไม่เหมือนหญิงชาวบ้านทั่วไป ถูกเขาย่ำยีแล้วยังมีเรี่ยวแรงดูแลปรนนิบัติช่วยเช็ดเนื้อตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า สองมือของนางช่างคล่องแคล่วราวกับทำเรื่องเช่นนี้จนคุ้นชิน หรือนางเป็นสาวใช้ข้างห้อง หรือเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูไว้เผื่อ... “ท่านแม่ทัพ?” หญิงสาวเรียกเขาเบาๆ เข้าใจไปว่าคนผู้นี้คงกินดีอยู่ดี ไม่ชินกับอาหารการกินเรียบง่าย นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิด นางเกรง
พอคิดได้ว่าต้องกลับไป นางนึกขึ้นได้ว่าเรือนของนางนั้นเล็กนัก มีเพียงเตียงเดียวซึ่งยามนี้บุรุษผู้นั้นนอนพักผ่อนอยู่ หากนางจะนอนที่เรือนของนายท่านรองก็เกรงว่าเขาตื่นมาหรือต้องการสิ่งใดแล้วไม่มีใครดูแลจะยิ่งลำบาก นางรื้อค้นได้ผ้าห่มสำรองผืนหนาหอบกลับมาด้วย ร่างเล็กเดินลากขาข้างที่เจ็บกลับมาอีกครั้ง เรือนของนางมีเพียงห้องเดียว แค่เตียงนอนกับโต๊ะหนึ่งชุดก็แทบจะไม่มีที่เดินแล้ว ยามนี้บนเตียงของนางมีร่างสูงใหญ่เอนกายพิงหัวเตียงอยู่ “เหตุใดท่านไม่นอนพักผ่อน”นางวางผ้าห่มที่หอบมาไว้บนโต๊ะ แล้วรีบเดินเข้าไปใกล้ร่างของชายหนุ่ม ก่อนออกไปนางประคองเขาลงนอนแล้วนี่ เหตุใดลุกขึ้นมานั่งเช่นนี้นะ ใบหน้าที่มีผ้าปิดตาอยู่เอียงคอเล็กน้อยฟังเสียงที่เข้ามาใกล้ หัวคิ้วกดลงเล็กน้อยคล้ายครุ่นคิดแล้วเอ่ยปากถาม “เท้าของเจ้า?” “เท้า?” เสิ่นฉางซีก้มมองตัวเอง ไม่รู้สึกผิดปกติอันใดจึงเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง “จังหวะการเดินของเจ้าลงน้ำหนักเท้าไม่เท่ากัน เท้าเจ้าเจ็บหรือ?” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ นางเดินเสียงดังจนเขาจ
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล