หลังจากที่หลงเซิงและหวางหลงออกจากกระท่อมของอาจารย์เฒ่า พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่ทิศตะวันตก เส้นทางนี้นำพวกเขาไปยังภูมิประเทศที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทิวเขาที่สูงชัน ทะเลทรายที่แห้งแล้ง และป่าทึบที่ปกคลุมไปด้วยเงามืด ทั้งหมดนี้เป็นอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในการเดินทางเพื่อค้นหาความจริงและชะตากรรมของพวกเขา
ในวันหนึ่งที่ดวงอาทิตย์แผดเผาอยู่กลางท้องฟ้า หลงเซิงและหวางหลงพบว่าตนเองเดินอยู่ในทะเลทรายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทรายร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา และความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป โดยเชื่อว่าปลายทางจะนำพวกเขาไปสู่คำตอบที่พวกเขาต้องการ
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ในทะเลทราย หลงเซิงเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยชัดเจนกลับเริ่มมืดมัว ความมั่นใจที่เคยมีมากกลับเริ่มสั่นคลอน
"ข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างกำลังควบคุมจิตใจของข้า" หลงเซิงพูดพลางมองไปรอบๆ ทะเลทรายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
หวางหลงหยุดเดินและหันมามองหลงเซิงด้วยความกังวล "เจ้าเป็นอะไรหรือ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?"
หลงเซิงพยักหน้า "ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มันเหมือนกับว่าความมืดกำลังแทรกซึมเข้ามาในจิตใจของข้า ข้ารู้สึกสับสนและไม่แน่ใจในสิ่งที่ข้าทำอยู่"
หวางหลงมองหลงเซิงด้วยความเห็นใจ "บางทีนี่อาจเป็นกับดักทางจิตใจที่เกิดจากพลังมืด เจ้าอาจกำลังเผชิญหน้ากับความกลัวและความสงสัยที่ซ่อนอยู่ในใจของเจ้าเอง"
หลงเซิงพยักหน้า "ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก แต่ข้าต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะข้ามผ่านความรู้สึกนี้ได้?"
หวางหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "ข้าคิดว่าเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกนั้นโดยตรง เจ้าต้องเผชิญหน้ากับความกลัวและความสงสัยที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเจ้า และเอาชนะมันด้วยความเข้มแข็งของเจ้าเอง"
หลงเซิงฟังคำแนะนำของหวางหลงและรู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่กลับมาอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับปีศาจในใจของเขาเอง หากเขาต้องการที่จะก้าวต่อไปในการเดินทางนี้
เมื่อพวกเขาเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง พวกเขาพบกับโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่นั่นมีต้นไม้สูงและน้ำใสสะอาดที่ผุดขึ้นมาจากแหล่งน้ำใต้ดิน หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะหยุดพักและเติมน้ำให้กับตนเอง
ขณะที่พวกเขานั่งพักอยู่ที่ริมแหล่งน้ำ หลงเซิงก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ปกติอีกครั้ง เขามองไปที่น้ำใสที่สะท้อนภาพของเขาเอง แต่ภาพนั้นกลับเปลี่ยนไปแทนที่จะเป็นภาพที่คุ้นเคย เขากลับเห็นภาพของตนเองในรูปแบบที่มืดมนและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
"ข้านี่หรือ?" หลงเซิงพูดกับตัวเองเบาๆ พลางจ้องมองภาพที่สะท้อนอยู่ในน้ำ
ภาพในน้ำค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นร่างที่เต็มไปด้วยความมืดและความโกรธเกรี้ยว มันยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวขึ้น "เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะความมืดในตัวเจ้าได้หรือ? เจ้าจะทำได้อย่างไรเมื่อเจ้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความมืดนั้น?"
หลงเซิงรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจของเขา แต่เขาก็พยายามรักษาความสงบและตอบกลับด้วยเสียงที่มั่นคง "ข้าไม่ใช่ความมืด ข้าเป็นผู้ที่ต้องปกป้องแสงสว่าง ข้าจะไม่ยอมให้ความมืดมิดครอบงำข้า"
ภาพในน้ำยิ้มเยาะเย้ยอีกครั้ง "แสงสว่างหรือ? เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของแสงสว่าง? บางทีเจ้าก็อาจเป็นเพียงแค่เครื่องมือของความมืดที่แสร้งทำเป็นผู้พิทักษ์แสงสว่างก็ได้"
คำพูดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกถึงความสงสัยและความไม่มั่นใจที่เคยซ่อนอยู่ในจิตใจของเขา ความคิดที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นคลอน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งขึ้นภายในตัวเขา
"ไม่ ข้ารู้ว่าข้าคือใคร ข้าคือผู้ที่ถูกเลือกให้ถือครองดาบแห่งวิญญาณสลาย และข้าจะใช้มันเพื่อปกป้องโลกนี้จากความมืดมิด ข้าจะไม่ยอมแพ้ต่อความมืดในใจของข้าเอง" หลงเซิงกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
ทันใดนั้นเอง ภาพในน้ำก็เริ่มสลายตัวและจางหายไป หลงเซิงรู้สึกถึงความเบาและความสงบที่กลับมาในจิตใจของเขา เขารู้ว่าเขาได้ก้าวผ่านการทดสอบทางจิตใจที่ยากลำบาก แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีอุปสรรคและการทดสอบอีกมากมายที่รอเขาอยู่
หวางหลงที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวหลงเซิงก็เดินเข้ามาใกล้และถามด้วยความห่วงใย "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าได้เผชิญหน้ากับปีศาจในใจของเจ้าหรือ?"
หลงเซิงพยักหน้าและยิ้มให้หวางหลง "ใช่ ข้าได้เผชิญหน้ากับมัน และข้ารู้สึกว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ผ่านมันไป ข้ารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่าย แต่ข้าก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน"
หวางหลงยิ้มกลับและตบไหล่หลงเซิงเบาๆ "ข้าดีใจที่เห็นเจ้าแข็งแกร่งขึ้น เราจะต้องผ่านพ้นทุกอุปสรรคไปด้วยกัน"
หลังจากที่พวกเขาพักผ่อนและเติมพลังกลับมาอีกครั้ง หลงเซิงและหวางหลงก็ออกเดินทางต่อไป พวกเขารู้ว่าทะเลทรายนี้ไม่ใช่แค่สถานที่ทางกายภาพ แต่ยังเป็นสถานที่ที่ทดสอบจิตใจและความมุ่งมั่นของพวกเขา
เมื่อพวกเขาเดินทางผ่านทะเลทรายไปได้สักพัก พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในภูมิประเทศ ทรายที่แห้งแล้งค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่มีหินผาและเนินเขา พืชพรรณเริ่มปรากฏขึ้นมากขึ้น และพวกเขารู้สึกถึงความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น
ในที่สุด พวกเขาก็พบกับเส้นทางที่นำไปสู่หุบเขาลึก ที่นั่นพวกเขาเห็นวัดโบราณที่สร้างอยู่บนหน้าผาสูง วัดนี้ดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยความสงบ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความลึกลับ
หวางหลงมองวัดโบราณและพูดขึ้น "ข้ารู้สึกว่าที่นั่นอาจมีคำตอบที่เรากำลังตามหาอยู่ วัดนี้อาจมีความลับเกี่ยวกับดาบแห่งวิญญาณสลายและชะตากรรมของเรา"
หลงเซิงพยักหน้าเห็นด้วย "ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น พวกเราไปสำรวจกันเถอะ"
พวกเขาเริ่มเดินขึ้นไปยังวัดโบราณบนหน้าผา เส้นทางที่นำไปสู่วัดเต็มไปด้วยบันไดหินที่แกะสลักลงไปในหินผา บันไดนั้นชันและลื่นจากกาลเวลา แต่พวกเขาก็เดินขึ้นไปอย่างระมัดระวัง
เมื่อพวกเขามาถึงยอดหน้าผา พวกเขาพบกับประตูหินขนาดใหญ่ที่เป็นทางเข้าสู่ตัววัด ประตูนั้นถูกประดับด้วยลวดลายสลักที่ซับซ้อนและสวยงาม หลงเซิงรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ภายในวัด และเขารู้ว่าพวกเขากำลังจะได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ยิ่งใหญ่
พวกเขาผลักประตูหินเปิดและเดินเข้าไปในวัด ภายในวัดนั้นกว้างขวางและเต็มไปด้วยแสงสลัวจากคบเพลิงที่ประดับอยู่ตามผนัง ผนังวัดถูกประดับด้วยภาพวาดและอักขระโบราณที่บอกเล่าเรื่องราวและตำนานของสถานที่นี้
ในขณะที่พวกเขาสำรวจวัด พวกเขาพบกับห้องโถงใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางวัด ห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยแท่นบูชาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง บนแท่นบูชามีวัตถุบางอย่างที่เปล่งแสงสีทองออกมา
หลงเซิงและหวางหลงเดินเข้าไปใกล้แท่นบูชา พวกเขาพบว่าบนแท่นนั้นมีแผ่นหินที่ถูกแกะสลักด้วยอักขระโบราณ และวัตถุที่เปล่งแสงสีทองนั้นคือดาบเล่มหนึ่งที่ดูเก่าแก่และทรงพลัง
"นี่คือดาบอะไร?" หวางหลงถามพลางมองดาบด้วยความสงสัย
หลงเซิงพิจารณาดาบและอักขระบนแผ่นหิน เขาพบว่าอักขระเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวของดาบเล่มนี้ มันคือดาบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้กับพลังมืดที่แฝงอยู่ในโลก ดาบนี้ถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณของนักรบผู้กล้าหาญที่สละชีวิตของตนเพื่อปกป้องแสงสว่าง
แต่ในขณะเดียวกัน ดาบนี้ก็ถูกสาปให้กลายเป็นดาบที่ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้า หากมันถูกใช้โดยผู้ที่ถูกครอบงำด้วยความมืด
หลงเซิงรู้สึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างดาบนี้กับดาบแห่งวิญญาณสลาย เขารู้ว่าดาบนี้อาจมีความสำคัญในการต่อสู้กับพลังมืดที่กำลังคุกคามโลก
"ดาบนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับความมืดมิด" หลงเซิงกล่าวพลางมองไปที่หวางหลง "ข้าคิดว่าเราควรนำมันไปด้วย"
หวางหลงพยักหน้าเห็นด้วย "ข้าก็คิดเช่นนั้น ดาบนี้อาจช่วยเราในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กำลังจะมาถึง"
พวกเขาตัดสินใจที่จะนำดาบนี้ไปด้วยในการเดินทางต่อไป หลงเซิงรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งขึ้น
เมื่อพวกเขาออกจากวัดโบราณ พวกเขาก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม และพายุที่ทรงพลังเริ่มก่อตัวขึ้น พวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขายังอีกยาวไกล และอุปสรรคที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ายังมีอีกมากมาย
แต่พวกเขาก็ไม่หวาดกลัว พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะก้าวผ่านทุกอุปสรรค และใช้พลังที่พวกเขามีในการปกป้องโลกจากพลังมืดที่กำลังคุกคาม
ในค่ำคืนนั้น พวกเขาตัดสินใจที่จะตั้งค่ายพักแรมใกล้ๆ กับวัดโบราณ เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับการเดินทางต่อไป
ขณะที่พวกเขานั่งรอบกองไฟ หลงเซิงก็หันมามองหวางหลงและพูดขึ้น "เจ้าคิดว่าเราจะสามารถเอาชนะความมืดมิดที่กำลังคุกคามโลกนี้ได้หรือไม่?"
หวางหลงยิ้มและตอบ "ข้ารู้ว่าเราจะต้องเจอความยากลำบากมากมาย แต่ข้าเชื่อว่าเรามีความแข็งแกร่งและความกล้าหาญที่จะแข็งแกร่งพอ ข้าเชื่อว่าเราจะสามารถปกป้องโลกนี้ได้"
หลงเซิงพยักหน้าและยิ้มกลับ "ข้าก็เชื่อเช่นนั้น เราจะต้องทำทุกอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อปกป้องสิ่งที่เรารัก"
ทั้งสองคนต่างนั่งเงียบฟังเสียงลมที่พัดผ่านป่า และเสียงของพายุที่กำลังก่อตัวอยู่ไกลๆ พวกเขารู้ว่าการเดินทางของพวกเขายังไม่สิ้นสุด และพวกเขายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย
รุ่งอรุณใหม่ที่เริ่มปรากฏบนขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง ลำแสงแรกของดวงอาทิตย์แทรกผ่านเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ส่องแสงลงมาบนค่ายพักของหลงเซิงและหวางหลง เสียงนกร้องในยามเช้าสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่นั่นเป็นเพียงความเงียบสงบชั่วคราว เพราะพวกเขารู้ดีว่าวันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและความท้าทายหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางต่อ หลงเซิงและหวางหลงตัดสินใจที่จะเดินทางไปทางทิศเหนือ ซึ่งตามคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง พื้นที่นี้ถูกปกครองโดยกลุ่มผู้ทรงพลังที่ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ และใช้พลังนั้นในการปกครองขุนเขาเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทาย ทิวเขาที่สูงเสียดฟ้าถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทะเลหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ สร้างบรรยากาศที่ลึกลับและน่ากลัว แต่พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อในระหว่างการเดินทาง พวกเขาพบกับการทดสอบต่างๆ ที่ต้องใช้ทั้งทักษะการต่อสู้และความฉลาดในการแก้ปัญหา เช่น การข้ามผ่านสะพานน้ำแข็งที่แคบและลื่นไหล การเผชิญหน้ากับสัตว์ร
หมู่บ้านหย่งเฉิงตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเสียดฟ้าที่ซึ่งผืนดินถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบเงียบ สายน้ำใสสะอาดไหลรินผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงน้ำไหลเบาๆ เป็นเสมือนเสียงดนตรีที่คอยกล่อมชาวบ้านให้รู้สึกสงบใจ ภูมิทัศน์รอบๆ หมู่บ้านเต็มไปด้วยทิวเขาและต้นไม้สูงใหญ่ที่ปกป้องหมู่บ้านจากลมพายุและภัยธรรมชาติ แม้จะห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หมู่บ้านนี้กลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขมานานหลายศตวรรษทว่าในความสงบสุขนั้น กลับมีความลับบางอย่างที่ซ่อนเร้นมานาน ความลับที่ไม่มีใครในหมู่บ้านล่วงรู้ และความลับนี้กำลังจะถูกเปิดเผย เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงหลงเซิง เด็กหนุ่มวัยสิบหกปี เติบโตขึ้นมาในหมู่บ้านหย่งเฉิง เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อแม่ของเขาหายสาบสูญไปอย่างลึกลับในคืนหนึ่งที่หมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หลงเซิงจึงถูกชาวบ้านเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นเหมือนเป็นลูกหลานของตัวเองหลงเซิงเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดและมีจิตใจเมตตา เขามักจะช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเกี่ยวข้าว หรือการดูแลสัตว์ในฟาร์ม เขาเป็นที่รักใคร่ของ
ในขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงเหนือขอบฟ้า หลงเซิงยังคงเดินทางผ่านป่าและภูเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้านหย่งเฉิง ดาบแห่งวิญญาณสลายซึ่งเขาเพิ่งค้นพบได้ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนาในฝักดาบที่สะพายอยู่บนหลัง มันเป็นดาบที่เปล่งพลังเยือกเย็นออกมาแม้จะอยู่ในฝัก และพลังนั้นกลับทำให้เขารู้สึกถึงความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อนเส้นทางที่เขาเลือกเดินพาเขาลึกเข้าไปในป่าที่ปกคลุมด้วยเงามืด แม้ว่าแสงแดดจะสาดส่องลงมาผ่านทิวไม้ แต่ป่ากลับเงียบงันราวกับซ่อนเร้นความลับบางอย่าง เสียงนกร้องหรือเสียงสัตว์ในป่าดูเหมือนจะหายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าของหลงเซิงที่ก้องกังวานไปทั่วความเงียบสงัดนั้นทำให้หลงเซิงรู้สึกไม่สบายใจ ความเงียบที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาต้องระวังตัวมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขามองไปรอบๆ ก็ไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย มันเหมือนกับว่าเงามืดในป่ากำลังจับตามองเขาอยู่ แต่ไม่แสดงตัวออกมาเมื่อเวลาเริ่มล่วงเข้าสู่บ่าย หลงเซิงเดินผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นไปตามเนินเขา ที่นั่นเขาได้ยินเสียงที่แว่วมาเบาๆ มันเป็นเสียงของการต่อสู้ เสียงโลหะกระทบกัน เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหลงเซิงหยุดนิ่งแ
หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับกลุ่มคนลึกลับที่มุ่งทำลายหมู่บ้าน หลงเซิงและหวางหลงก็ได้รับการยกย่องจากชาวบ้านในฐานะผู้ปกป้องหมู่บ้าน แม้จะผ่านการเผชิญหน้ากับอันตรายที่น่ากลัว แต่พวกเขาทั้งสองกลับรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นและความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากพักฟื้นและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการต่อสู้ หลงเซิงและหวางหลงก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป พวกเขาได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าหมู่บ้านว่าไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้มีวิหารโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก ที่นั่นอาจมีคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขากำลังค้นหาเส้นทางที่นำไปสู่วิหารโบราณเต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทาย ป่าลึกที่พวกเขาต้องข้ามผ่านเต็มไปด้วยพืชพรรณหนาทึบและสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลงเซิงและหวางหลงต้องใช้ทักษะการต่อสู้และความชำนาญในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทว่าทั้งสองก็ไม่ย่อท้อ พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ แม้ว่าป่าจะดูมืดมนและน่ากลัว แต่พลังที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในวิหารโบราณก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก หลงเซิงรู้สึกได้ว่าคำตอบที่เขากำลังตามหาอยู่ใกล้แค่เอื้อมก
หลังจากการผจญภัยในวิหารโบราณที่ทำให้หลงเซิงและหวางหลงได้ค้นพบพลังที่แฝงอยู่ในลูกแก้วสีดำ พวกเขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อไป แม้ว่าจะรู้สึกโล่งใจที่สามารถผนึกพลังอันตรายไว้ได้ แต่พวกเขาก็รู้ว่าหนทางข้างหน้ายังคงเต็มไปด้วยความลับและอุปสรรคอีกมากมายเส้นทางที่พวกเขาเลือกในครั้งนี้นำไปสู่ภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ มีตำนานเล่าขานกันว่าบนยอดเขาสูงนี้มีอาจารย์เฒ่าผู้ทรงปัญญาที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบและโชคชะตา หลงเซิงและหวางหลงจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขานั้น ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาค้นหาการเดินทางสู่ยอดเขานั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก เส้นทางที่คดเคี้ยวและสูงชันทำให้พวกเขาต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจในการปีนป่าย หมอกที่หนาทึบปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้การมองเห็นเป็นไปอย่างยากลำบาก ทุกก้าวที่พวกเขาเดินขึ้นไปดูเหมือนจะยิ่งทำให้หมอกหนาแน่นขึ้นหลงเซิงและหวางหลงต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่พวกเขาไม่ย่อท้อ พวกเขามุ่งหน้าต่อไปด้วยความมุ่งมั่น โดยเชื่อว่าการเดินทางนี้จะนำพวกเขาไปสู่ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในที่สุด หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง