หมู่บ้านหย่งเฉิงตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าที่ซึ่งผืนดินถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ สายน้ำใสสะอาดไหลรินผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงน้ำไหลเบาๆ เป็นเสมือนเสียงดนตรีที่คอยกล่อมชาวบ้านให้รู้สึกสงบใจ ภูมิทัศน์รอบๆ หมู่บ้านเต็มไปด้วยทิวเขาและต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากลมพายุและภัยธรรมชาติ แม้จะห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมู่บ้านนี้กลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขมานานหลายศตวรรษ
ทว่าในความสงบสุขนั้น กลับมีความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นมานาน ความลับที่ไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ และความลับนี้กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง
หลงเซิง เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านหย่งเฉิง เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหายสาบสูญไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่งที่หมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลงเซิงจึงถูกชาวบ้านเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนเป็นลูกหลานของตัวเอง
หลงเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเมตตา เขามักจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าว หรือการดูแลสัตว์ในฟาร์ม เขาเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านทุกคน แต่ในใจของหลงเซิง เขารู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม แต่ลึกๆ แล้ว เขารู้ว่าตนเองมีบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ซึ่งรอคอยเวลาที่จะถูกปลดปล่อยออกมา
ทุกเช้า หลงเซิงจะตื่นแต่เช้าตรู่ ออกไปยังทุ่งนาเพื่อช่วยชาวบ้านเก็บเกี่ยวข้าว แม้ว่างานจะหนัก แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงานกับชาวบ้านคนอื่นๆ เสียงหัวเราะและการสนทนาระหว่างการทำงานเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
แต่ในบางครั้ง เมื่อเขาอยู่คนเดียวในทุ่งนา เขาจะหยุดทำงานและมองออกไปยังทิวเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้าน เขารู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งกับธรรมชาติรอบๆ ตัวเขา และรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่เรียกร้องให้เขาออกไปค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นมาแสงแรก ทอประกายลงบนผืนดิน หลงเซิงกำลังเดินผ่านทุ่งข้าวสาลีที่แผ่กว้างไปจนสุดสายตา อากาศยามเช้าสดชื่นและบริสุทธิ์ กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่ลอยมาตามลมทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย แต่ทันใดนั้น เขากลับรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ
ลมที่พัดผ่านทุ่งข้าวสาลีเริ่มเปลี่ยนทิศทาง กลับกลายเป็นลมที่เย็นเยือกจนเขารู้สึกสั่นสะท้าน ภายในอกของเขา รู้สึกถึงพลังงานแปลกประหลาดที่กำลังตื่นตัว หลงเซิงหยุดเดินและหันมองไปรอบๆ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มเหมือนจะมีพายุเข้า เขาเห็นเงาของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านทุ่งนาไป แต่เมื่อเพ่งมองชัดๆ กลับไม่เห็นสิ่งใดเลย
"มีใครอยู่ที่นั่น?" หลงเซิงเรียกออกไป เสียงของเขาดังก้องไปทั่วท้องนา แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านใบข้าวสาลีที่ลู่ตามแรงลม หลงเซิงรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่เขาพยายามไม่คิดมากนัก เขาเดินต่อไปยังท้ายทุ่งที่เป็นเนินเขาสูง ที่นั่นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่เขาชอบมานั่งพักผ่อนใต้ร่มเงาของมัน
ต้นไม้นี้เป็นเหมือนเพื่อนเก่าของเขา ตั้งแต่เด็กหลงเซิงมักจะมานั่งที่นี่เวลาที่เขาต้องการความสงบ มันเป็นสถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย แต่วันนี้มันกลับรู้สึกต่างออกไป ความเงียบที่ผิดปกติของทุ่งนาและความรู้สึกไม่มั่นคงในใจทำให้เขารู้สึกกังวล
เมื่อมาถึงต้นไม้ใหญ่ หลงเซิงนั่งลงใต้ร่มเงาของมัน และหลับตาเพื่อปล่อยใจให้สงบ แต่ทันใดนั้น เขากลับรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านเข้ามาทั่วร่างกาย ความเย็นนั้นไม่ได้มาจากอากาศ แต่เป็นความรู้สึกที่มาจากภายใน มันเป็นความเย็นที่ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก
หลงเซิงลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน และภาพที่ปรากฏต่อหน้าเขาคือชายชราผู้หนึ่งในชุดคลุมสีเทาหม่นที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ชายชราคนนั้นดูเหมือนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมแต่แฝงไปด้วยความลึกลับ สายตาของเขาลึกซึ้งจนหลงเซิงรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุถึงจิตวิญญาณ
“เจ้า...เจ้าเป็นใคร?” หลงเซิงถามด้วยเสียงสั่นเครือ แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความกลัวออกมา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนมันได้
ชายชราไม่ได้ตอบในทันที เขามองหลงเซิงด้วยสายตาที่เหมือนจะเห็นบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงต่ำๆ แต่ก้องไปทั่วท้องฟ้า “เจ้า...คือผู้สืบทอดแห่งวิญญาณสลาย”
หลงเซิงขมวดคิ้วด้วยความสับสน “วิญญาณสลาย? ท่านพูดเรื่องอะไรกัน?”
ชายชราเพียงแค่ยิ้มออกมา แต่เป็นยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้าและหนักแน่น “เจ้าอาจไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่เวลาของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวเจ้าจะถูกปลดปล่อย และนั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
คำพูดของชายชราเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจของหลงเซิง มันเป็นคำพูดที่ไม่เพียงทำให้เขาสับสน แต่ยังทำให้เขารู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับอยู่บนบ่า ก่อนที่เขาจะทันได้ถามอะไรเพิ่มเติม ชายชราก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้หลงเซิงยืนอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบที่น่าขนลุก
หลงเซิงรู้สึกถึงความไม่มั่นคงและความกลัวที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่จิตใจ เขาพยายามเรียกความสงบสติกลับมา แต่ในใจลึกๆ เขารู้ดีว่าชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ชายชราพูดถึง มันคงจะเกี่ยวข้องกับความลับที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อความมืดเริ่มเข้าปกคลุมท้องฟ้าเร็วกว่าปกติ หลงเซิงตัดสินใจที่จะกลับไปที่หมู่บ้านทันที เขารีบก้าวเดินผ่านทุ่งนาอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความรู้สึกไม่สบายใจในอกเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
เมื่อมาถึงหมู่บ้าน หลงเซิงพบว่าบรรยากาศในหมู่บ้านเงียบสงัดมากกว่าปกติ แม้ว่าจะเป็นเวลาที่ชาวบ้านมักจะกลับจากการทำงานและมารวมตัวกันที่ลานกลางหมู่บ้านเพื่อพูดคุยกัน แต่วันนี้ทุกอย่างกลับเงียบงันเหมือนว่ามีบางสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
หลงเซิงเดินเข้าไปในลานกลางหมู่บ้าน ที่ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังรวมตัวกันอยู่ หลายคนมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว บางคนกระซิบกระซาบกันขณะที่เขาเดินผ่าน
“เกิดอะไรขึ้น?” หลงเซิงถามนายช่างหลี่ ชายชราผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและเป็นผู้ที่เขาเคารพนับถือมากที่สุด
นายช่างหลี่ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “มีกลุ่มคนแปลกหน้ามาที่หมู่บ้าน พวกเขาถามหาผู้ที่มีพลังวิเศษ พวกเราบอกพวกเขาไปว่าเราไม่รู้เรื่องอะไร แต่ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเชื่อเรา”
หลงเซิงรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่เพิ่มขึ้น “พวกเขาเป็นใคร? และทำไมพวกเขาถึงมาหาผู้ที่มีพลังวิเศษที่นี่?”
นายช่างหลี่ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าพวกเขาไม่ได้มาอย่างมีไมตรี ข้าต้องการให้เจ้าระวังตัวให้มากขึ้น”
หลงเซิงพยักหน้าและเดินกลับบ้านด้วยความกังวล เขารู้ดีว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้น และมันอาจเกี่ยวข้องกับคำพูดของชายชราลึกลับที่เขาพบในตอนเช้า
คืนนั้น หลงเซิงนอนอยู่บนเตียงในบ้านหลังเล็กๆ ของเขา แต่เขาไม่สามารถข่มตาหลับได้ ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เขารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง และเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้
เสียงของลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้หลงเซิงลุกขึ้นจากเตียง เขาเดินออกไปที่ลานหน้าบ้านและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขารู้สึกได้ถึงความเงียบสงบที่แปลกประหลาด แต่มันก็เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ข้าจะทำอย่างไรต่อไป?” หลงเซิงพึมพำกับตัวเอง เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ได้ แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะพร้อมเผชิญหน้ากับมันหรือไม่
วันรุ่งขึ้น หลงเซิงตัดสินใจที่จะออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ หมู่บ้าน เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่เขาต้องค้นหา และมันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความลับที่เกี่ยวข้องกับเขาและพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา
ขณะที่เขาเดินลึกเข้าไปในป่า เขาก็พบกับสถานที่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นทุ่งหินกว้างใหญ่ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ หินทุกก้อนดูเหมือนจะมีรอยสลักโบราณที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน
หลงเซิงเดินเข้าไปในทุ่งหินนั้น และรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากหินเหล่านั้น มันเป็นพลังที่หนักแน่นและลึกลับ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นพลังที่เชิญชวนให้เขาเข้าไปใกล้
เมื่อเขาเดินไปยังกลางทุ่งหิน เขาพบกับหินก้อนใหญ่ที่มีรอยสลักซึ่งดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง สัญลักษณ์นั้นเป็นรูปของดาบที่ล้อมรอบด้วยลายเส้นที่ดูซับซ้อน หลงเซิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับหินก้อนนี้ และเขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม
ขณะที่เขาสัมผัสกับหินก้อนนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของเขา มันเป็นความรู้สึกที่เยือกเย็นและหนักแน่น เหมือนกับว่าหินก้อนนี้กำลังส่งพลังบางอย่างเข้ามาในตัวเขา
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นภาพในจิตใจของเขา มันเป็นภาพของการต่อสู้ที่ดุเดือด ภาพของดาบที่ฟาดฟันไปยังศัตรูที่มืดมิด มันเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกถึงพลังและความมุ่งมั่น
หลงเซิงสะดุ้งตื่นจากภาพนั้น และพบว่าตัวเองยังคงยืนอยู่หน้าหินก้อนนั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านอยู่ในตัวเขา มันเป็นพลังที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันคือสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุม
“นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการค้นหา” หลงเซิงพึมพำกับตัวเอง เขารู้ว่าเขาได้พบกับบางสิ่งที่สำคัญ และมันอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความลับที่เกี่ยวข้องกับเขาและชะตากรรมของเขา
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน หลงเซิงตัดสินใจที่จะไปหานายช่างหลี่เพื่อขอคำแนะนำ เขารู้ว่านายช่างหลี่เป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในหมู่บ้าน และอาจจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาพบ
“นายช่างหลี่ ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน” หลงเซิงกล่าวขณะที่เขานั่งลงข้างๆ นายช่างหลี่ที่กำลังนั่งอยู่ที่ลานบ้านของเขา
นายช่างหลี่หันมามองหลงเซิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ “เจ้าเจออะไรมา?”
หลงเซิงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทุ่งหินและภาพที่เขาเห็นในจิตใจ นายช่างหลี่ฟังอย่างตั้งใจและพยักหน้า “ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่นั้น มันเป็นสถานที่ที่มีพลังลึกลับที่ซ่อนอยู่ในหิน มันถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่มีพลังอำนาจสูงสุดในยุคโบราณ และมันถูกใช้เป็นที่ซ่อนเร้นดาบแห่งวิญญาณสลาย”
“ดาบแห่งวิญญาณสลาย?” หลงเซิงถามด้วยความสงสัย
“ใช่” นายช่างหลี่ตอบ “มันเป็นดาบที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องโลกจากความมืดมิด และมันมีพลังที่สามารถทำลายล้างหรือปกป้องได้ ขึ้นอยู่กับผู้ที่ครอบครองมัน”
หลงเซิงรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจของเขา “และท่านคิดว่าข้าเกี่ยวข้องกับดาบนี้หรือไม่?”
นายช่างหลี่มองหลงเซิงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง “ข้าไม่สามารถบอกได้แน่ชัด แต่ข้ารู้ว่าเจ้ามีบางสิ่งที่ไม่ธรรมดาในตัวเจ้า เจ้าอาจจะเป็นผู้ที่ดาบนี้เลือก”
หลงเซิงรู้สึกถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้น “แต่ข้ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะควบคุมพลังนี้ได้หรือไม่”
นายช่างหลี่ยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องกลัว ทุกสิ่งมีเวลาของมัน เจ้าเพียงต้องเชื่อมั่นในตัวเอง และเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังนี้ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า และช่วยเจ้าในทุกวิถีทางที่ข้าสามารถทำได้”
ในวันถัดมา หลงเซิงตัดสินใจที่จะกลับไปที่ทุ่งหินอีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งใจที่จะสำรวจหินก้อนใหญ่นั้นให้ละเอียดมากขึ้น และพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับดาบแห่งวิญญาณสลายที่นายช่างหลี่กล่าวถึง
เมื่อเขามาถึงทุ่งหิน เขาก็พบว่าหินก้อนใหญ่นั้นมีรอยแตกเล็กๆ ที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน รอยแตกนั้นดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่จะนำเขาไปสู่บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในหิน
หลงเซิงตัดสินใจที่จะสำรวจช่องทางนั้น เขาค่อยๆ แทรกตัวเข้าไปในรอยแตก และพบว่าภายในหินนั้นเป็นโพรงที่ลึกและมืดมิด มันเป็นโพรงที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นโดยมือมนุษย์ และภายในโพรงนั้น เขาเห็นแสงสลัวๆ ที่ส่องมาจากวัตถุหนึ่ง
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เขาพบว่าวัตถุที่ส่องแสงนั้นคือดาบเล่มหนึ่ง ดาบที่ดูเก่าแก่และทรงพลัง ดาบที่มีใบมีดที่เปล่งประกายด้วยแสงสีฟ้าเยือกเย็น มันเป็นดาบที่ดูเหมือนจะมีชีวิต และมันคือดาบแห่งวิญญาณสลายที่นายช่างหลี่กล่าวถึง
หลงเซิงยื่นมือออกไปจับดาบเล่มนั้น และทันทีที่เขาสัมผัสกับด้ามดาบ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายของเขา มันเป็นพลังที่เยือกเย็นและหนักแน่น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยที่แปลกประหลาด
ทันใดนั้น ภาพในหัวของเขาก็เปลี่ยนไป เขาเห็นภาพของการต่อสู้ที่ดุเดือด เห็นภาพของชายผู้หนึ่งที่ถือดาบเล่มนี้และต่อสู้กับศัตรูที่มืดมิด มันเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความมืดมน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละ
ภาพนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว และหลงเซิงพบว่าตัวเองยืนอยู่ที่เดิม ดาบเล่มนั้นยังคงอยู่ในมือของเขา และพลังของมันยังคงแผ่ซ่านอยู่ในร่างกายของเขา
เขารู้ดีว่าดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบธรรมดา มันเป็นดาบที่มีพลังอำนาจที่ไม่อาจคาดเดาได้ และมันคือสิ่งที่เขาต้องใช้ในการเผชิญหน้ากับชะตากรรมของเขา
หลงเซิงรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา เขารู้ดีว่าเขาต้องออกเดินทางต่อไป เขาต้องใช้ดาบเล่มนี้เพื่อค้นหาความจริงและเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่าย มันจะเต็มไปด้วยอุปสรรคและภัยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน เพราะเขารู้ดีว่านี่คือเส้นทางเดียวที่จะนำพาเขาไปสู่ความจริงและชะตากรรมที่แท้จริงของเขา
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเหนือขอบฟ้า หลงเซิงยังคงเดินทางผ่านป่าและภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านหย่งเฉิง ดาบแห่งวิญญาณสลายซึ่งเขาเพิ่งค้นพบได้ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนาในฝักดาบที่สะพายอยู่บนหลัง มันเป็นดาบที่เปล่งพลังเยือกเย็นออกมาแม้จะอยู่ในฝัก และพลังนั้นกลับทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อนเส้นทางที่เขาเลือกเดินพาเขาลึกเข้าไปในป่าที่ปกคลุมด้วยเงามืด แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องลงมาผ่านทิวไม้ แต่ป่ากลับเงียบงันราวกับซ่อนเร้นความลับบางอย่าง เสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ในป่าดูเหมือนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของหลงเซิงที่ก้องกังวานไปทั่วความเงียบสงัดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกไม่สบายใจ ความเงียบที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย มันเหมือนกับว่าเงามืดในป่ากำลังจับตามองเขาอยู่ แต่ไม่แสดงตัวออกมาเมื่อเวลาเริ่มล่วงเข้าสู่บ่าย หลงเซิงเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นไปตามเนินเขา ที่นั่นเขาได้ยินเสียงที่แว่วมาเบาๆ มันเป็นเสียงของการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลงเซิงหยุดนิ่งแ
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มคนลึกลับที่มุ่งทำลายหมู่บ้าน หลงเซิงและหวางหลงก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในฐานะผู้ปกป้องหมู่บ้าน แม้จะผ่านการเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัว แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักฟื้นและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้ หลงเซิงและหวางหลงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป พวกเขาได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้มีวิหารโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ที่นั่นอาจมีคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขากำลังค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่วิหารโบราณเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ป่าลึกที่พวกเขาต้องข้ามผ่านเต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบและสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลงเซิงและหวางหลงต้องใช้ทักษะการต่อสู้และความชำนาญในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทว่าทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ แม้ว่าป่าจะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในวิหารโบราณก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก หลงเซิงรู้สึกได้ว่าคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมก
หลังจากการผจญภัยในวิหารโบราณที่ทำให้หลงเซิงและหวางหลงได้ค้นพบพลังที่แฝงอยู่ในลูกแก้วสีดำ พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป แม้ว่าจะรู้สึกโล่งใจที่สามารถผนึกพลังอันตรายไว้ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความลับและอุปสรรคอีกมากมายเส้นทางที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้นำไปสู่ภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มีตำนานเล่าขานกันว่าบนยอดเขาสูงนี้มีอาจารย์เฒ่าผู้ทรงปัญญาที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบและโชคชะตา หลงเซิงและหวางหลงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขานั้น ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาการเดินทางสู่ยอดเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชันทำให้พวกเขาต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการปีนป่าย หมอกที่หนาทึบปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทุกก้าวที่พวกเขาเดินขึ้นไปดูเหมือนจะยิ่งทำให้หมอกหนาแน่นขึ้นหลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาไม่ย่อท้อ พวกเขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยเชื่อว่าการเดินทางนี้จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง
หลังจากที่หลงเซิงและหวางหลงออกจากกระท่อมของอาจารย์เฒ่า พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ทิศตะวันตก เส้นทางนี้นำพวกเขาไปยังภูมิประเทศที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่สูงชัน ทะเลทรายที่แห้งแล้ง และป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยเงามืด ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและชะตากรรมของพวกเขาในวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่กลางท้องฟ้า หลงเซิงและหวางหลงพบว่าตนเองเดินอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทรายร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป โดยเชื่อว่าปลายทางจะนำพวกเขาไปสู่คำตอบที่พวกเขาต้องการในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในทะเลทราย หลงเซิงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยชัดเจนกลับเริ่มมืดมัว ความมั่นใจที่เคยมีมากกลับเริ่มสั่นคลอน"ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังควบคุมจิตใจของข้า" หลงเซิงพูดพลางมองไปรอบๆ ทะเลทรายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดหวางหลงหยุดเดินและหันมามองหลงเซิงด้วยความกังวล "เจ้าเป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิ
รุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มปรากฏบนขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์แทรกผ่านเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ส่องแสงลงมาบนค่ายพักของหลงเซิงและหวางหลง เสียงนกร้องในยามเช้าสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความท้าทายหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ทรงพลังที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ และใช้พลังนั้นในการปกครองขุนเขาเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทาย ทิวเขาที่สูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่ากลัว แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อในระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบกับการทดสอบต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะการต่อสู้และความฉลาดในการแก้ปัญหา เช่น การข้ามผ่านสะพานน้ำแข็งที่แคบและลื่นไหล การเผชิญหน้ากับสัตว์ร
รุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มปรากฏบนขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์แทรกผ่านเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ส่องแสงลงมาบนค่ายพักของหลงเซิงและหวางหลง เสียงนกร้องในยามเช้าสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความท้าทายหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ทรงพลังที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ และใช้พลังนั้นในการปกครองขุนเขาเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทาย ทิวเขาที่สูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่ากลัว แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อในระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบกับการทดสอบต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะการต่อสู้และความฉลาดในการแก้ปัญหา เช่น การข้ามผ่านสะพานน้ำแข็งที่แคบและลื่นไหล การเผชิญหน้ากับสัตว์ร
หลังจากที่หลงเซิงและหวางหลงออกจากกระท่อมของอาจารย์เฒ่า พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ทิศตะวันตก เส้นทางนี้นำพวกเขาไปยังภูมิประเทศที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่สูงชัน ทะเลทรายที่แห้งแล้ง และป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยเงามืด ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและชะตากรรมของพวกเขาในวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่กลางท้องฟ้า หลงเซิงและหวางหลงพบว่าตนเองเดินอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทรายร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป โดยเชื่อว่าปลายทางจะนำพวกเขาไปสู่คำตอบที่พวกเขาต้องการในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในทะเลทราย หลงเซิงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยชัดเจนกลับเริ่มมืดมัว ความมั่นใจที่เคยมีมากกลับเริ่มสั่นคลอน"ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังควบคุมจิตใจของข้า" หลงเซิงพูดพลางมองไปรอบๆ ทะเลทรายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดหวางหลงหยุดเดินและหันมามองหลงเซิงด้วยความกังวล "เจ้าเป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิ
หลังจากการผจญภัยในวิหารโบราณที่ทำให้หลงเซิงและหวางหลงได้ค้นพบพลังที่แฝงอยู่ในลูกแก้วสีดำ พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป แม้ว่าจะรู้สึกโล่งใจที่สามารถผนึกพลังอันตรายไว้ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความลับและอุปสรรคอีกมากมายเส้นทางที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้นำไปสู่ภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มีตำนานเล่าขานกันว่าบนยอดเขาสูงนี้มีอาจารย์เฒ่าผู้ทรงปัญญาที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบและโชคชะตา หลงเซิงและหวางหลงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขานั้น ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาการเดินทางสู่ยอดเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชันทำให้พวกเขาต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการปีนป่าย หมอกที่หนาทึบปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทุกก้าวที่พวกเขาเดินขึ้นไปดูเหมือนจะยิ่งทำให้หมอกหนาแน่นขึ้นหลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาไม่ย่อท้อ พวกเขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยเชื่อว่าการเดินทางนี้จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มคนลึกลับที่มุ่งทำลายหมู่บ้าน หลงเซิงและหวางหลงก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในฐานะผู้ปกป้องหมู่บ้าน แม้จะผ่านการเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัว แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักฟื้นและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้ หลงเซิงและหวางหลงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป พวกเขาได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้มีวิหารโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ที่นั่นอาจมีคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขากำลังค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่วิหารโบราณเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ป่าลึกที่พวกเขาต้องข้ามผ่านเต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบและสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลงเซิงและหวางหลงต้องใช้ทักษะการต่อสู้และความชำนาญในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทว่าทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ แม้ว่าป่าจะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในวิหารโบราณก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก หลงเซิงรู้สึกได้ว่าคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมก
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเหนือขอบฟ้า หลงเซิงยังคงเดินทางผ่านป่าและภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านหย่งเฉิง ดาบแห่งวิญญาณสลายซึ่งเขาเพิ่งค้นพบได้ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนาในฝักดาบที่สะพายอยู่บนหลัง มันเป็นดาบที่เปล่งพลังเยือกเย็นออกมาแม้จะอยู่ในฝัก และพลังนั้นกลับทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อนเส้นทางที่เขาเลือกเดินพาเขาลึกเข้าไปในป่าที่ปกคลุมด้วยเงามืด แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องลงมาผ่านทิวไม้ แต่ป่ากลับเงียบงันราวกับซ่อนเร้นความลับบางอย่าง เสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ในป่าดูเหมือนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของหลงเซิงที่ก้องกังวานไปทั่วความเงียบสงัดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกไม่สบายใจ ความเงียบที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย มันเหมือนกับว่าเงามืดในป่ากำลังจับตามองเขาอยู่ แต่ไม่แสดงตัวออกมาเมื่อเวลาเริ่มล่วงเข้าสู่บ่าย หลงเซิงเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นไปตามเนินเขา ที่นั่นเขาได้ยินเสียงที่แว่วมาเบาๆ มันเป็นเสียงของการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลงเซิงหยุดนิ่งแ
หมู่บ้านหย่งเฉิงตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าที่ซึ่งผืนดินถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ สายน้ำใสสะอาดไหลรินผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงน้ำไหลเบาๆ เป็นเสมือนเสียงดนตรีที่คอยกล่อมชาวบ้านให้รู้สึกสงบใจ ภูมิทัศน์รอบๆ หมู่บ้านเต็มไปด้วยทิวเขาและต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากลมพายุและภัยธรรมชาติ แม้จะห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมู่บ้านนี้กลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขมานานหลายศตวรรษทว่าในความสงบสุขนั้น กลับมีความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นมานาน ความลับที่ไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ และความลับนี้กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงหลงเซิง เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านหย่งเฉิง เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหายสาบสูญไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่งที่หมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลงเซิงจึงถูกชาวบ้านเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนเป็นลูกหลานของตัวเองหลงเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเมตตา เขามักจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าว หรือการดูแลสัตว์ในฟาร์ม เขาเป็นที่รักใคร่ของ