“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!”
ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้
โชคดีที่ไม่สูงนัก
สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม
แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ
….
“เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ”
เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์
“ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน”
“เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ”
เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่านใหญ่จะพูดอยู่เสมอเรื่องทำหูตาให้กว้างไกล ข่าวสารทั้งในรั้ววังหรือแม้แต่ในยุทธภพล้วนต้องนำมาประมวลคัดกรองก่อนจะเชื่อว่าจริงหรือเท็จ ด้วยเหตุนี้นางจึงรับรู้ข่าวคราวของสวินเย่ว์เป็นระยะๆ ผิดที่ครั้งนี้นางอยู่ที่เรือนสมุนไพรมิใช่ที่สำนักคุ้มภัย
“ได้ยินว่าใช้ชีวิตนอกจวนมานาน อาจขาดการอบรมที่ดีก็เป็นได้” เสียงหญิงวัยเดียวกับชายวัยหกสิบเอ่ยพลางถือถุงเมล็ดถั่วแดงเดินเข้ามาหา เสิ่นฉางซีรีบลุกขึ้นไปรับทันที นางมาขอปันถั่วแดงนำไปทำอาหาร
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ นี่เงินเล็กน้อย” นางยื่นเงินให้เป็นการตอบแทนถั่วแดงที่ได้รับมา แต่อีกฝ่ายโบกมือห้ามไม่ยอมรับ
“นายท่านรองดีกับพวกเรามาก ถั่วแดงเล็กน้อย เจ้าเอาไปเถิด”
“ใช่ๆ ตอนที่ข้าปวดข้อ ปวดเข่า ก็ได้นายท่านรองจัดสมุนไพรให้ จะว่าไปคนในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามดีกับชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก”
“แต่นายท่านรองมิให้ข้ารับของโดยไม่จ่ายค่าตอบแทน” เสิ่นฉางซีขมวดคิ้ว
“เช่นนั้นบอกว่าพวกเราฝากมาให้ก็ได้” หญิงวัยกลางคนเอ่ยยิ้มๆ แล้วพิศมองใบหน้าของเด็กสาว นางคุ้นชินกับเด็กคนนี้มานาน หากไม่มีรอยแผลเป็นที่หน้าผากและท่าเดินลากเท้าแล้วละก็... นางก็นับว่าเป็นเด็กสาวที่น่ารักคนหนึ่งทีเดียว
เมื่อเห็นว่าทั้งสองยืนยันไม่รับเงินค่าเมล็ดถั่วแดง นางจึงได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำๆ หลายครั้ง แล้วอุ้มถุงผ้าใส่เมล็ดถั่วแดงกลับที่พัก
สิบวันก่อน นางกับนายท่านรองเกาเทียนฉีเดินทางมาที่เรือนสมุนไพรซึ่งอยู่ห่างจากสำนักคุ้มภัยฯ ประมาณสิบลี้ บริเวณนี้เป็นเชิงเขามีชาวบ้านอยู่ราวๆ ยี่สิบหลังคาเรือน ใช้ชีวิตเรียบง่าย เกาเทียนฉีสนใจเรื่องสมุนไพรมาก แต่บริเวณสำนักคุ้มภัยไม่เหมาะกับการเพาะปลูกจึงมาทำที่บริเวณเชิงเขาแห่งนี้ นอกจากเรื่องพืชพันธุ์สมุนไพรต่างๆ ยังสามารถเข้าไปค้นหาสมุนไพรหายากได้ด้วย เกาเทียนฉีจึงสร้างเรือนขนาดย่อมสำหรับการหลับนอนไว้ที่นี่ มาแต่ละคราวอยู่นานหลายวันหรือบางครั้งก็นานนับเดือน หากไม่มีเรื่องที่สำนักคุ้มภัยก็จะอยู่ที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้
เสิ่นฉางซีเดินกลับมาเรือนสมุนไพรของเกาเทียนฉีแล้วจัดการแช่เมล็ดถั่วแดง ตั้งแต่อาการบาดเจ็บของนางเริ่มหายดี นายท่านรองจูงมือนางออกจากสำนักคุ้มภัยมาที่นี่ ในสำนักคุ้มภัยเลี้ยงเด็กกำพร้าและเด็กยากจนที่พอจะมีฝีมือดีไว้หลายคน แน่นอนว่ามีบางคนที่ล้อใบหน้าที่มีแผลเป็นและท่าเดินลากเท้าของนาง นายท่านรองไม่อยากดุด่าเด็กเหล่านั้นจึงเลือกจูงมือนางไปแปลงสมุนไพรแทน หลายปีมานี้นางจึงเดินตามแผ่นหลังของเกาเทียนฉี ทั้งขึ้นเขาเข้าป่าหาสมุนไพรหรืออยู่ที่เรือนสมุนไพรแห่งนี้ เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่ได้ติดตามไปด้วย เพราะ...
นางมีระดู
เรื่องนี้ทำเอาเกาเทียนฉีถึงกับทำหน้าไม่ถูก ประหลาดใจ ตื่นเต้น ตื่นตระหนกและดีใจ
สิบวันก่อน เสิ่นฉางซีมาถึงเรือนสมุนไพร นางติดตามเกาเทียนฉีเสมือนบ่าวรับใช้ คอยจัดการเรื่องต่างๆ แต่ในวันนั้นนางมีอาการปวดท้องน้อย นายท่านรองตรวจอาการแล้วขมวดคิ้ว เขารู้เรื่องสมุนไพรแต่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวินิจฉัยโรค พลันนางมีเลือดออกสร้างความแตกตื่น ประจวบกับท่านป้าบ้านใกล้ๆ ได้ยินว่านายท่านรองมาจึงนำผักผลไม้มาให้ ท่านป้ามาได้จังหวะพอดี เมื่อรู้ว่าเสิ่นฉางซีเป็นอะไรก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วจูงมือเด็กสาวเข้าไปในห้อง สั่งสอนเรื่องที่สตรีควรรู้ พลางมองเด็กหญิงด้วยสายตาเวทนา ‘เด็กหญิงไร้มารดา’ จึงไม่มีใครแนะนำนางได้ว่าควรจัดการดูแลตนเองอย่างไร
เสิ่นฉางซีรู้ว่าการมีรอบเดือนคืออะไร แต่นางไม่คิดว่าตนเองที่รับรู้มาตลอดว่าไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้จะมีรอบเดือน ก่อนหน้านี้นางเคยมีเลือดออกมาบ้างแต่เล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่คิดว่าจะเรียกว่าการมีรอบเดือน แต่ครั้งนี้นางมีเลือดออกมามากอยู่สามวัน เกาเทียนฉีจึงไม่ได้ให้นางติดตามขึ้นเขาหาสมุนไพร ให้นางได้พักผ่อนอยู่แต่ในเรือนสมุนไพร
เลือดรอบเดือนของนางหมดไปเจ็ดแปดวันแล้ว นางไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่อ่านตำราและฝึกคัดอักษรอยู่ที่เรือนสมุนไพร นายท่านรองให้คนสร้างห้องเล็กให้นางอยู่เป็นการส่วนตัว โดยปกตินางดูแลเรื่องทั่วไปของนายท่านรองรวมถึงอาหารการกิน หากเมื่อได้สมุนไพรชั้นดีมา จึงช่วยคัดแยกตามแต่ที่นาย
ท่านรองสั่งและสอน
“ไม่รู้นายท่านรองจะกลับเมื่อไหร่” เสิ่นฉางซีได้แต่โคลงศีรษะไปมา มองดูเมล็ดถั่วแดง ในตำราว่าไว้ว่าถั่วแดงช่วยบำรุงเลือดและบำบัดอาการมีรอบเดือนไม่ปกติของสตรี นางอยู่ว่างๆ จึงเดินไปขอซื้อเมล็ดถั่วแดง แต่ไม่คิดว่าจะได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงินเช่นนี้
ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะนำถั่วแดงมาปรุงเป็นอาหารชนิดไหนดีอยู่นั้น นางเผลอคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา ข่าวลือจากเมืองหลวงกว่าจะมาถึงชนบทอย่างนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วกระมัง
‘สวินเย่ว์’ เขากำลังทำอะไรอยู่นะ.
รถม้าคันหนึ่งถูกไล่ล่ามากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ร่างบอบบางของเด็กหญิงวัยสิบขวบที่สวมชุดเด็กชายอยู่นั้น ถูกบิดากอดไว้แนบแน่นอย่างปกป้อง เด็กน้อยจ้องมองหัวไหล่ของบิดาที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิต นางกัดริมฝีปากแน่นกลั้นเสียงร้องแต่กระนั้นน้ำตาหยดใสยังไหลรินจากดวงตาคู่งาม หนีมาได้ไกลถึงเพียงนี้ อีกแค่ไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงที่หมายแล้วแท้ๆ เหตุใดสวรรค์ไม่เมตตา “พ่อผิดต่อเจ้าแล้ว ซีเอ๋อร์” น้ำเสียงของบิดาปลอบประโลมอยู่ริมหู หัวใจเหมือนมีมือยักษ์มาบีบเค้นจนเจ็บปวดเกินพรรณนา ด้วยสถานการณ์บังคับ เขาในฐานะหัวหน้าองครักษ์ต้องปกป้ององค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้กลับต้องใช้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมชุดรัชทายาทลวงเหล่านักฆ่ามาอีกทางเพื่อให้คนของเขาพาองค์รัชทายาทเสด็จกลับวังโดยด่วน “ซีเอ๋อร์อย่าได้กลัว” วงแขนโอบกอดบุตรสาวแนบแน่น ภรรยารักของเขานั้นเป็นเพียงนางกำนัลเล็กๆ ในวังหลวง เมื่ออยู่จนอายุครบกำหนดก็ออกมาใช้ชีวิตนอกวังตามกฎ เขาผู้แอบรักนางมาเนิ่นนานจึงได้แต่งงานกันอย่างเงียบๆ มีบุตรสาวที่แสนน่ารัก ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องใช้ชีวิตบุตรสาวตัวเองทำการเสี่ยงอันตรายเช่นนี้
“ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้ เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“โอ๊ย!”เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และค
“ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ
“น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ
“คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
“คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค
“น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ
“ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ
“ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้ เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“โอ๊ย!”เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และค