น้ำเสียงแหบพร่าเปี่ยมด้วยความปรารถนาเอ่ยปลอบ ค่อยๆ กดแก่นกายเข้าไปในโพรงที่คับแคบและอุ่นร้อน ความปรารถนาที่กลายเป็นเปลวเพลิงผลักดันให้เขาขยับกายดุนดันเข้าไปจนสุดทาง กดแช่ไว้เพื่อให้ร่างกายของนางปรับตัวรับกับแท่งหยกร้อนของเขา ร่างบางสั่นระริกพร้อมกับเสียงครางออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาถอนกายออกมาอย่างเชื่องช้าแล้วผลักดันกลับเข้าไปใหม่ ให้กลีบดอกไม้ค่อยๆ เบ่งบานรับความรัญจวนที่เกิดขึ้น ช่องท้องของนางอุ่นร้อนและเสียวซ่าน เหงื่อหลั่งออกมาจนเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่ม การเคลื่อนไหวที่แรกเริ่มเชื่องช้าค่อยๆ เร็วขึ้น รุนแรงขึ้น และลึกล้ำจนร่างกายของนางแทบกระเด็นกระดอนเพราะแรงกระแทกกระทั้น ลมหายใจร้อนระอุรินรดอยู่บนไหล่ของนาง และเสียงหอบครางหนักหน่วงของเขา นำพาให้นางมึนเมากับรสสัมผัสร้อนแรงและหวามไหว ครั้งนี้นางสัมผัสได้ถึงความซ่านเสียวที่ทำให้ร่างกายอ่อนระทวยแทบไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้ร่างแกร่งจ้วงลึกดุดันจนกระทั่งร่างกายของนางสัมผัสความสุขสมที่ไม่คุ้นเคย นางหลุดปากหวีดร้องเป็นจังหวะเดียวกับที่กระแสธารชีวิตอันอุ่นร้อนหลั่งรินในกายของนางพร้อมเสียงคำรามของชายหนุ่มที่ซ้อนกายอยู่ด้านหลัง
เสิ่นฉางซีเอ่ยแล้วประคองให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง นางเผลอมองเขาราวกับกำลังมองภาพวาด แดดเช้าทอดเงาทาบทับร่างสง่างาม เขามิใช่บุรุษบอบบางแต่เป็นร่างกายของชายผู้ผ่านสนามรบมา ใช้ชีวิตในกองทัพมาห้าปี ไต่เต้าจากทหารชั้นผู้น้อยสู่การเป็นแม่ทัพ “เจ้าผ่าฟืนเองรึ” เขาถาม ด้วยไม่คิดว่ามือเล็กๆ คู่นี้ต้องทำงานหนักหนาถึงเพียงนี้ “ฟืนชิ้นไม่ใหญ่นัก ข้าทำเองทุกครั้งไป” นางหัวเราะเก้อเขิน แล้วก้มมองฝ่ามือหยาบกระด้างของตนเอง จริงซินะ เขาคงประหลาดใจที่มาเจอผู้หญิงอย่างนาง หญิงสาวตระกูลสูงศักดิ์ เขียนโคลงกลอนหรือวาดภาพ บรรเลงเพลงพิณ เรื่องเหล่านั้นนางไม่มีความรู้เอาเสียเลย “ข้าทำให้เอง” เสิ่นฉางซีเห็นเขาลุกขึ้นยืน นางก็รีบกดไหล่ให้เขานั่งลงตามเดิม สวินเย่ว์ขมวดคิ้ว ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน โดยเฉพาะสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง “ท่านยังต้องพักผ่อน ดวงตาท่านก็ปิดอยู่ ไม่ควรทำอะไรกระทบกระเทือนจนเกินไป” เมื่อเห็นเขายอมนั่งลงตามเดิมแล้ว นางจึงรีบชักมือกลับเพราะเกรงว่ามือหยาบกระด้างของตนจะระคายผิวกายของเขา “ท่านหิวแล้วหรือไม่ ข้าทำโ
นางหมุนตัวเดินไปเตรียมทำอาหาร เมื่อวานนางทำอาหารหลายจาน หนึ่งในนั้นมีกบนึ่งเห็ดหอม เดิมทีนางทำไว้ให้ตนเอง อย่างไรกบสองตัวนั้นก็ถูกส่งมาให้นางทำเป็นอาหารอยู่แล้ว นางกินเองก็ไม่เห็นเป็นไร แล้วทำไก่ตุ๋นเครื่องยาจีนให้เขาแทน แต่พอเขาออกมากินมื้อเที่ยง กลับถามหากบนึ่งเห็ดหอมเสียนี่ ‘ข้าทำไก่ตุ๋นเครื่องยาจีนให้ท่าน’ ‘แล้วข้าจะกินกบนึ่งเห็ดหอมของเจ้าไม่ได้รึ’ ‘แต่มันเป็นกบ’ ‘แล้วอย่างไร’ นางเห็นท่าทางของเขาเหมือนสั่งการทหารอย่างไรอย่างนั้น นางจึงได้แต่ทำตามที่เขาสั่ง คีบเนื้อกบที่เลาะกระดูกออกแล้วส่งเข้าปากของเขา ‘อืม ไม่เลว’ นางอมยิ้มแล้วป้อนเนื้อไก่จริงๆ ให้เขาอีกคำ ‘คล้ายแต่ก็แตกต่างกัน’ ‘ประสาทรับรสของท่านแม่ทัพดีเยี่ยม’ นางเอ่ยแล้วป้อนอาหารให้เขาต่อ เห็นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยจึงชะงักไป ‘ข้าเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้’ ‘ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ’ ‘เจ้าไม่มีอะไรจะถามข้ารึ’ ‘ข้าควรถามอะไรเจ้าคะ’ นางถามกลับ นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนเ
เด็กสาวถอนหายใจเบาๆ เผลอวางสายตาที่ประตูเรือนของตนเองแล้วย้ายสายตากลับมาที่กระจาดตรงหน้า กุหลาบตูมดอกเล็กๆ วางอยู่ในนั้น มือเรียวกวาดมือไปเกลี่ยแต่ละดอกในกระจาด เตรียมนำตากแดดเพื่อทำชากุหลาบ บางส่วนสามารถนำไปทำอาหารหรือขนมได้ หลายเดือนก่อนนายท่านรองได้ตำรามาจากท่านหมอหวังข่ายเกี่ยวกับดอกไม้ที่ให้คุณเป็นยา แม้นางจะนั่งฟังอยู่ด้วยแต่ไม่ค่อยเข้าใจการโต้เถียงของทั้งสองนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องราวปกติ จนกระทั่งนายท่านรองสั่งคนงานให้ทำแปลงเพาะปลูกดอกไม้ แต่หลายชนิดนั้นกว่าจะเติบโตให้ดอกผลได้ย่อมต้องใช้เวลา ไม่รู้นายท่านรองไปซื้อดอกกุหลาบมาจากที่ใดเพื่อทดลองทำชาสมุนไพร แต่ด้วยนิสัยใจร้อนของนายท่านรอง จึงทำไม่สำเร็จ นางลองทำตามที่นายท่านรองสอนแต่ผลออกมายอดเยี่ยม ‘เจ้าทำได้อย่างไร เหตุใดยังคงกลิ่นหอมละมุนอยู่เช่นนี้’ ‘ฉางซีก็ทำตามที่นายท่านรองสั่งนี่เจ้าคะ’ นางหัวเราะเบาๆ ‘ตากแดด?’ ‘เจ้าค่ะ แต่ไม่ใช้แดดจัด เลือกกุหลาบที่ไม่ชื้นน้ำค้าง ข้ามาสังเกตว่ากุหลาบแต่ละพันธุ์ให้กลิ่นหอมที่แตกต่างกัน นายท่านรองดมดูซิเจ้าคะ’ นางยื่นฝ่ามือที่มีกลีบก
จุดหมายวันนี้นางจะเดินไปที่กระท่อมนายพรานบนเขาทางทิศเหนือ โดยปกติเป็นที่สำหรับนายพรานมาพักระหว่างล่าสัตว์ ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ นายท่านรองพานางไปพักที่นี่บ่อยๆ และนำสมุนไพร ยารักษาโรคหรือบาดแผลฟกช้ำวางไว้ เผื่อมีคนจำเป็นต้องใช้ และยังมีอาหารแห้งบางส่วนวางไว้ นางไม่อาจรู้ได้ว่าเกาเทียนฉีปลอดภัยดีหรือไม่ แม้ปกตินายท่านรองจะขึ้นเขานานนับเดือน แต่ครั้งนี้จิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก อย่างน้อย ให้นางได้เดินตามรอยทางที่เขาเคยมา สำรวจดูบริเวณนี้ว่า ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือมีผู้ใดบาดเจ็บ หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นางอาจจะรอที่นี่สักสองหรือสามวัน เพราะอย่างไรก็เป็นเส้นทางที่เกาเทียนฉีกลับทางนี้ สองหรือสามวัน คนผู้นั้นคงกลับไปแล้ว เสิ่นฉางซีมีไม้ลำหนึ่งใช้ต่างไม้เท้า ยามเดินขึ้นเขาใช้มันช่วยพยุงร่างกาย นอกจากนี้ยังใช้กวาดไปมาไล่สัตว์เลื้อยคลานที่ไม่ทันสังเกตเห็นได้ด้วย นางคุ้นชินกับเส้นทางตรงหน้า มือเล็กๆ เคยมีมือใหญ่ของเกาเทียนฉีจับจูง และหลายครั้งที่เขาเจอสิ่งที่น่าสนใจเผลอปล่อยมือนาง แม้กระทั่งไปเดินตลาดด้วยกัน บางครั้งสายตาของเกาเทียนฉีถูกดึงดูดด้วย
“เจ้าเห็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่งสง่างามใบหน้าหล่อเหลาดวงตาคมปลาบบ้างหรือไม่” ซูหลี่น่ายื่นหน้ามาจ้องมองเด็กสาว เพราะความสูงที่ต่างกันมาก นางจึงต้องค้อมเอวลงเล็กน้อย “เจ้านี่ตัวเล็กยิ่งกว่ากระต่ายป่าเสียอีก” “ข้า...ข้าน้อยร่างกายบาดเจ็บตั้งแต่ยังเด็กจึงตัวเล็กเช่นนี้ แม่นางช่างงามสง่าจนน่าอิจฉายิ่ง” เสิ่นฉางซีเอ่ยเสียงเบา ลอบมองหญิงสาวเบื้องหน้า เสื้อผ้าสีสันสดใสฉูดฉาดปักลวดลายไม่คุ้นตา เครื่องประดับทำด้วยเงิน ดูแล้วนางไม่ใช่คนที่นี่ อาจเป็นชนเผ่าอื่นหรือคนในพรรคหนึ่งพรรคใดในยุทธภพ “แน่นอน ข้างามสง่าเหนือผู้ใด” ซูหลี่น่ายิ้มรับคำชม ยื่นปลายนิ้วมาเชยคางเด็กสาวขึ้น “เจ้าชื่ออะไร” “เอ่อ” นางอึกอักเล็กน้อย “ข้าเป็นเด็กกำพร้าชื่อฉางซีเจ้าค่ะ” “ชื่อเพราะดี” ปลายนิ้วของซูหลี่น่า เลื่อนขึ้นไปที่ตีนผมของเด็กสาว บริเวณหน้าผากของนาง มีรอยแผลเป็นสีชมพูคล้ายรอยนิ้วบีบศีรษะ บาดแผลเช่นนี้นางคุ้นตาดีแต่ไม่คิดว่าจะมีคนรอดชีวิตจาก ‘ฝ่ามืออัคคี’ ได้ ดูจากรอยแผลเป็นนี้อาจจะสี่ห้าปีผ่านมาแล้ว แสดงว่าเวลานั้นเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเด็กหญิงเล็กๆ คนหนึ่ง
“ฝันไปเถอะ! เจ้ากล้ามาแย่งคนของข้าเรอะ!” เกาเทียนฉีตวาดลั่น แล้วใช้ร่างกายบดบังร่างเล็กของเสิ่นฉางซี “คนของเจ้า?” ซูหลี่น่าขมวดคิ้วแล้วกวาดตามองชายคนนี้อีกรอบ “เจ้าเฒ่าตัณหากลับ! แก่ขนาดนี้แล้วยังคิดจะล่อลวงเด็กสาวเรอะ ข้าเป็นพรรคมารยังไม่ทำเรื่องต่ำช้าเช่นเจ้า” สมองของเกาเทียนฉียังคิดไม่ทันที่อีกฝ่ายพูด จึงได้แต่เบิกตากว้างอย่างงุนงง เห็นเพียงแขนเรียวยื่นมาคว้าแขนของเสิ่นฉางซี พลันเขาได้สติกระแทกฝ่ามือออกไป ซูหลี่น่าที่กินยังไม่อิ่มคาบน่องไก่ในปากมือหนึ่งคว้าแขนของเด็กสาว อีกมือรับการปะทะจากชายหนุ่ม “แก่บ้าอะไร ข้าเพิ่งอายุยี่สิบหก!” เขาซัดฝ่ามือใส่นางหลายกระบวนท่าแต่อีกฝ่ายก็รับได้ง่ายดายนัก มือข้างหนึ่งของเขาคว้าแขนของเสิ่นฉางซีไว้ไม่ให้นางมารกระชากตัวไป อีกมือก็ซัดเพลงหมัดใส่ไม่สนใจว่านางจะเป็นสตรี เสิ่นฉางซีแขนซ้ายถูกซูหลี่น่าฉุด แขนขวาถูกเกาเทียนฉีกระชากซ้ำ ทั้งสองยังใช้มือข้างที่ว่างสู้กันอีก นางส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากผู้ติดตามซูหลี่น่า ทว่าแต่ละคนกลับนั่งแทะกระดูกไก่ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางที่ไม่ค่อยมีปากเสียงกับใครจึงตะโกนออกสั่งให้ทั้งสองหยุดเสียที “พวกท่านหย
เกาเทียนฉีไม่อยากใช้งานเสิ่นฉางซี แต่เขาหิวมากจึงพยักหน้าให้นางไปจัดการ เด็กสาวหมุนตัวรีบไปจัดการอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มกินอาหารอย่างหิวโหย เมื่อท้องอิ่มเขาจึงเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่” “ฉางซีมาขุดหาโสมเจ้าค่ะ” นางเองอยากถามว่าทำไมนายท่านรองอยู่ในสภาพนี้ แต่คิดว่าถ้าเอ่ยปากถามออกไป คงเป็นการตอกย้ำอีกฝ่ายจึงได้แต่เก็บถ้อยคำไว้รอจังหวะดีๆ นายท่านรองคงปริปากเล่าเอง “ขุดโสม เจ้าจะเอาไปทำอะไร ไปขายเจ้าหมอหวังอีกเรอะ” เขาเบ้ปาก ครั้งนี้เขาออกมาหาสมุนไพรหายาก แต่ดวงซวยเจอนางมารเข้าให้ จึงไม่มีอะไรติดมือเลยสักอย่าง “จะเอาไปให้เกาฮูหยินเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้มจาง “พี่สะใภ้ข้าไม่สบายหรือ?” เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมา “ฉางซีตั้งใจจะไปหยุนหนาน ไปครั้งนี้ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ จึงอยากหาสิ่งของมอบให้เกาฮูหยิน แต่ฉางซีไม่มีของมีค่าใด จึงอาศัยติดตามนายท่านรองมาขุดหาโสมชั้นดีมอบให้เกาฮูหยินเจ้าค่ะ” “เจ้าตัดสินใจแล้วสินะ” เกาเทียนฉีพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ “เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว อยากทำอะไรก
นางกรีดร้องราวคนเสียสติ หลีเหว่ยไม่สนใจรีบลุกขึ้นออกจากรถม้า ทว่าเพียงแค่ลุกขึ้นยืน ผนังด้านหนึ่งของรถม้าก็เปิดออกราวกับเป็นเวทีแสดงงิ้ว เบื้องหน้ามีโต๊ะชุดหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งหน้าตาดุดันจ้องมองราวกับจะฉีกคนทั้งสองเป็นชิ้นๆ อีกหนึ่งเป็นสตรีในชุดสีม่วงที่นั่งจิบสุราด้วยท่าทีเกียจคร้าน นางหยิบถั่วทอดเข้าปากแล้วเอ่ยทั้งที่ยังเคี้ยวถั่วทอดอยู่“อะไรกัน? เท่านี้เองรึ ข้าอุตส่าห์ตระเตรียมงานอย่างดี พวกเจ้าสองคนเล่นกันแค่นี้เองหรือ? ไม่คุ้มค่าเหนื่อยของข้าเลย”หลีเหว่ยจำหญิงสาวผู้นี้ได้เป็นอย่างดี นางคือคนที่เขาเคยบังเอิญพบเจอที่โรงเตี๊ยมและยังขอให้เขาช่วยหาที่พักให้ ส่วนจางรั่วเวยถึงกับอ้าปากค้าง เพราะหญิงผู้นั้นคือคนที่มารับนางจากจวนแม่ทัพทว่าคนที่น่ากลัวที่สุดคือบุรุษที่นั่งจ้องหน้านางอยู่ “ท่านแม่ทัพ” สวินเย่ว์ส่งสัญญาณ ทหารที่อยู่ใกล้ลากตัวเสี่ยวจูที่ถูกโซ่ล่ามมือและเท้าแน่นหนามากองตรงหน้า จางรั่วเวยเห็นสภาพเสี่ยวจูแล้ว นางถึงเข่าอ่อนหมดไม่มีแรงลุกขึ้นยืน ซูหลี่น่าเหลือบมองใบหน้าถมึงทึงของสวินเย่ว์ นางยกมือกระดิกนิ้วแล้วชี้ไปยังสองหนุ่มสาวบนร
เสิ่นฉางซีหลับตาลง นางมิได้ฝันไปสินะ ไต้ซือซูมาเตือนสตินางและช่วยให้นางเจ็บปวดน้อยลง เอ๊ะ! ถ้าเช่นนั้น...“หยางเอ๋อร์ ท่านแม่ทัพมาเยี่ยมแม่หรือไม่”“ท่านพ่อมาดูอาการท่านแม่แล้วออกไปขอรับ”“ท่านพ่อ?” เสิ่นฉางซีประหลาดใจที่จู่ๆ บุตรชายเรียกสวินเย่ว์ว่า ‘ท่านพ่อ’ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามอย่างไรก็ยังดื้อดึงไม่ยอมเรียก หยางหยางหลบตามารดา เขาอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์แต่ไม่เคยโกหกมารดาได้สักครั้ง“เจ้าต่อรองเรื่องใดกับท่านแม่ทัพ?”“ไม่มีเสียหน่อย” หยางหยางตอบตะกุกตะกัก “ท่านแม่ตื่นแล้ว หิวหรือไม่ ข้าจะไปบอกให้บ่าวรับใช้เตรียมอาหารให้ท่านนะ”หยางหยางหมุนตัวเตรียมวิ่งหนี แต่ยังช้าเกินกว่ามือเรียวของมารดาคว้าแขนของเขาไว้ได้ทัน นี่ท่านแม่มีวรยุทธ์หรือเพราะเขากลัวจนหลบไม่ทันกันแน่นะ!“เจ้ากล้าปิดบังแม่รึ”หยางหยางอ้าปากแต่พูดไม่ออก เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากอันอัน แต่น้องชายกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ เพียงการแสดงออกเช่นนี้ คนเป็นแม่อย่างเสิ่นฉางซีเข้าใจได้ทันที นางวาดขาลงจากเตียง แล้วยันกายลุกขึ้นอย่างลำบาก สองขายังคงอ่อนแรงอยู่มาก ร่างกายจึงทรุดลงไปนั่งเช่นเดิม“ท่านแม่ ท่านยังไม่แข็งแรง อย่าลงจากเตีย
“ท่านต้องช่วยแก้แค้นให้มารดาของข้า” หยางหยางยืดอกแล้วปรายตามองบ่าวชายสองคนที่หิ้วปีกเสี่ยวจูออกมาพอดี “คนที่ทำให้มารดาของข้าเจ็บ มันต้องเจ็บมากกว่าที่มารดาของข้าได้รับ” เสี่ยวจูที่ได้ยินเข้าถึงกับส่ายหน้าไปมา นางถูกสวินเย่ว์เตะไปหนึ่งครั้งถึงกับกระอักเลือดออกมา เจ็บร้าวซี่โครงจนคาดว่ากระดูกคงจะหัก หากถูกโบยจะมิตายคาไม้เลยหรือ นางพยายามสะบัดตัวแล้วร้องอ้อนวอน “ท่านแม่ทัพเมตตาบ่าวด้วย บ่าวไม่รู้เรื่องใดจริงๆ เจ้าค่ะ” เสียงร้องไห้ของนางน่าเวทนายิ่ง “เรื่องทั้งหมดเป็นความคิดของฮูหยินน้อยทั้งหมดเจ้าค่ะ” สวินเย่ว์กลอกตามองแผ่นฟ้า ไม่คิดว่าชีวิตของตนต้องมาเผชิญเรื่องเช่นนี้ เขาก้มมองหยางหยางที่ถอดแบบเขาแทบจะแกะออกจากพิมพ์เดียวกัน นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เป็นแม่ครัวในหอนางโลมแต่กลับมีจิตใจงดงาม เลี้ยงดูบุตรชายของเขาได้อย่างดีเยี่ยม ผิดกับคนเหล่านี้ที่เติบโตในสถานที่ที่ดีแต่กลับจิตใจโสมมยิ่งนัก “เรียกสิ” สวินเย่ว์เอ่ยกับหยางหยาง เด็กน้อยแอบเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ” “อะไรนะ” เขาแ
“แค่หักแขนก็พอ” “ดี! ตามนั้น” “ท่านแม่ทัพ เมตตาด้วย” “เลือกเอาว่าจะตัดแขนหรือหักแขน!” ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แน่นอนว่ายอมถูกหักดีกว่าถูกตัด และไม่อาจพูดได้ว่าทำไปตามคำสั่งของฮูหยินใหญ่ สวินเย่ว์ปรายตามององค์ชายฝูเจี๋ยแล้วหันมาสบตากับบุตรชายตนเอง “ดูแลแม่ของเจ้า ประเดี๋ยว ‘พ่อ’ กลับมา” หยางหยางพยักหน้ารับแล้วจูงมืออันอันเข้าไปด้านใน ด้านนอกมีทหารองครักษ์รายล้อม นอกจากหมอและบ่าวรับใช้หญิงสองคนแล้วไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ได้ “อันอัน” หยางหยางเรียกน้องชายที่ร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก “ข้าขอบใจเจ้ามาก” หยางหยางกลั้นน้ำตาฝืนยิ้มออกมา “ข้า...” เด็กน้อยพยายามรวบรวมเสียงเพื่อเปล่งคำพูดออกมา “ข้า...”“หากไม่มีเจ้า มารดาของข้าต้องถูกคนเหล่านั้นทำร้ายบาดเจ็บสาหัสกว่านี้เป็นแน่” เด็กน้อยพูดไม่ออกแต่โผเข้ากอดหยางหยางแน่น “ข้าอยากช่วยท่านแม่ได้มากกว่านี้” “อันอัน” หยางหยางตบหลังน้องชายต่างสายเลือดเบาๆ “ท่านแม่บอกว่า เจ้าพบเรื่องเลวร้ายม
“เย่ว์เอ๋อร์ ใจเย็นก่อน” ฮูหยินใหญ่รีบห้ามปราม เด็กคนนี้โกรธร้ายโมโหแรง สามีของนางไม่อยู่ หากเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเกรงว่าคนรอบข้างได้ล้มตายกันแน่! “สวินเย่ว์” นางเรียกชื่อเขา เป็นครั้งแรกที่นางเรียกชื่อเขาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ เสิ่นฉางซีเองรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น “ข้า...” “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น” เขาอุ้มนางไม่สนใจว่าตนเองจะเปื้อนเลือดของนาง “ตามหมอเดี๋ยวนี้! สั่งปิดจวน ห้ามผู้ใดเข้าออก ข้าสวินเย่ว์ต้องรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับคนของข้า!” “รับทราบ!” “องครักษ์เงา คุ้มครององค์ชายฝูเจี๋ย!”
น้ำเสียงสั่งทรงอำนาจ สิ้นเสียงของเขาพลันปรากฏร่างทหารองครักษ์นับสิบยืนล้อมกายของเด็กน้อยพร้อมชักกระบี่คมปลาบออกมาเด็กน้อยวัยสี่ขวบตวาดเสียงดังเฉียบขาด แม้เป็นเพียงเด็กน้อยก็ทำเอาคนที่ยึดร่างของเขาไว้ถึงกับปล่อยมือ เด็กน้อยที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นใบ้ มาบัดนี้กลับพูดได้ชัดถ้อยคำ สีหน้าที่เคยหวาดกลัวอยู่เสมอไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขากวาดตามองแววตาวาวโรจน์ทั้งที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “องครักษ์?” ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลสวินถึงกับผงะไป แม้นางจะไม่รู้เรื่องการทหารแต่รู้ว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนของกองทหารสวินเย่ว์เป็นแน่ นอกจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ชนชั้นใดเล่าจะมีองครักษ์เงาเช่นนี้ “ฮูหยินใหญ่เจ้าคะ?” เสี่ยวจูเห็นใบหน้าซีดเผือดของฮูหยินใหญ่แล้วประหลาดใจนัก เหตุใดต้องเกรงกลัวเด็กตัวแค่นี้ นางยังไม่ได้ล้างแค้นที่ทำให้นางตกน้ำในครานั้น นางก้าวเท้าไปด้านหน้าหมายจะผลักเด็กน้อยให้พ้นทาง แต่ต้องชะงักไปเมื่อปลายกระบี่ชี้มาที่ปลายจมูกของนางเด็กน้อยวัยสี่ขวบสบตากับสวินเหอซื่อ แล้วหมุนตัวเดินไปหาเสิ่นฉางซีที่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง ดวงตามีแววหม่นเศร้าและโกรธแค้น เด็กน้อยตวาดเสียงดังออกมา “ปล่อยตัวนาง!”
เสิ่นฉางนั่งเขียนรายการสินเดิมที่ยังทำไม่เสร็จ เหตุที่ทำช้าเพราะนางมักคิดเรื่องวัยเด็กของตน ตำราต่างๆ ที่มารดาสะสมไว้ ความทรงจำเก่าๆ ย้อนคืน จุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของนาง เสียงคนโหวกเหวกโวยวายดังที่หน้าเรือน เด็กน้อยที่อยู่บนตั่งใกล้ๆ ถึงกับผวา นางคว้าอันอันมากอดกระซิบปลอบโยน ประตูเรือนเปิดออกอย่างแรงพร้อมกับคนงานชายสามสี่คนพุ่งเข้ามา “เกิดเรื่องใดขึ้น! เหตุใดบุกเข้ามาเช่นนี้!” เสี่ยวจูวิ่งเข้ามาทั้งน้ำตานองหน้า นิ้วเรียวชี้มายังเสิ่นฉางซีแล้วตวาดด้วยความโกรธแค้น “เป็นเจ้า! เจ้าทำให้ฮูหยินน้อยแท้งบุตร! เจ้าเจตนาทำร้ายฮูหยินน้อยและบุตรของท่านแม่ทัพสวินเย่ว์!” “เป็นไปไม่ได้!” เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมา นางมึนงงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันได้สอบถามเรื่องราวเท็จจริงเป็นอย่างไร ร่างของนางถูกบ่าวชายฉุดกระชากลากออกมาจากเรือน หญิงรับใช้อีกสองคนเข้ามาคว้าร่างของอันอันไม่ให้วิ่งตาม เด็กน้อยถีบเท้าไปมาดิ้นรนขัดขืน แผดเสียงร้องไห้จ้าแต่ไม่อาจส่งเสียงพูดขอความช่วยเหลือได้ ร่างของหญิงสาวถูกลากออกไปที่ลานหน้า
เสร็จงานในครัวแล้ว เสิ่นฉางซีจูงมืออันอันพร้อมตะกร้าใส่อาหารและขนมนำกลับไปที่เรือน เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน นางจึงลงมือจดบันทึกรายการสินเดิมที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อน หยิบจับสิ่งใด นางก็หวนคิดถึงบิดามารดาที่ล่วงลับไปเสียทุกที ป่านนี้ทั้งสองคงมองนางมาจากบนสวรรค์ ท่านพ่อท่านแม่วางใจเถิด ลูกมีความสุขดี อันอันอยากกินหมูหวาน แต่ตั้งใจอดกลั้นรอหยางหยางกลับจากสำนักศึกษา ระหว่างนี้จึงได้แต่นั่งกินขนมของว่าง เด็กน้อยนั่งบนเก้าอี้กลมแกว่งเท้าไปมา สองมือจับขนมเปี๊ยะดอกเหมยกัดกิน เสิ่นฉางซีเห็นมุมปากของเด็กน้อยเลอะคราบแป้งขนมเปี๊ยะ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากให้ “ท่านแม่” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น เสิ่นฉางซีสบตากับเด็กน้อย ทว่านางกลับรู้สึกว่า แม้อันอันจะจ้องมาทางนางแต่ไม่ได้มองมาที่นาง “คิดถึงแม่หรือ?” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ เสิ่นฉางซีอุ้มร่างเด็กน้อยมานั่งบนตัก ทำเหมือนตอนที่หยางหยางยังตัวเล็กเท่าอันอัน นางมักจับลูกชายนั่งตักและอ่านตำราหรือจดรายการอาหารที่ต้องทำ แต่เวลานี้นางกำลังบันทึกรายการ ‘สินเดิม’ ที่ได้รับมา อันอั
“ข้าสามารถเขียนรายกายอาหารให้เจ้านำไปให้แม่ครัวทำให้ได้” “เจ้าทำเองไม่ได้รึ” เสี่ยวจูขมวดคิ้ว “อ้อ! เจ้าไม่ใช่แม่ครัวแล้วนี่ เป็นอนุคนโปรดของท่านแม่ทัพ ต้องขออภัยที่ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท” “ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าเข้าครัวทำให้ฮูหยินน้อยเอง” เสิ่นฉางซีตอบแล้วหันไปคุยกับอันอันด้วยภาษามือ รอบเรือนหลังนี้มีองครักษ์ลับอยู่แต่นางก็ไม่ไว้ใจ หญิงสาวจึงให้เด็กน้อยวางพู่กันแล้วหยิบผ้าเปียกเช็ดมือน้อยๆ ให้อันอัน เด็กชายตัวน้อยอมยิ้ม เขาชอบที่เสิ่นฉางซีใส่ใจดูแลเขาเช่นนี้ ในหัวสมองน้อยๆ ของเขา เอาแต่คิดหาทางจะให้นางกับหยางหยางไปอยู่กับเขาในวังหลวง “เจ้ายิ้มอะไร” เสิ่นฉางซีหัวเราะเบาๆ เห็นเด็กน้อยเอาแต่อมยิ้ม นางก็อดยิ้มตามไม่ได้ อันอันไม่ตอบแต่โผเข้ากอดขาของนาง “เจ้ากอดแม่เช่นนี้จะเดินได้อย่างไร” นางส่ายหน้าไปมาแล้วแกะมือที่รัดรอบขาออก “ไปเถิด ไปในครัวกัน เจ้าอยากกินขนมละสินะ” นางจูงมืออันอันเดินไปที่ครัวด้วยกัน “ฮูหยินน้อยไม่ค่อยอยากอาหารแต่ถ้าเป็นของว่างของกินเล่น นางจะชื่นชอบมาก” เสิ่นฉางซีพึมพำขณะที่จูงมืออันอัน “อันอัน