รุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มปรากฏบนขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์แทรกผ่านเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ส่องแสงลงมาบนค่ายพักของหลงเซิงและหวางหลง เสียงนกร้องในยามเช้าสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความท้าทาย
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ทรงพลังที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ และใช้พลังนั้นในการปกครองขุนเขา
เส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทาย ทิวเขาที่สูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่ากลัว แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ
ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบกับการทดสอบต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะการต่อสู้และความฉลาดในการแก้ปัญหา เช่น การข้ามผ่านสะพานน้ำแข็งที่แคบและลื่นไหล การเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของป่า และการหาทางเอาตัวรอดจากพายุหิมะที่รุนแรง
หลงเซิงและหวางหลงใช้ความรู้และประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับมาในการผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ทีละขั้น พวกเขาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและสนับสนุนกันและกันในทุกช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก
เมื่อพวกเขาเดินทางมาได้ไกลจนถึงใจกลางของทิวเขา พวกเขาพบกับพื้นที่ที่แตกต่างจากพื้นที่ที่พวกเขาเดินผ่านมาก่อนหน้านี้ ที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของความหนาวเย็นและหิมะที่ปกคลุมอยู่ แต่กลับเต็มไปด้วยพืชพรรณที่แปลกตาและดินแดนที่อุดมสมบูรณ์
ตรงกลางของพื้นที่นั้น พวกเขาเห็นวังขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง วังนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีขาวที่ส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางแสงอาทิตย์ มีเสาหินสูงตั้งอยู่เรียงรายและประดับประดาด้วยรูปปั้นของสัตว์ในตำนานที่ดูสง่างามและน่าเกรงขาม
“นี่คือที่ที่ผู้ทรงพลังแห่งขุนเขาอาศัยอยู่” หวางหลงกล่าวพลางมองไปที่วังด้วยความสงสัยและความเคารพ “พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษในการควบคุมพลังธรรมชาติ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขามีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและธาตุต่างๆ ได้”
หลงเซิงพยักหน้า “พลังของพวกเขาน่าทึ่งมาก ข้าคิดว่าพวกเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเราในการต่อสู้กับพลังมืดที่กำลังคุกคามโลก”
ทั้งสองคนตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปในวังเพื่อพบกับผู้ทรงพลังเหล่านั้น พวกเขาเดินผ่านประตูใหญ่ที่ถูกเปิดออกอย่างน่าประหลาดใจ และพบกับสนามหญ้ากว้างใหญ่ที่ทอดยาวไปจนถึงตัววังหลัก ที่นี่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่แปลกตาและดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในวัง พวกเขาพบกับกลุ่มคนที่มีลักษณะแปลกตา พวกเขาแต่งกายด้วยชุดที่ทำจากผ้าฝ้ายสีขาวที่ถูกปักลวดลายด้วยเส้นด้ายสีทอง ลักษณะของพวกเขาแสดงถึงความสง่างามและความทรงพลังที่ไม่อาจปฏิเสธได้
หนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นเดินเข้ามาหาพวกเขา เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ เขามีท่าทางสงบและเป็นมิตร แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
“ข้าคือเซียวเทียน ผู้นำของกลุ่มผู้พิทักษ์ขุนเขา ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเดินทางมาไกลเพื่อมาพบกับเรา พวกเจ้ามีเหตุผลอันใด?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
หลงเซิงและหวางหลงแสดงความเคารพและตอบกลับ “ข้าคือหลงเซิง และนี่คือสหายของข้า หวางหลง พวกเรากำลังเดินทางเพื่อตามหาคำตอบเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเราและปกป้องโลกจากพลังมืดที่กำลังคุกคาม เราเชื่อว่าพวกท่านอาจมีคำตอบหรือวิธีการที่จะช่วยเราในการต่อสู้ครั้งนี้”
เซียวเทียนฟังด้วยความสนใจและพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ดาบแห่งวิญญาณสลายที่เจ้าถืออยู่เป็นสิ่งที่ทรงพลังและมีความสำคัญต่อชะตากรรมของโลกนี้ แต่การควบคุมพลังของมันไม่ใช่เรื่องง่าย และการเผชิญหน้ากับพลังมืดก็ยิ่งท้าทายยิ่งกว่า”
เซียวเทียนหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าพวกเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากมายก่อนที่จะพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่ ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าเข้าร่วมการทดสอบของเรา การทดสอบนี้จะเป็นการวัดความสามารถและความมุ่งมั่นของพวกเจ้า หากพวกเจ้าสามารถผ่านมันไปได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าในการต่อสู้ครั้งนี้”
หลงเซิงและหวางหลงมองหน้ากันด้วยความมั่นใจ พวกเขารู้ว่าการทดสอบนี้จะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของพวกเขา พวกเขาจึงยอมรับคำท้าของเซียวเทียนและเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบที่จะมาถึง
การทดสอบเริ่มต้นขึ้นในวันรุ่งขึ้นที่ลานกว้างในวังที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง หลงเซิงและหวางหลงยืนอยู่ตรงกลางลานขณะที่ผู้พิทักษ์ขุนเขาเริ่มเตรียมการทดสอบที่หลากหลาย การทดสอบเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อทดสอบทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพและจิตใจของพวกเขา
การทดสอบแรกเป็นการต่อสู้กับศัตรูที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังธรรมชาติ ผู้พิทักษ์ขุนเขาใช้พลังของพวกเขาในการสร้างสรรพสิ่งที่มาจากธาตุต่างๆ เช่น น้ำแข็ง ไฟ ลม และดิน ศัตรูเหล่านี้มีพลังและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป และพวกเขาโจมตีหลงเซิงและหวางหลงด้วยความรวดเร็วและรุนแรง
หลงเซิงใช้ดาบแห่งวิญญาณสลายในการต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้ เขาปล่อยพลังจากดาบเพื่อสร้างคลื่นพลังที่แผ่ซ่านออกไปทำลายศัตรูที่อยู่รอบๆ ขณะเดียวกัน หวางหลงใช้ทักษะการต่อสู้ของเขาในการป้องกันและโจมตีศัตรู พวกเขาร่วมมือกันอย่างดีและสามารถเอาชนะศัตรูแต่ละตัวได้อย่างยากลำบาก
การทดสอบต่อไปเป็นการทดสอบความสามารถในการควบคุมจิตใจ หลงเซิงและหวางหลงถูกนำเข้าสู่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากพลังของผู้พิทักษ์ขุนเขา ภาพลวงตาเหล่านี้เต็มไปด้วยความกลัวและความสงสัยที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของพวกเขา พวกเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกเหล่านี้และหาทางออกจากพื้นที่นั้นให้ได้
หลงเซิงพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและเสียงกรีดร้องของผู้คนที่เขาเคยสูญเสียไป ภาพเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกถึงความโศกเศร้าและความโกรธที่เคยซ่อนอยู่ในจิตใจของเขา แต่เขาก็รู้ว่าภาพเหล่านี้เป็นเพียงภาพลวงตา เขาจึงพยายามรักษาความสงบและมุ่งมั่นที่จะหาทางออกจากพื้นที่นี้
หวางหลงเองก็ต้องเผชิญหน้ากับภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากความกลัวที่ลึกซึ้งของเขา เขาเห็นภาพของคนที่เขารักถูกทำร้ายและสูญเสียไป ภาพเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกถึงความอ่อนแอและความกลัว แต่เขาก็พยายามที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึกเหล่านี้และหาทางออกจากพื้นที่นี้
เมื่อพวกเขาสามารถเอาชนะความกลัวและความสงสัยในจิตใจของพวกเขาได้ พวกเขาก็พบว่าตัวเองกลับมายืนอยู่ที่ลานกว้างในวังอีกครั้ง ผู้พิทักษ์ขุนเขาที่มองพวกเขาด้วยความชื่นชม และเซียวเทียนก็เข้ามายืนข้างๆ พวกเขา
“พวกเจ้าได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและความมุ่งมั่นของพวกเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นพวกเจ้าผ่านการทดสอบเหล่านี้” เซียวเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
หลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกถึงความโล่งใจและความภาคภูมิใจที่ได้ผ่านการทดสอบเหล่านี้ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้เรียนรู้มากมายจากการทดสอบนี้ และพวกเขาก็พร้อมที่จะก้าวต่อไปในการเดินทางครั้งนี้
หลังจากการทดสอบสิ้นสุดลง เซียวเทียนเชิญหลงเซิงและหวางหลงไปยังห้องโถงใหญ่ภายในวัง ที่นั่นพวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้พิทักษ์ขุนเขาคนอื่นๆ และได้รับการเลี้ยงอาหารเพื่อฟื้นฟูพลังของพวกเขาหลังจากการทดสอบที่เหน็ดเหนื่อย
ในขณะที่พวกเขากำลังพักผ่อนอยู่ เซียวเทียนเริ่มเล่าถึงประวัติศาสตร์ของผู้พิทักษ์ขุนเขาและพลังที่พวกเขาครอบครอง เขาอธิบายว่าในอดีต ผู้พิทักษ์ขุนเขาเป็นกลุ่มคนที่ได้รับพลังจากธรรมชาติในการปกป้องดินแดนของพวกเขาจากภัยคุกคาม พวกเขาได้สืบทอดความรู้และพลังเหล่านี้มาจากบรรพบุรุษและใช้มันในการรักษาสมดุลของธรรมชาติ
เซียวเทียนยังได้เล่าถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ในอดีตที่ผู้พิทักษ์ขุนเขาต้องเผชิญหน้ากับพลังมืดที่พยายามทำลายดินแดนของพวกเขา เขาอธิบายว่าดาบแห่งวิญญาณสลายเป็นอาวุธที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ครั้งนั้น และมันถูกใช้ในการผนึกพลังมืดที่คุกคามโลก
“ดาบแห่งวิญญาณสลายเป็นดาบที่ทรงพลังมาก แต่มันก็มีพลังที่อันตรายเช่นกัน หากใช้ไม่ถูกวิธี มันอาจเป็นอาวุธที่ทำลายล้างทุกสิ่ง” เซียวเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “แต่หากใช้มันอย่างชาญฉลาด มันก็สามารถเป็นเครื่องมือที่ช่วยปกป้องโลกนี้ได้”
หลงเซิงฟังด้วยความสนใจและเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของดาบแห่งวิญญาณสลายมากขึ้น เขารู้ว่าพลังของดาบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกใช้อย่างไม่ระมัดระวัง และเขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมและใช้มันอย่างมีสติ
ในค่ำคืนนั้น หลังจากการสนทนาสิ้นสุดลง หลงเซิงและหวางหลงได้รับเชิญให้พักผ่อนในห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้ภายในวัง พวกเขารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าจากการทดสอบและการเดินทางที่ผ่านมา แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกถึงความสงบและความปลอดภัยที่วังนี้มอบให้
ก่อนที่หลงเซิงจะหลับ เขานั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างของห้องพักและมองออกไปยังทิวเขาที่ปกคลุมด้วยแสงจันทร์ เขารู้สึกถึงความเงียบสงัดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งพื้นที่ และเขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขากับธรรมชาติที่ล้อมรอบ
หวางหลงเดินเข้ามานั่งข้างๆ หลงเซิงและพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเรากำลังเดินหน้าไปในทางที่ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าเรากำลังเข้าใกล้คำตอบและความจริงที่เราตามหา”
หลงเซิงพยักหน้าและยิ้ม “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ข้ารู้สึกว่าพลังของเรากำลังเติบโตขึ้น และเราก็เรียนรู้มากมายจากการเดินทางครั้งนี้”
ทั้งสองคนต่างนั่งเงียบฟังเสียงลมที่พัดผ่านทิวเขา และเสียงของธรรมชาติที่สงบเงียบ พวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขายังไม่สิ้นสุด และยังมีสิ่งที่พวกเขาต้องทำอีกมากมาย
แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในกันและกัน
เช้าวันต่อมา หลงเซิงและหวางหลงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นและพลังที่ฟื้นฟูแล้ว พวกเขาได้รับการเตรียมอาหารเช้าอย่างดีจากผู้พิทักษ์ขุนเขา และหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกเชิญให้ไปพบกับเซียวเทียนที่ห้องโถงใหญ่
เมื่อพวกเขามาถึงห้องโถงใหญ่ เซียวเทียนยืนรอพวกเขาอยู่ที่กลางห้อง ในมือของเขามีแผนที่โบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เซียวเทียนยิ้มให้พวกเขาและกล่าวขึ้น “ข้าได้เตรียมแผนที่นี้ไว้สำหรับพวกเจ้า มันจะแนะนำเส้นทางที่พวกเจ้าควรไปต่อ มันจะแสดงสถานที่ที่สำคัญและอันตรายที่พวกเจ้าอาจต้องเผชิญ”
หลงเซิงรับแผนที่จากเซียวเทียนและเปิดมันออกดู แผนที่นี้แสดงเส้นทางที่ทอดยาวผ่านทิวเขา ป่าลึก และทะเลสาบที่ลึกลับ มีจุดสำคัญหลายจุดที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ และหลงเซิงรู้ว่าสถานที่เหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาคำตอบและการต่อสู้กับพลังมืด
“ขอบคุณท่านสำหรับความช่วยเหลือ” หลงเซิงกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “พวกเราจะใช้แผนที่นี้ในการเดินทางต่อไปและในการต่อสู้กับพลังมืด”
เซียวเทียนยิ้มและพยักหน้า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีความสามารถและความมุ่งมั่น ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าโชคดีในการเดินทางครั้งนี้ และหากพวกเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสนับสนุนพวกเจ้าเสมอ”
หลงเซิงและหวางหลงขอบคุณเซียวเทียนอีกครั้งก่อนที่จะออกเดินทางจากวัง พวกเขารู้สึกถึงความมั่นใจและความพร้อมในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกเขาเดินตามเส้นทางที่แสดงบนแผนที่ เส้นทางนี้พาพวกเขาผ่านป่าลึกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกและต้นไม้สูง เสียงของธรรมชาติและสัตว์ป่าที่อยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่าตื่นเต้น
พวกเขาเดินผ่านทิวเขาที่สูงชันและภูมิประเทศที่หลากหลาย มีบางครั้งที่พวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ยากลำบาก เช่น การข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกราก หรือการปีนป่ายหน้าผาที่ลื่นไหล แต่พวกเขาก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยความร่วมมือและความสามารถที่พวกเขาได้พัฒนามา
การเดินทางทำให้พวกเขาได้พบกับผู้คนใหม่ๆ และสถานที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางครั้งพวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา และบางครั้งพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ในระหว่างการเดินทาง หลงเซิงและหวางหลงยังคงฝึกฝนทักษะของพวกเขาและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับ พวกเขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น และพวกเขาก็เริ่มเข้าใจถึงพลังที่พวกเขาครอบครองมากขึ้น
เมื่อพวกเขาเดินทางมาได้ไกลจนถึงสถานที่ที่ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ พวกเขาพบกับทะเลสาบที่ลึกลับและสวยงาม ทะเลสาบนี้ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม น้ำในทะเลสาบใสจนสามารถมองเห็นพื้นใต้ทะเลสาบได้
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกถึงพลังที่แฝงอยู่ในทะเลสาบนี้ มันเป็นพลังที่ลึกลับและทรงพลังอย่างยิ่ง และพวกเขารู้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่สำคัญในการค้นหาคำตอบ
“นี่คือหนึ่งในจุดที่สำคัญที่แผนที่บอกไว้” หลงเซิงกล่าวพลางมองไปรอบๆ “ข้ารู้สึกว่าพลังที่แฝงอยู่ที่นี่มีความสำคัญมาก เราต้องสำรวจมันให้ละเอียด”
หวางหลงพยักหน้าและตอบ “ข้ารู้สึกเช่นกัน ทะเลสาบนี้ไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดา มันต้องมีความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่”
พวกเขาเริ่มต้นสำรวจรอบๆ ทะเลสาบ และพบกับถ้ำที่ซ่อนอยู่หลังน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขา ถ้ำนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องบางสิ่งที่สำคัญ และพวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องเข้าไปสำรวจมัน
เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในถ้ำ พวกเขาพบกับทางเดินที่ลึกลับและซับซ้อน ผนังของถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยคริสตัลที่เปล่งแสงสว่างและสร้างบรรยากาศที่ลึกลับ
พวกเขาเดินไปตามทางเดินจนมาถึงห้องใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายในถ้ำ ที่นั่นพวกเขาพบกับแท่นบูชาที่ถูกสร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาว บนแท่นบูชานั้นมีวัตถุบางอย่างที่เปล่งแสงสว่างออกมา
หลงเซิงและหวางหลงเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชา พวกเขาพบว่าวัตถุที่เปล่งแสงสว่างนั้นคืออัญมณีที่มีลักษณะคล้ายกับดวงตา มันเปล่งแสงสว่างออกมาและสร้างความรู้สึกที่ลึกลับและทรงพลัง
“นี่คืออะไร?” หวางหลงถามพลางมองไปที่อัญมณีด้วยความสงสัย
หลงเซิงพิจารณาอัญมณีและตอบ “ข้าคิดว่าอัญมณีนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดเผยความลับของทะเลสาบนี้ มันอาจมีพลังที่สามารถช่วยเราในการต่อสู้กับพลังมืด”
พวกเขาตัดสินใจที่จะนำอัญมณีนี้ไปด้วยในการเดินทางต่อไป หลงเซิงรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งขึ้น
เมื่อพวกเขาออกจากถ้ำและกลับมายังทะเลสาบ พวกเขาพบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มและพายุที่ทรงพลังเริ่มก่อตัวขึ้น พวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขายังอีกยาวไกล และอุปสรรคที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ายังมีอีกมากมาย
แต่พวกเขาก็ไม่หวาดกลัว พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะก้าวผ่านทุกอุปสรรค และใช้พลังที่พวกเขามีในการปกป้องโลกจากพลังมืดที่กำลังคุกคาม
ในค่ำคืนนั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะตั้งค่ายพักแรมใกล้ๆ กับทะเลสาบ เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อไป
ขณะที่พวกเขานั่งรอบกองไฟ หลงเซิงก็หันมามองหวางหลงและพูดขึ้น “เจ้าคิดว่าเราจะสามารถเอาชนะพลังมืดที่กำลังคุกคามโลกนี้ได้หรือไม่?”
หวางหลงยิ้มและตอบ “ข้ารู้ว่าเราจะต้องเจอความยากลำบากมากมาย แต่ข้าเชื่อว่าเรามีความแข็งแกร่งและความกล้าหาญที่จะแข็งแกร่งพอ ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถปกป้องโลกนี้ได้”
หลงเซิงพยักหน้าและยิ้มกลับ “ข้าก็เชื่อเช่นนั้น เราจะต้องทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อปกป้องสิ่งที่เรารัก”
ทั้งสองคนต่างนั่งเงียบฟังเสียงลมที่พัดผ่านป่า และเสียงของพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ไกลๆ พวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขายังไม่สิ้นสุด และพวกเขายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย
หมู่บ้านหย่งเฉิงตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าที่ซึ่งผืนดินถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ สายน้ำใสสะอาดไหลรินผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงน้ำไหลเบาๆ เป็นเสมือนเสียงดนตรีที่คอยกล่อมชาวบ้านให้รู้สึกสงบใจ ภูมิทัศน์รอบๆ หมู่บ้านเต็มไปด้วยทิวเขาและต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากลมพายุและภัยธรรมชาติ แม้จะห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมู่บ้านนี้กลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขมานานหลายศตวรรษทว่าในความสงบสุขนั้น กลับมีความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นมานาน ความลับที่ไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ และความลับนี้กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงหลงเซิง เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านหย่งเฉิง เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหายสาบสูญไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่งที่หมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลงเซิงจึงถูกชาวบ้านเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนเป็นลูกหลานของตัวเองหลงเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเมตตา เขามักจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าว หรือการดูแลสัตว์ในฟาร์ม เขาเป็นที่รักใคร่ของ
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเหนือขอบฟ้า หลงเซิงยังคงเดินทางผ่านป่าและภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านหย่งเฉิง ดาบแห่งวิญญาณสลายซึ่งเขาเพิ่งค้นพบได้ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนาในฝักดาบที่สะพายอยู่บนหลัง มันเป็นดาบที่เปล่งพลังเยือกเย็นออกมาแม้จะอยู่ในฝัก และพลังนั้นกลับทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อนเส้นทางที่เขาเลือกเดินพาเขาลึกเข้าไปในป่าที่ปกคลุมด้วยเงามืด แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องลงมาผ่านทิวไม้ แต่ป่ากลับเงียบงันราวกับซ่อนเร้นความลับบางอย่าง เสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ในป่าดูเหมือนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของหลงเซิงที่ก้องกังวานไปทั่วความเงียบสงัดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกไม่สบายใจ ความเงียบที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย มันเหมือนกับว่าเงามืดในป่ากำลังจับตามองเขาอยู่ แต่ไม่แสดงตัวออกมาเมื่อเวลาเริ่มล่วงเข้าสู่บ่าย หลงเซิงเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นไปตามเนินเขา ที่นั่นเขาได้ยินเสียงที่แว่วมาเบาๆ มันเป็นเสียงของการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลงเซิงหยุดนิ่งแ
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มคนลึกลับที่มุ่งทำลายหมู่บ้าน หลงเซิงและหวางหลงก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในฐานะผู้ปกป้องหมู่บ้าน แม้จะผ่านการเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัว แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักฟื้นและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้ หลงเซิงและหวางหลงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป พวกเขาได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้มีวิหารโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ที่นั่นอาจมีคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขากำลังค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่วิหารโบราณเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ป่าลึกที่พวกเขาต้องข้ามผ่านเต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบและสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลงเซิงและหวางหลงต้องใช้ทักษะการต่อสู้และความชำนาญในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทว่าทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ แม้ว่าป่าจะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในวิหารโบราณก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก หลงเซิงรู้สึกได้ว่าคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมก
หลังจากการผจญภัยในวิหารโบราณที่ทำให้หลงเซิงและหวางหลงได้ค้นพบพลังที่แฝงอยู่ในลูกแก้วสีดำ พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป แม้ว่าจะรู้สึกโล่งใจที่สามารถผนึกพลังอันตรายไว้ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความลับและอุปสรรคอีกมากมายเส้นทางที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้นำไปสู่ภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มีตำนานเล่าขานกันว่าบนยอดเขาสูงนี้มีอาจารย์เฒ่าผู้ทรงปัญญาที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบและโชคชะตา หลงเซิงและหวางหลงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขานั้น ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาการเดินทางสู่ยอดเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชันทำให้พวกเขาต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการปีนป่าย หมอกที่หนาทึบปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทุกก้าวที่พวกเขาเดินขึ้นไปดูเหมือนจะยิ่งทำให้หมอกหนาแน่นขึ้นหลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาไม่ย่อท้อ พวกเขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยเชื่อว่าการเดินทางนี้จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง
หลังจากที่หลงเซิงและหวางหลงออกจากกระท่อมของอาจารย์เฒ่า พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ทิศตะวันตก เส้นทางนี้นำพวกเขาไปยังภูมิประเทศที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่สูงชัน ทะเลทรายที่แห้งแล้ง และป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยเงามืด ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและชะตากรรมของพวกเขาในวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่กลางท้องฟ้า หลงเซิงและหวางหลงพบว่าตนเองเดินอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทรายร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป โดยเชื่อว่าปลายทางจะนำพวกเขาไปสู่คำตอบที่พวกเขาต้องการในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในทะเลทราย หลงเซิงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยชัดเจนกลับเริ่มมืดมัว ความมั่นใจที่เคยมีมากกลับเริ่มสั่นคลอน"ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังควบคุมจิตใจของข้า" หลงเซิงพูดพลางมองไปรอบๆ ทะเลทรายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดหวางหลงหยุดเดินและหันมามองหลงเซิงด้วยความกังวล "เจ้าเป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิ