“ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง
“บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้
เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ
นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน
“เด็กหน้าผี!”
“เด็กหน้าผี!”
“เด็กหน้าผี!”
“โอ๊ย!”
เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และคงเพราะทนความเจ็บไม่ไหวจึงส่งเสียงร้องออกมา เพียงเสียงร้องเจ็บปวดที่แหบแห้งดังขึ้น เด็กตัวโตเหล่านั้นก็ตกใจพากันวิ่งหนีเตลิดไปคนละทิศละทาง
สวินเย่ว์ ได้แต่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ ดวงตาคมกริบคู่นั้นหรี่มองเด็กตัวเล็ก เพ่งมองเพียงครู่เดียวก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่เขากับไต้ซือเคยช่วยเหลือเมื่อครึ่งปีก่อน
เมื่อตอนที่เขาอายุสิบขวบนั้น มีนักพรตบ้าบอจากที่ใดไม่รู้มาตรวจดวงชะตาของเขา แล้วกล่าวหาว่าดวงชะตาของเขาเป็นดวงชะตาทรราช ในภายภาคหน้าสองมือจะเปื้อนโลหิต นั่งอยู่บนภูเขาซากศพคนนับแสน ด้วยคำทำนายอันน่าสะพรึงนี้ แม้บิดาไม่ใช่ผู้โง่เขลาเลื่อนลอย แต่วีรกรรมที่เขาก่อมานั้น ผู้อื่นมองว่าเขาร้ายกาจแต่เด็ก มีแววตากระหายโลหิต ประจวบกับไต้ซือซูผ่านมาพอดี ได้ยินเรื่องคำทำนายดวงชะตาของเขาแล้วก็เอาแต่พยักหน้าขึ้นลง แล้วเอ่ยปากขอรับเลี้ยงเขาไว้เป็นเวลาสี่ปี แม้มารดาไม่ยินดีแต่ด้วยบิดาเลื่อมใสไต้ซือซูมานาน จึงยอมให้เขาคิดตามไต้ซือซูที่ท่องเที่ยว อีกไม่กี่วันก็จะครบกำหนดแล้ว เขาจะได้กลับ ‘บ้าน’ เสียที
ครึ่งปีก่อนเขากับไต้ซือซูบังเอิญพบเหตุการณ์คนชุดดำกลุ่มหนึ่งไล่ล่ารถม้าคันหนึ่ง จนกระทั่งรถม้าและม้าหลุดออกจากกัน รถม้ากลิ้งหลายตลบตกลงมาที่ตีนเขา เดิมทีเขาไม่คิดช่วยเหลือผู้ใดอยู่แล้ว แต่ชื่นชอบการฆ่าฟันเป็นชีวิตจิตใจ เขาสนใจชายร่างใหญ่ผู้นั้น แม้ปิดบังใบหน้าแต่ดวงตาดุดัน แผ่ไอสังหารอำมหิตรุนแรง ทำให้เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน อยากประมือด้วยสักครั้ง แต่เมื่อเห็นชายผู้นั้นใช้มือข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อเด็กหญิงที่สวมชุดเด็กชายขึ้นมา ใช้มือที่สวมถุงมือดูประหลาดตา กางนิ้วทั้งห้าบีบศีรษะเด็กน้อย ฝ่ามือนั้นราวกับนาบมาด้วยไฟเมื่อสัมผัสศีรษะของเด็กน้อยก็ได้กลิ่นเนื้อไหม้และเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงผู้นั้น ไม่ทันรู้ตัว เขาก็หยิบลูกศรขึ้นคันธนูแล้วปล่อยออกไป
“สวินเย่ว์”
ได้ยินเสียงราบเรียกเหมือนดึงสติของเขาไว้ทำให้เขาชะงักไป เขาไม่คิดจะช่วยเด็กหญิงตัวน้อย เพียงแค่มองว่าคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมคือ
เขาต่างหาก!
ทว่าไม่ได้ประมือกันจริงจัง คนของสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์คำรามมาปรากฏตัวเสียก่อน เดิมทีเขาไม่ได้ใส่ใจผู้ใด แต่เพราะไต้ซือซูบังคับให้เขาติดตามคนกลุ่มนี้กลับไปด้วย ไต้ซือซูช่วยชีวิตเด็กหญิงคนนั้นแต่ใบหน้าของนางมีรอยแผลที่คาดว่าจะทิ้งแผลเป็นไว้ และเพราะเลือดเข้าดวงตา นางต้องปิดดวงตากลายเป็นคนตาบอดไปนานนับเดือน ที่ซ้ำร้ายกว่า ขาข้างขวาถูกเหยียบจนกระดูกแตก นางไม่สามารถเดินเหินได้อย่างคนปกติ จึงไม่แปลกที่ยามนี้นางจะเดินลากขาข้างขวา ไต้ซือซูช่วยรักษาดูแลนางอยู่ครึ่งเดือน ระยะเวลานั้นเขาอยู่ในสำนักคุ้มภัยพยัคฆ์คำรามโดยไม่สนใจผู้อื่น นอกจากนั่งๆ นอนๆ และฝึกยุทธ์ตามที่ไต้ซือซูแนะนำเช่นทุกวัน
เด็กคนนั้นอยู่ในห้องของนาง มีหมอท่านหนึ่งเข้ามาช่วยรักษานาง เขาได้ยินไต้ซือซูเรียก ‘หมอหวังข่าย’ และชายหนุ่มอีกคนที่เป็นน้องชายเจ้าของสำนักคุ้มภัยชื่อ ‘เกาเทียนฉี’ คอยดูแลนาง เขาไม่เคยเข้าไปเยี่ยมดู นางมิใช่ญาติพี่น้องคนรู้จัก ที่ยื่นมือช่วยอุ้มนางมาเพราะถูกสายตาของไต้ซือซูสั่งให้ทำ แต่ในบางคืนที่เขาหลบออกมาเดินเล่นผ่านมาทางห้องที่นางอยู่ ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นลอดผ่านบานหน้าต่างออกมา
นางอายุเท่าไหร่กัน
เด็กตัวแค่นั้น....
ผ่านไปครึ่งเดือน ไต้ซือซูบอกให้เขาเตรียมตัวเพื่อเดินทาง ก่อนจากไป ได้บอกกล่าวกับเกาฮ่วนปิ่งว่า จะกลับมาเยี่ยมดูอาการเด็กคนนั้นอีกครั้ง
ผ่านมาครึ่งปี ประจวบกับครบกำหนดกลับบ้านของเขาแล้ว ไต้ซือซูแวะมาดูอาการเด็กหญิงคนนั้นและเตรียมส่งเขากลับคืนสู่ครอบครัว
เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีจ้องมองเด็กหญิงวัยสิบขวบที่ค่อยๆ ยันกายขึ้น นิ้วมือเล็กๆ ปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิง นางมิได้ปักปิ่นหรือเกล้าผม เพียงใช้แถบผ้าสีแดงสดรวบมัดเส้นผมไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่าย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเพียงผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ร่างเล็กลากเท้าข้างที่เจ็บค่อยๆ เดินไปริมตลิ่ง ก้มลงถอดรองเท้าแล้วยกชายกระโปรงขึ้นยื่นเท้าลงไปในสระน้ำ
ดวงตาเด็กหนุ่มกระตุก เขายืดกายแล้วลุกขึ้นกระโจนเข้าไปทางเด็กหญิงตัวน้อย มือกร้านจากการฝึกเพลงกระบี่ยื่นไปคว้าไหล่ของเด็กหญิงไว้ก่อนที่นางจะเดินลงน้ำไป
“นี่!”
เขากระชากร่างเล็กอย่างแรง เด็กหญิงหันกลับมามอง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง แรกทีเดียวเขาคิดว่านางตกใจและจะส่งเสียงหวีดร้องจึงรีบยื่นมือข้างหนึ่งไปปิดปากของนางไว้ก่อน
“อย่าร้องนะ” เขาเกลียดเสียงร้องของผู้หญิงที่สุด!
ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นว่านางยืนยันด้วยการพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขาจึงคลายมือออกและจับไหล่เล็กนั้นให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
“ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ
“น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ
“คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
“เจ้าเป็นถึงบุตรชายคนโต เป็นแม่ทัพ เจ้าจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่เห็นจะ...โอ๊ย!” ยังไม่ทันพูดจบประโยคดี ใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทที่อยู่ในชุดขันทีก็ถูกหมัดของแม่ทัพหมาดๆ ซัดเข้าใส่เต็มเบ้าตา! ฝูหรงไม่ทันตั้งตัวและหลบไม่ทันจึงรับหมัดเข้าไปเต็มๆ ซ้ำยังหงายหลังร่วงลงจากต้นไม้ โชคดีที่ไม่สูงนัก สวินเย่ว์ได้ยินเสียงก่นด่าพลางฉีกยิ้ม แค่นี้เขาก็ออกจากจวนได้อย่างสบายใจ…. “เมื่อครู่ท่านลุงว่าอะไรนะเจ้าคะ” เด็กสาวอ้าปากค้าง นางนั่งฟังท่านลุงวัยหกสิบที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองบอกเล่าเรื่องแม่ทัพสวินเย่ว์ “ข้าฟังเขาเล่ากันมา แต่น่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ชกหน้ารัชทายาท แต่ฮ่องเต้ทรงเมตตาไม่ลงโทษสถานหนักเพียงแค่ให้ท่านแม่ทัพไปประจำที่หน้าด่านแทน” “เหตุใดท่านแม่ทัพทำเช่นนั้นนะ” เสิ่นฉางซีโคลงศีรษะไปมา เพิ่งได้กลับเข้าจวนแท้ๆ เหตุใดถึงได้ทำร้ายองค์รัชทายาทจนต้องถูกขับออกมาอีกเล่า นางได้แต่งุนงงไม่อาจหาคำตอบให้ตนเองได้เพราะยามนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม โดยปกตินายท่าน
"ไฉนไม่ยื่นมือช่วยเหลือกันบ้าง” เสียงบ่นพลางเหนี่ยวตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ สวินเย่ว์ขยับกายนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึกแต่แววตามีรอยขบขันที่เห็นผู้ที่มาเยือนสวมชุดขันที “เป็นถึงรัชทายาทต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนเช่นนี้เชียวหรือ” “หากเลือกได้ ข้าขอเกิดเป็นสามัญชนเช่นเจ้าดีกว่า” บุรุษหนุ่มเอ่ยแล้วสูดลมหายใจลึกๆ อากาศนอกรั้ววังหลวงนี้ช่างสดชื่นดีแท้ “ท่านคงมิได้ลอบออกจากตำหนักบูรพาเพื่อสูดอากาศเท่านั้นหรอก”สวินเย่ว์คุ้นชินกับนิสัยของรัชทายาทฝูหรงเป็นอย่างดี ยามนี้เขาสวมชุดขันทีเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยปากสนทนาด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ “เจ้าไม่ไปเยี่ยมเยือนข้าเลยนี่ ข้าจึงยอมลดตัวมาหาเจ้า” “ตำหนักบูรพาน่าเข้าไปนักหรือ?” เขาเบ้ปากเล็กน้อย “ได้พบท่านครั้งแรก ท่านก็สวมชุดขันทีเช่นนี้” รัชทายาทฝูหรงหัวเราะออกมา มีแต่เวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและปลอดโปร่ง หากสบโอกาสเขามักลอบออกจากตำหนักเพื่อติดตามหาข่าวใครคนหนึ่งเสมอ และนั่นทำให้เมื่อสามปีก่อนบังเอิญได้พบสวินเย่ว์
“อ่อ” นางรับคำเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าอยากไปหยุนหนานหรือ?” เห็นท่าทางตื่นเต้นของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เด็กคนนี้มักเก็บอาการ ไม่แสดงความต้องการสิ่งใดออกมานัก เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ยินนายท่านรองและท่านหมอหวังข่ายพูดถึงหยุนหนานบ่อยๆ ข้าจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง” เกาเทียนฉีกินรังนกจนหมดแล้วรับน้ำชาจากเสิ่นฉางซี “แท้จริงเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจสินะ” “นายท่านรอง...” นางเอ่ยได้เพียงแค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก “ฉางซี” เกาเทียนฉีฉีกยิ้มให้เด็กสาว “ที่เจ้าพยายามเรียนรู้อะไรมากมายเพียงเพื่อออกไปใช้ชีวิตข้างนอกนั่นมิใช่หรือ?” เสิ่นฉางซีเงยหน้ามองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ฉางซิมิได้...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เกาเทียนฉีโบกมือห้ามไม่ให้นางพูดต่อ“สกุลเกาสร้างสำนักคุ้มภัยราชสีห์คำรามมาสองชั่วอายุคนแล้ว แต่พวกเราก็มิใช่คนลืมกำพืดตนเอง พวกเราไม่ใช่สกุลใหญ่โตเหมือนพวกคหบดีหรือวาณิช เจ้าเองอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วย่อมรู้ว่าคนในสำนักคุ้มภัยมีที่มาที่ไปหลากหลาย บางคนโลดแล่นในยุทธภพมาก่อน บางคนเป็
เมื่อห้าปีก่อน เกาฮ่วนปิ่งและไต้ซือซูพาเด็กหญิงตัวน้อยมารักษาอาการบาดเจ็บที่สำนักคุ้มภัยราชสีห์คำราม เขาผู้ซึ่งนับถือไต้ซือซูประหนึ่งอาจารย์ผู้สั่งสอนเรื่องสมุนไพรนั้นจึงได้เข้ามาดูอาการบาดเจ็บสาหัสของเสิ่นฉางซี เด็กหญิงตัวน้อยที่อดทนต่อความเจ็บปวด ไม่ร้องโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมทำให้เขาได้สติ นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาคอยดูแลรักษาอาการบาดเจ็บของนางไปตามลำดับขั้นตอนด้วยความใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อนางยังเป็นเด็กน้อย บาดแผลของนางน่าเกลียดน่ากลัว มักถูกเด็กคนอื่นรังแกอยู่เสมอ นางไม่เคยตอบโต้ เขาจึงได้แต่คอยจูงมือเด็กหญิงมิให้คนอื่นมารังแก เพียงพริบตา ข้อมือเล็กๆ ที่เขาเคยจับจูง ยามนี้เป็นข้อมือของเด็กสาวเสียแล้ว อาจเป็นความคุ้นชิน มือหยาบกระด้างจับเอวของเด็กสาวยกขึ้นตัวลอยให้นางขึ้นรถม้า และเขาก็ไม่เคยถามว่าทุกครั้งที่พานางเข้าเมืองมา นางมักจะหายไปหนึ่งถึงสองชั่วยามเสมอ นางไม่เคยปริปากเล่า เขาจึงไม่เอ่ยถามอะไร แต่ไม่เคยบอกนางว่าครั้งหนึ่งเคยแอบตามนางไป เด็กหญิงตัวน้อยเดินตรงไปที่บ้านหลังหนึ่งแต่มันมอดไหม้เหลือเพียงเศษซากที่พอจะเห็นว่าเคยเป็นบ้า
‘ผู้มีพระคุณรึ’ ไต้ซือซูเอ่ยซ้ำแล้วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ‘พบกันล้วนเกิดจากวาสนา บางทีเจ้ากับเขาอาจมีวาสนาต่อกัน บางทีอาจเป็นเจ้าที่ช่วยคนผู้นั้นได้’ ‘ข้ารึ’ นางใช้นิ้วชี้ที่ใบหน้าตนเอง ‘อย่างข้าจะช่วยผู้ใดได้’ไต้ซือซูพยักหน้าอีกครั้ง‘ขอเพียงมีความตั้งใจจริง ย่อมทำได้แน่นอน’ภายใต้การดูแลเลี้ยงดูของสกุลเกา เสิ่นฉางซีเติบโตขึ้นตามวัย ในหนึ่งปีไต้ซือซูจะแวะเวียนมาดู อาการบาดเจ็บของนางสักครั้ง นายท่านใหญ่ให้คนไปสืบข่าวจึงรู้ว่าบ้านของนางนั้นถูกไฟไหม้ ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว นางรอดจากความตายมาครั้งหนึ่งแล้วนั้น จึงมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม้มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ต้องเดินลากขาข้างขวาและยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ นางจึงพยายามเรียนรู้ทักษะหลายๆ ด้าน เพื่อที่วันหนึ่งนางออกจากสกุลเกาแล้วยังสามารถหาเลี้ยงตัวเองโดยไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด สตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้นั้น ย่อมไม่มีใครต้องการ นางจึงคิดจะหาเลี้ยงชีพเพียงลำพัง ด้วยคิดเสมอมาว่าต้องอยู่คนเดียวให้ได้ จึงพยายามเรียนรู้เรื่องต่างๆ ให้มากที่สุด แม้เป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อย แต่ยามอยู่ในครัวก็ใช้เก้าอี้มาต่อขาเพื่
“คุณชายเกา”ทุกคนต่างรู้ดีว่าเการุ่ยเฉียงเอ็นดูแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด หากเผลอล่วงเกินนางให้เขาเห็นเข้า คงไม่ได้อยู่ดีในสกุลเกาเป็นแน่“พ่อครัวใหญ่เตรียมของว่างอยู่หรือ? ให้ซีเอ๋อร์ช่วยนะเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงออดอ้อน หวังปล้นเอาวิชาความรู้การปรุงอาหารอันแสนอร่อยของพ่อครัวหลี่เจี๋ยเการุ่ยเฉียงได้แต่ส่ายหน้าไปมา เขาหวังใจปกป้องดูแลเสิ่นฉางซีไปทั้งชีวิต ไม่คิดให้นางไปใช้ชีวิตข้างนอกรั้วสกุลเกา แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นความตั้งใจจริงของเขา นางพยายามทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพียงเพื่อจะได้ใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะรั้งนางผู้มีรอยยิ้มดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิไว้ข้างกายตลอดทั้งชีวิตทั้งชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเก้าปีก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งแม่ทัพแล้ว ชาวบ้านต่างพากันหลีกทางขบวนทหารกล้าที่กำลังผ่านถนนสายหลักมุ่งหน้าสู่วังหลวง บุรุษในชุดศึกสีดำขรึมขลังบนอาชาศึกงามสง่าสะกดทุกสายตาให้หยุดมองเพียงเขา ใบหน้านั้นหล่อเหลา สุขุมและเยือกเย็นประหนึ่งเทพเซียน ดวงตาคมคู่นั้นเป็นสีนิลดุจเดียวกับบ่อน้ำลึกไร้รอยไหวกระเพื่อม เขาเป็นบุรุษที่หญิงสาวหลงใหลค
“น้องฉางซี”เสียงเรียกเกรงใจอยู่หน้าห้องทำให้เสิ่นฉางซีงะงักมือ นางวางชุดกระโปรงสีแดงสดสวยไว้บนเตียง เดินลากขาข้างขวามาถึงหน้าประตู เจ้าของเสียงยืนรอด้วยท่าทีกระวนกระวาย เด็กสาวส่งยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง“คุณชายกลับมาเมื่อไหร่เจ้าคะ”คำทักทายของนางมิได้สร้างรอยยิ้มให้เการุ่ยเฉียงนัก มุมปากที่กำลังยกยิ้มกลับกลายเป็นบึ้งตึง“ข้าบอกกี่ครั้งแล้ว เหตุใดเจ้ายังเรียกข้าว่าคุณชายอีก” ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดก้มหน้าลงจ้องเขม็งที่ใบหน้าของเด็กสาวที่ยังเผยรอยยิ้มสดใสไม่มีแววหวาดกลัวเขาเลยสักนิด แม้ปากจะเรียกเขาว่าคุณชายก็ตาม แต่นางไร้กิริยาของหญิงรับใช้ และเขาเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น“แต่ว่า...” นางอยู่อย่างเจียมตัวมาตลอด แม้ทุกคนรักใคร่นางมากแต่นางไม่ลืมฐานะของตนเอง และไม่ลืมบุญคุณที่ช่วยเหลือทั้งรักษานางด้วยยาราคาแพงและยังให้ที่อยู่อาศัยอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ร่างกายนางไม่แข็งแรง ฝึกยุทธ์เช่นเด็กคนอื่นไม่ได้ สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงงานจิปาถะทั่วไปเช่นบ่าวไพร่ควรทำ“ไม่มีแต่ หากข้ายังได้ยินเจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วจริงๆ” เขาขึงตาใส่อย่างดุดัน‘อย่างนี้ไม่เ
“ท่านผู้มีพระคุณ”เด็กหนุ่มมีสีหน้าฉงน ในถ้อยคำที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เขาเห็นดวงตาของเด็กหญิงมีแววตื่นเต้นดีใจ“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านผู้มีพระคุณ” นางยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีก ครั้งก่อนท่านช่วยชีวิตข้า ข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”“เหลวไหล! ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า” ข้าแค่ต้องการประมือกับเจ้ามือเหล็กนั่นต่างหาก! เขากลับพูดไม่ออกเมื่อเห็นรอยยิ้มจางไปจากใบหน้าของนาง แต่เพียงครู่เดียวนางก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง“แต่ชีวิตซีเอ๋อร์ก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแล้ว ต่อไปให้ข้าเป็นช้างม้าวัวควายรับใช้ท่านก็...”“ข้าบอกไม่ได้ช่วยไม่ได้ยินหรือไร เจ้าโดนทำร้ายจนสมองมีปัญหารึ!”คราวนี้เขาตวาดเสียงดัง หากไม่เห็นว่าคนตรงหน้าเป็นแค่เด็กหญิง คงได้ลงมือสั่งสอนนางไปแล้ว เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อยคล้ายยอมจำนนไม่ดื้อรั้น เขาจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง แต่พอคิดว่านางกำลังจะฆ่าตัวตายจึงรีบเอ่ยขึ้น“ถูกแล้ว ชีวิตเจ้าข้าเป็นคนช่วยไว้ เพราะฉะนั้นข้าเป็นเจ้าของชีวิตเจ้า ห้ามเจ้าคิดฆ่าตัวตายอีก”“ฆ่าตัวตาย?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคออย่างงุนงง “ผู้ใดฆ่าตัวตายเจ้าคะ”“ก็เจ้าไง” เขาใช้นิ
“ท่านพ่อ” นางเรียกได้เพียงแค่นั้น กลอกตามองไต้ซือครั้งหนึ่งและมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง “บาดแผลเจ้าสาหัสไม่น้อย ถึงขั้นเสียโฉม น่าเศร้าใจยิ่ง” ไต้ซือส่ายหน้าไปมา เห็นเด็กหนุ่มขับไล่ชายชุดดำไปหมดแล้วจึงพยักหน้าเรียกให้เข้ามาใกล้ เสิ่นฉางซีกลอกตามอง เพราะเลือดไหลเข้าตาทำให้นางมองไม่ชัด ก่อนสติจะหลุดลอย นางรับรู้เพียงว่ามีใครคนหนึ่งอุ้มนางไว้ แม้กายของเขาจะมีกลิ่นคาวเลือด แต่นางกลับรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจใต้ใบหูของนางนั้นทำให้นางหลับใหลไปด้วยความวางใจ นางเชื่อใจว่าคนผู้นี้จะไม่ทำร้ายนาง.เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ท่าทางเกียจคร้าน เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนกิ่งไม้ใหญ่ สายลมโชยพัดผ่านทำเอาเส้นผมของเด็กหนุ่มที่รวบไว้อย่างไร้ระเบียบพลิ้วไหว เสียงความเคลื่อนไหวด้านล่างเรียกดวงตาที่ปิดสนิทให้ลืมตาขึ้น สองมือประสานรองศีรษะของตน แต่สายตาคู่นั้นหลุบมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“เด็กหน้าผี!”“โอ๊ย!”เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งล้อมวงตะโกนใส่ ซ้ำยังผลักไหล่เซไปเซมาคนละทีสองทีจนคนตัวเล็กล้มลง และค