หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มคนลึกลับที่มุ่งทำลายหมู่บ้าน หลงเซิงและหวางหลงก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในฐานะผู้ปกป้องหมู่บ้าน แม้จะผ่านการเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัว แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักฟื้นและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้ หลงเซิงและหวางหลงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป พวกเขาได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้มีวิหารโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ที่นั่นอาจมีคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขากำลังค้นหา
เส้นทางที่นำไปสู่วิหารโบราณเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ป่าลึกที่พวกเขาต้องข้ามผ่านเต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบและสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลงเซิงและหวางหลงต้องใช้ทักษะการต่อสู้และความชำนาญในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ทว่าทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ แม้ว่าป่าจะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในวิหารโบราณก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก หลงเซิงรู้สึกได้ว่าคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อม
การเดินทางในป่าลึกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดทางพวกเขาต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ตั้งแต่การข้ามแม่น้ำที่เชี่ยวกราก การปีนเขาสูงชัน ไปจนถึงการหลีกเลี่ยงสัตว์ร้ายที่ดักซุ่มอยู่ในเงามืด แต่ด้วยความร่วมมือกันและทักษะที่พวกเขาได้พัฒนามาจากการฝึกฝน พวกเขาก็สามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ทีละขั้น
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงหน้าวิหารโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าลึก วิหารแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และพืชพรรณที่เจริญเติบโตอย่างหนาทึบ แต่ถึงแม้จะผ่านการเวลามานานหลายศตวรรษ โครงสร้างของวิหารก็ยังคงสง่างามและเต็มไปด้วยพลังที่ลึกลับ
วิหารถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาที่มีลวดลายสลักซับซ้อนประดับประดา ลวดลายเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นอักขระโบราณที่ไม่คุ้นตา หลงเซิงรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากวิหาร มันเป็นพลังที่ลึกลับและทรงพลังอย่างยิ่ง
“ที่นี่คือที่ที่เราตามหา” หลงเซิงกล่าวพลางมองไปรอบๆ “ข้ารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในวิหารนี้”
หวางหลงพยักหน้า “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น วิหารนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาเราไปสู่ความจริง แต่เราต้องระวังตัว วิหารโบราณเช่นนี้อาจเต็มไปด้วยกับดักและอันตรายที่ซ่อนอยู่”
หลงเซิงเห็นด้วยและทั้งสองก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจวิหาร พวกเขาเดินเข้าไปในวิหารอย่างระมัดระวัง ในขณะที่พวกเขาก้าวผ่านประตูใหญ่ที่ทำจากหินแข็ง ภายในวิหารนั้นเงียบสงัดและมืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากรอยแยกของหินที่ส่องลงมาให้พอเห็นทาง
ภายในวิหารนั้นกว้างขวางและเต็มไปด้วยเสาหินที่ตั้งเรียงราย เสาแต่ละต้นถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนและสวยงาม บนผนังวิหารมีภาพวาดและอักขระโบราณที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์และตำนานของสถานที่แห่งนี้ หลงเซิงรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เห็น และเขารู้สึกได้ว่าที่นี่มีความสำคัญมากกว่าที่เขาคิด
ในขณะที่พวกเขาสำรวจภายในวิหาร หลงเซิงสังเกตเห็นบางอย่างที่น่าสนใจ เขาพบทางเดินแคบๆ ที่นำไปสู่ห้องหนึ่งที่ดูเหมือนจะถูกซ่อนอยู่ภายในกำแพงหิน ห้องนั้นถูกปิดกั้นด้วยประตูหินขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีอักขระโบราณประทับอยู่
“ข้ารู้สึกว่าห้องนี้อาจมีบางสิ่งที่สำคัญ” หลงเซิงกล่าวพลางสำรวจอักขระบนประตู “แต่มันถูกปิดแน่น และข้าไม่แน่ใจว่าจะเปิดมันได้อย่างไร”
หวางหลงเดินเข้ามาดูและพิจารณาอักขระบนประตู “อักขระเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมโบราณ ข้าคิดว่ามันต้องการพลังบางอย่างในการเปิด”
หลังจากพิจารณาอยู่สักพัก หลงเซิงตัดสินใจที่จะใช้ดาบแห่งวิญญาณสลาย เขาชักดาบออกจากฝักและวางปลายดาบลงบนอักขระที่ประทับอยู่บนประตู ทันใดนั้นเอง ประตูหินก็เริ่มสั่นสะเทือนและอักขระบนประตูเริ่มเรืองแสงขึ้นมา
แสงสว่างแผ่กระจายไปทั่วห้องและประตูหินเริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงหินเสียดสีกันดังไปทั่ววิหาร และเมื่อประตูเปิดออกจนสุด หลงเซิงและหวางหลงก็เห็นห้องขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายใน
ภายในห้องนั้นเต็มไปด้วยสมบัติและวัตถุโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี มีอาวุธโบราณ เครื่องราง และหนังสือเก่าแก่ที่ถูกจัดเรียงไว้ในชั้นหนังสือ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหลงเซิงคือแท่นบูชาที่ตั้งอยู่กลางห้อง
บนแท่นบูชานั้นมีวัตถุที่ดูเหมือนจะเป็นลูกแก้วสีดำมันวาว ลูกแก้วนั้นดูเหมือนจะมีชีวิต เพราะมันเปล่งแสงสลัวๆ ออกมา และพลังที่แผ่ออกมาจากลูกแก้วนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกได้ถึงความมืดมิดที่ลึกลับ
“นั่นคืออะไร?” หวางหลงถามพลางมองลูกแก้วด้วยความสงสัย
“ข้าไม่แน่ใจ แต่มันต้องมีความสำคัญบางอย่างแน่นอน” หลงเซิงตอบขณะเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชา “พลังที่มันแผ่ออกมาไม่ใช่พลังธรรมดา มันเต็มไปด้วยความมืดมิดและลึกลับ”
เมื่อหลงเซิงเข้าใกล้ลูกแก้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านเข้ามาในตัวเขา มันเป็นความรู้สึกที่เยือกเย็นและน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นพลังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขายื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสลูกแก้ว แต่ทันใดนั้นเอง ลูกแก้วก็เริ่มเปล่งแสงสว่างวาบ และภาพในหัวของหลงเซิงก็เปลี่ยนไป
ภาพที่ปรากฏในจิตใจของเขาเป็นภาพของการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างกองทัพแห่งแสงสว่างและกองทัพแห่งความมืด สงครามที่รุนแรงและทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า หลงเซิงเห็นภาพของนักรบที่ถือดาบแห่งวิญญาณสลายต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลัง และภาพของลูกแก้วสีดำที่ถูกใช้เป็นอาวุธทำลายล้าง
ทันใดนั้นเอง ภาพในหัวของหลงเซิงก็หายไป เขาถอยหลังออกมาจากลูกแก้วด้วยความตกใจ พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากลูกแก้วนั้นทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวและความกังวล
“มันไม่ใช่สิ่งที่เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว” หลงเซิงกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ลูกแก้วนี้มีพลังที่มืดมนและอันตราย มันไม่ควรถูกปลดปล่อยออกมา”
หวางหลงมองลูกแก้วด้วยความกังวล “ถ้าเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรกับมัน?”
“ข้าคิดว่าเราควรจะหาทางผนึกพลังของมันไว้ในวิหารนี้” หลงเซิงตอบ “มันจะไม่ถูกปลดปล่อยและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อโลกอีก”
ทั้งสองคนเริ่มสำรวจห้องเพื่อหาทางที่จะผนึกพลังของลูกแก้วไว้ พวกเขาพบว่าบนผนังห้องมีอักขระโบราณที่บ่งบอกถึงวิธีการผนึกพลังโบราณ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะใช้ความรู้และพลังที่พวกเขามีในการผนึกพลังของลูกแก้วสีดำ
การผนึกพลังนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องการความระมัดระวัง พวกเขาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในอักขระโบราณอย่างเคร่งครัด หลงเซิงใช้ดาบแห่งวิญญาณสลายในการเรียกพลังบริสุทธิ์เพื่อผนึกพลังของลูกแก้ว ขณะที่หวางหลงใช้พลังของตนเองในการเสริมสร้างอักขระที่ผนึกไว้บนผนังห้อง
กระบวนการผนึกพลังดำเนินไปอย่างช้าๆ แสงจากลูกแก้วสีดำค่อยๆ จางลง และพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากลูกแก้วก็เริ่มอ่อนแอลง แต่ในขณะเดียวกัน แสงสว่างจากดาบแห่งวิญญาณสลายก็เริ่มเปล่งประกายมากขึ้น
หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง พวกเขาก็สามารถผนึกพลังของลูกแก้วสีดำไว้ในห้องได้สำเร็จ ลูกแก้วถูกปิดผนึกอยู่ภายในแท่นบูชา และพลังที่เคยแผ่ซ่านออกมาจากมันก็ถูกกักเก็บไว้อย่างแน่นหนา
หลงเซิงและหวางหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้สึกได้ว่าภารกิจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญและอันตราย แต่พวกเขาก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ด้วยความร่วมมือและความมุ่งมั่น
หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย พวกเขาตัดสินใจที่จะออกจากวิหารโบราณและเดินทางต่อไป แต่ก่อนที่จะออกจากวิหาร หลงเซิงหันกลับมามองวิหารอีกครั้ง เขารู้สึกได้ว่าพลังที่ซ่อนอยู่ในวิหารนี้ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่ถูกเปิดเผยทั้งหมด
“ข้ารู้สึกว่ายังมีบางสิ่งที่เรายังไม่ค้นพบในวิหารนี้” หลงเซิงกล่าวพลางมองไปที่วิหาร “แต่เราคงต้องปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น ข้าไม่อยากเสี่ยงที่จะปลดปล่อยพลังที่เราไม่เข้าใจออกมา”
หวางหลงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น เราได้ทำสิ่งที่เราต้องทำแล้ว และเราควรเดินหน้าต่อไป”
ทั้งสองคนเดินออกจากวิหารโบราณและมุ่งหน้าต่อไปในป่าลึก เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความท้าทายและอันตรายที่รอคอยพวกเขาอยู่ แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเอง
การเดินทางของพวกเขายังอีกยาวไกล และพวกเขารู้ว่าการค้นหาความจริงและการปกป้องโลกนี้จากภัยอันตรายจะเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่ง
หลังจากการผจญภัยในวิหารโบราณที่ทำให้หลงเซิงและหวางหลงได้ค้นพบพลังที่แฝงอยู่ในลูกแก้วสีดำ พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป แม้ว่าจะรู้สึกโล่งใจที่สามารถผนึกพลังอันตรายไว้ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความลับและอุปสรรคอีกมากมายเส้นทางที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้นำไปสู่ภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มีตำนานเล่าขานกันว่าบนยอดเขาสูงนี้มีอาจารย์เฒ่าผู้ทรงปัญญาที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบและโชคชะตา หลงเซิงและหวางหลงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขานั้น ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาการเดินทางสู่ยอดเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชันทำให้พวกเขาต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการปีนป่าย หมอกที่หนาทึบปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทุกก้าวที่พวกเขาเดินขึ้นไปดูเหมือนจะยิ่งทำให้หมอกหนาแน่นขึ้นหลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาไม่ย่อท้อ พวกเขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยเชื่อว่าการเดินทางนี้จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง
หลังจากที่หลงเซิงและหวางหลงออกจากกระท่อมของอาจารย์เฒ่า พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ทิศตะวันตก เส้นทางนี้นำพวกเขาไปยังภูมิประเทศที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่สูงชัน ทะเลทรายที่แห้งแล้ง และป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยเงามืด ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและชะตากรรมของพวกเขาในวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่กลางท้องฟ้า หลงเซิงและหวางหลงพบว่าตนเองเดินอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทรายร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป โดยเชื่อว่าปลายทางจะนำพวกเขาไปสู่คำตอบที่พวกเขาต้องการในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในทะเลทราย หลงเซิงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยชัดเจนกลับเริ่มมืดมัว ความมั่นใจที่เคยมีมากกลับเริ่มสั่นคลอน"ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังควบคุมจิตใจของข้า" หลงเซิงพูดพลางมองไปรอบๆ ทะเลทรายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดหวางหลงหยุดเดินและหันมามองหลงเซิงด้วยความกังวล "เจ้าเป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิ
รุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มปรากฏบนขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์แทรกผ่านเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ส่องแสงลงมาบนค่ายพักของหลงเซิงและหวางหลง เสียงนกร้องในยามเช้าสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความท้าทายหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ทรงพลังที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ และใช้พลังนั้นในการปกครองขุนเขาเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทาย ทิวเขาที่สูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่ากลัว แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อในระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบกับการทดสอบต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะการต่อสู้และความฉลาดในการแก้ปัญหา เช่น การข้ามผ่านสะพานน้ำแข็งที่แคบและลื่นไหล การเผชิญหน้ากับสัตว์ร
หมู่บ้านหย่งเฉิงตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าที่ซึ่งผืนดินถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ สายน้ำใสสะอาดไหลรินผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงน้ำไหลเบาๆ เป็นเสมือนเสียงดนตรีที่คอยกล่อมชาวบ้านให้รู้สึกสงบใจ ภูมิทัศน์รอบๆ หมู่บ้านเต็มไปด้วยทิวเขาและต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากลมพายุและภัยธรรมชาติ แม้จะห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมู่บ้านนี้กลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขมานานหลายศตวรรษทว่าในความสงบสุขนั้น กลับมีความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นมานาน ความลับที่ไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ และความลับนี้กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงหลงเซิง เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านหย่งเฉิง เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหายสาบสูญไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่งที่หมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลงเซิงจึงถูกชาวบ้านเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนเป็นลูกหลานของตัวเองหลงเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเมตตา เขามักจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าว หรือการดูแลสัตว์ในฟาร์ม เขาเป็นที่รักใคร่ของ
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเหนือขอบฟ้า หลงเซิงยังคงเดินทางผ่านป่าและภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านหย่งเฉิง ดาบแห่งวิญญาณสลายซึ่งเขาเพิ่งค้นพบได้ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนาในฝักดาบที่สะพายอยู่บนหลัง มันเป็นดาบที่เปล่งพลังเยือกเย็นออกมาแม้จะอยู่ในฝัก และพลังนั้นกลับทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อนเส้นทางที่เขาเลือกเดินพาเขาลึกเข้าไปในป่าที่ปกคลุมด้วยเงามืด แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องลงมาผ่านทิวไม้ แต่ป่ากลับเงียบงันราวกับซ่อนเร้นความลับบางอย่าง เสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ในป่าดูเหมือนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของหลงเซิงที่ก้องกังวานไปทั่วความเงียบสงัดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกไม่สบายใจ ความเงียบที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย มันเหมือนกับว่าเงามืดในป่ากำลังจับตามองเขาอยู่ แต่ไม่แสดงตัวออกมาเมื่อเวลาเริ่มล่วงเข้าสู่บ่าย หลงเซิงเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นไปตามเนินเขา ที่นั่นเขาได้ยินเสียงที่แว่วมาเบาๆ มันเป็นเสียงของการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลงเซิงหยุดนิ่งแ