รูปโฉมโดดเด่น กอปรกับท่าทางน่ารักไร้เดียงสา ต่อให้หัวใจเย็นชาปานใด ก็ต้องละลาย
นี่คือคำจำกัดความอันเป็นเอกลักษณ์ของโม๋เอ๋อร์ โดยที่ตัวของนางเองก็หาได้รู้ตัวไม่ มีเพียงผู้อื่นเท่านั้นที่รู้สึกได้
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธว่าโม๋เอ๋อร์เป็นสตรีที่งดงามมาก วงหน้าสะคราญโฉมพิลาศล้ำอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ยังมีนิสัยน่ารัก ปราศจากการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม คิดสิ่งใดก็พูดออกมาตรงๆ
น้ำเสียงยังอ่อนโยนหวานใส ยามออดอ้อนยิ่งเย้ายวนใจ
ดวงตากลมโตดั่งดวงดาราตกกระทบผิวธารายามตะวันแผดแสงจ้า ยิ่งรบกวนห้วงอารมณ์ สร้างความหงุดหงิดมากมายมหาศาลแก่ผู้จ้องมองนางในยามนี้เป็นอย่างมาก
หมิงเฉิงที่เผลอลืมตาขึ้นมองนางถึงกับต้องหรี่ตาลงทันใด รู้สึกแสบตาเล็กน้อยยามพินิจนางอย่างเผลอไผล ในหัวใจคล้ายมีมดไต่ไปมาให้รู้สึกคันยุบยิบบางเบา
ตัวของโม๋เอ๋อร์เองในยามนี้ก็พลั้งเผลอเช่นกัน นางกำลังลืมเสียสิ้นว่าต้องเก็บอาการใดๆ ที่เสียจริตมารยา ลืมกระทั่งว่าต้องทำตัวเจ้าเล่ห์ร่ายเสน่หามนต์มารให้มากเข้าไว้ เพื่อโปรยเสน่ห์ใส่ชายข้างกายผู้เป็นสามี
หญิงสาวในยามนี้คิดถึงแต่บ่อน้ำพุร้อนในห้องนอนของชายหนุ่ม ความอุ่นร้อนของน้ำทั้งบ่อที่แล่นพล่านเข้าผสานกับปราณเย็นในกระแสเลือด ทำให้รู้สึกถึงพลังซ่อนเร้นในร่างกายว่าต้องการปลดปล่อยเพียงใด อิสระแห่งขุมพลังที่ต้องผนึกเก็บกดไว้คล้ายได้รับอิสระในชั่วเวลาหนึ่ง ซึ่งมันรู้สึกดีเหลือเกิน...
เป็นความจริงที่ว่าโม๋เอ๋อร์กักเก็บตัวตนนานจนเกินไป ในบ่อน้ำส่วนตัวของสามี คือสถานที่ซึ่งให้นางได้เปลื้องร่างไร้ซึ่งพันธนาการรัดรึงอย่างแท้จริง เส้นเสียงหวานใจจึงยังคงดังต่อไปและต่อเนื่องโดยไม่สนใจคนฟัง
“นี่ๆ สามี”
“.....”
คนถูกเรียกว่าสามียิ่งนิ่งขรึมพินิจนาง
ฝ่ายภรรยาขยับปลายนิ้วเรียวขาวคล้ายใบหลิวดึงชายเสื้อของเขาเบาๆ แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงฉ่ำหวาน
“ภรรยาอยากแช่น้ำร้อนในห้องสามีจริงๆ นะ สามีให้ทำสิ่งใด ภรรยายอมทั้งนั้น ไม่กินขนมสามวัน กินแต่ข้าวก็ได้”
“...”
นับได้ว่าเป็นเงื่อนไขที่หนักหนาสาหัสมากสำหรับโม๋เอ๋อร์ เพื่อบ่อน้ำพุร้อนแล้ว การมิได้กินขนมช่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่โหดร้ายยิ่ง
ทว่าหมิงเฉิงได้ยินพลันเลิกคิ้วสูง ในใจให้รู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่หาความคุ้มค่าอันใดมิได้เลยของนาง
ประโยคที่บังอาจเรียกขานกันอย่างสนิทสนมว่าสามีกับภรรยานั่นก็ช่างเถิด ชายหนุ่มคร้านจะใส่ใจ หากแต่การแช่บ่อน้ำพุร้อนที่เขาใช้บำบัดห้วงอารมณ์ยามคิดถึงแน่งน้อยในวันวาน แลกกับการที่ไม่ต้องกินขนมของนางคืออันใด?
หมิงเฉิงให้รู้สึกนึกกังขาไม่อาจยอม
สตรีมากมายที่ได้เจอหรือพบเห็นบุรุษน่ากลัวเช่นหมิงเฉิง เจ้าของฉายารัชทายาททมิฬ ล้วนไม่มีใครไม่ยำเกรงต่อเขา
พวกนางมักจะพยายามช้อนตามองเขาอย่างขลาดเขลาเก็บข่มอารมณ์เขินอายสุดชีวิต เล่ห์เหลี่ยมมารยาใดๆ ที่คิดจะนำออกมาใช้ล้วนต้องมองสีหน้าเขาก่อนถึงจะกล้าร่ายใส่
การต่อปากต่อคำอันใดล้วนไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อรองขอแช่บ่อน้ำอันหวงแหนของหมิงเฉิง แค่ขออนุญาตเพื่อย่างกรายเข้าประตูห้องส่วนพระองค์ยังไม่เคยมีผู้ใดได้กระทำ
แต่นาง...
อีกครั้งที่รัชทายาทหนุ่มไร้ซึ่งคำใดต่อท้ายให้พระชายา
บรรยากาศภายในรถม้าส่วนพระองค์ยามนี้ ยิ่งเพิ่มความดำทะมึนอึมครึมขึ้นมากโข
หมิงเฉิงไม่พอใจในคำพูดของสตรีข้างกายเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าน้ำเสียงหวานใสที่ใช้ออดอ้อน กอปรกับท่าทางน่ารักช่างเจรจา ดวงตากลมโตที่กะพริบเบาๆ อย่างซื่อสัตย์ปราศจากเหลี่ยมเล่ห์ใดๆ ให้เห็น ริมฝีปากสีแดงอิ่มน้ำฉ่ำวาวยามขยับขึ้นลงเพื่อต่อรอง กำลังทำให้ชายแกร่งหัวใจเหล็กไหลแช่น้ำแข็งเช่นหมิงเฉิงใกล้จุดเดือดแห่งความอดทน ความร้อนรุ่มสายหนึ่งแล่นพล่านไปทั่วหัวใจ ความหงุดหงิดมากมายโถมใส่
ชายหนุ่มต้องการให้นางหยุดร่ายมารยาใส่เขาเดี๋ยวนี้!
แต่ทว่าไหนเลยโม๋เอ๋อร์จักเข้าใจได้ เพราะนางมิได้กำลังร่ายมารยาใส่เขา นางกำลังขอความเห็นใจอย่างแท้จริง ถึงความต้องการอันลึกล้ำต่อการแช่บ่อน้ำพุร้อนในห้องเขาก็เท่านั้นเส้นเสียงหวานใสจึงออดอ้อนต่อไปโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่าทุกกิริยาล้วนนำพาความรู้สึกคันยุบยิบ ทะลุทะลวงหัวใจคนฟังปานใด“สามีของภรรยานับเป็นบุรุษที่ดี นอกจากหล่อเหลา ท่าทางน่ากลัวแล้ว ยังมีจิตใจกว้างขวางดั่งธาราใต้แผ่นฟ้าไร้ขอบเขตให้หยั่งถึง”หญิงสาวเอ่ยปากชื่นชมเขาจากใจจริง คำว่าน่ากลัวก็เช่นกัน ล้วนชมเชยเขาจากความชอบทั้งนั้น ความน่ากลัวใดๆ ในใต้หล้า ล้วนแพ้พ่ายให้ชายตรงหน้าจนหมดสิ้น หญิงสาวยังไม่ลืมตบท้ายด้วยคำขออย่างงดงาม “แต่จะดียิ่งกว่านี้ หากยินยอมให้ภรรยาแช่น้ำในห้องท่าน”จบคำก็กะพริบตาสองที พาแพขนตางามงอนกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ คล้ายภมรหยอกเย้าเขย่าหัวใจหากแต่หมิงเฉิงยังคงเงียบงันปราศจากวาจาใดแม้ครึ่งคำ ทำเพียงนั่งนิ่งมองนางอย่างเคร่งขรึมสายตาคมดำอันลึกล้ำไร้ก้นบึ้งบางครายังพลั้งเผลอเหม่อมองริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางความไม่พอใจยิ่งเพิ่มความขัดเคืองใจที่นางคิดจะล่วงล้ำอาณาเขตอันหวงแหน ทว่าสีแดงสดฉ่ำวาวท่าทางนุ่มชื้นที่กำลั
ความเงียบงันยิ่งเงียบงัน หมิงเฉิงได้รู้สึกถึงความเงียบสงัดกระทั่งเข็มตกยังได้ยินชัดก็ครานี้ทว่าโม๋เอ๋อร์ยังเฝ้าเอาใจหมิงเฉิงไม่ห่างไป หญิงสาวยังคงบีบนวดย้ำตรงโคนขาให้ชายหนุ่ม พร้อมหยอดหวานคืบคลานใกล้หัวใจเข้าไปทุกที“สามีเปรียบดั่งท้องฟ้าอันมืดมิด ภรรยาเปรียบดั่งดวงดารายามราตรีอับแสง เคียงข้างกันไปไม่มีเบื่อ”แม้ประโยคที่ถูกสอนสั่งจะผิดเพี้ยนไปบ้าง ว่าแท้จริงสามีเปรียบดั่งท้องฟ้าส่วนภรรยาเปรียบแค่เศษพสุธา แต่ก็ยังดีกว่าไม่นำมาใช้ให้ดูดีโม๋เอ๋อร์ยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้เมื่อนางยิ่งนวด เขาก็ยิ่งแข็ง??? …ตรงกล้ามเนื้อขานางจึงขยับปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ แล้วเลื่อนขึ้นทุบเบาๆ ที่แผงอกหนา คิดเพียงว่าเขาอาจเมื่อยตรงนี้ เพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นถี่ๆ ดีไม่ดี อาจทะลุออกมา“สามีอนุญาตภรรยาเถิด...”หญิงสาวช้อนตาหวานฉ่ำพราวระยับขึ้นมองเขา พร้อมกะพริบตาเบาๆ ก่อนคลี่รอยยิ้มละมุนละไมสะท้านหัวใจชายตรงหน้าทว่าหมิงเฉิงกลับเอ่ยเสียงเย็น มองอย่างเฉยชา“ออกไป!”ชายหนุ่มเอ่ยแบบลอดไรฟัน เส้นเสียงแหบพร่าเล็กน้อยโม๋เอ๋อร์คล้ายกับว่าไม่ได้ยิน นางเปลี่ยนจากการทุบแผงอกเป็นเอื้อมแขนขึ้นคล้องบ่
สายตาคมดำถึงกับสั่นไหว คิดในใจว่าบางทีเขาคงคิดถึงสตรีนางน้อยปริศนามากจนเกินไปความรู้สึกรุ่มร้อนสายหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ในห้วงคำนึงคิดถึงเพียงดวงหน้าอันพร่าเลือนของนางในดวงใจ อารมณ์คุกรุ่นตามสัญชาตญาณคล้ายสัตว์ร้ายยามหิวกระหายของชายชาญจึงพลุ่งพล่านแผ่ซ่านออกมาด้วยหากว่าตรงนี้เป็นเตียงอุ่น เขาย่อมจับร่างนุ่มกดลงแล้วมอบความดิบเถื่อนให้อย่างไร้ปรานีความคิดที่จะเก็บคนงามให้น้องชายพลันตกไปชอบยั่วนัก เขาจะจัดให้หนำใจ จะได้หลาบจำ!แววตาคู่คมสาดประกายดุร้ายดุจหมาป่า เหี้ยมเกรียมและกระหายหิว มุมปากหยักโค้งแข็งกระด้าง เพิ่มความอำมหิต ลืมเสียสนิทว่าต้องเก็บคนงามให้น้องชายทว่าอีกฝ่ายกลับหาได้กลัวเกรงไม่ โม๋เอ๋อร์ที่ยังคงมอง หมิงเฉิงด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดรุ่มร้อนกระตุ้นเร้า ซึ่งนางยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกร้อนผะผ่าวขึ้นมา หัวใจเต้นตึกตักรุนแรง ที่ท้องน้อยรู้สึกเสียวแปลบแล่นลามไปทั่วจึงพลั้งปากเอ่ยตามสัตย์อย่างเผลอไผลว่า“การฆ่าคือการทำให้ตาย หากแต่มิใช่กับข้าที่ไม่อาจตาย มิสู้ทำให้อยู่รอดปลอดภัยถึงฝั่งฝัน ข้ายินดีปกป้องท่านตลอดไป”ประโยคนั้นทำหมิงเฉิงนึกฉงน รู้สึกอุ
บทนำมีความเชื่อหนึ่ง โดยเฉพาะราชวงศ์แห่งจักรพรรดิที่สามารถหลับนอนกับสตรีในช่วงที่ใกล้กับวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่พลังหยินอันเป็นพลังของอิสตรีแตะระดับสูงสุด และเข้าคู่กับพลังหยางขององค์จักรพรรดิ เพื่อผลิตองค์รัชทายาทที่ดีที่สุดหมายสืบทอดราชวงศ์ต่อไปทว่าใครไหนเลยจักล่วงรู้ ว่าความเชื่อนี้มีผลกับเทพปีศาจ เช่นโม๋กุ่ยเสินโดยตรง การที่นางจักยืนหยัดอยู่ได้ในภพมนุษย์ โดยไม่สลายหายไปคล้ายหมอกควัน ยามราตรีเดือนเพ็ญ มีเพียงต้องสมสู่คู่ยวนยางกับบุรุษที่มีพลังหยางเข้มข้นเท่านั้นและเขาคือผู้ถูกเลือก…หากหยินและหยางมารวมกันจะกลายเป็นจิตวิญญาณที่มีพลังเป็นหนึ่งเดียว***อารัมภบทหมิงเฉิงมองโม๋เอ๋อร์ไม่วางตา เผยความรักใคร่ชัดเจน มองอย่างลึกซึ้งคะนึงหา ไม่คิดเก็บข่มความหลงใหลอันใดทั้งนั้นดวงตาเรียวคมของเขาเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังคล้ายกับมีเปลวเพลิงแห่งปรารถนาไหวระริกไม่หยุดท่าทางของบุรุษผู้เคร่งขรึมเย็นชากลายเป็นอ่อนโยนมาก โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว ทว่ากลับรู้หัวใจของตนเองเป็นอย่างดีนางคือสตรีหนึ่งเดียวที่เขาเฝ้าตามหาและรักสุดหัวใจโม๋กุ่ยเสิน...ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์อันลึกล้ำประดับบนใบ
หมิงเฉิงยิ่งสะกดสายตาคมดำที่พระชายาอย่างลึกล้ำ ฝ่ามือหนารีบจับกระชับมือบางเอาไว้โดยพลัน พลางใช้ท้องนิ้วเขี่ยไล้คลึงเล่นคล้ายหยอกเย้า ทำนางสะดุ้งชะงักงันไปชั่วอึดใจ ทว่าก็ยังพอตั้งสติได้ หญิงสาวค่อยๆ ลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล ระงับอาการสั่นไหวหวาดระแวง จากนั้นก็พยายามบิดมือเพื่อออกจากการเกาะกุม หมายผละไปให้ไกลห่างอย่างแนบเนียนที่สุดการกระทำแค่นี้ มีหรือหมิงเฉิงจะยอม เขายิ่งกุมมือนางเอาไว้แน่น ไม่คิดปล่อยโม๋เอ๋อร์ก็มิใช่ด้อย นางจึงเปลี่ยนจากซับเหงื่อเป็นซับน้ำตาแทน ใบหน้าเรียวเล็กเอียงหลบซ้ายขวา พร้อมผ้าเช็ดหน้าอำพรางดวงตา แล้วทำตัวสั่นเบาๆ เปลี่ยนท่าทีเป็นกลั้นสะอื้นไห้เยี่ยงสตรีอ่อนแอบอบบางผู้กลัวเกรงสามีอย่างที่สุด ให้ใครก็ได้มาหยุดบุรุษผู้มีนิสัยดุร้าย แล้วช่วยนางออกไปทีครานี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มบ้างที่ชะงักนิ่ง ด้วยคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลื่นไหลเหลือเกิน ฝ่ามือหนาจึงจับฝ่ามือนางเอาไว้มั่นแล้วบีบแรงๆ ประหนึ่งคีบเหล็ก พลางก้มหน้าลงต่ำแล้วกระซิบดุดันลากเสียงยาวชวนเสียววาบไปถึงกระดูก“เป็นอะไรไป? หืม...”หมิงเฉิงก้มหน้าลงกระซิบใส่โม๋เอ๋อร์อย่างเย็นชา นัยน์ตาคู่เรียวเฉียบคมจ้องนางใกล้ๆ จับพิ
พระองค์ทรงยืนนิ่งพินิจมองรัชทายาทหนุ่มกับพระชายาที่กำลังยื้อยุดอยู่หน้ารถม้าอีกครู่หนึ่ง ก่อนตรัสด้วยสุรเสียงเนิบช้า“แต่ที่เราเห็นคือพระชายากำลังร่ำไห้เสียใจ ส่วนโอรสของเรากำลังรังแกนาง ท่าทางหรือก็ข่มขวัญกันจนอีกฝ่ายลนลานไปหมด หรือว่าเมื่อคืนหมิงเฉิงกระทำการอุกอาจหมายประชดประชัน เข้าหอกับธิดาสกุลโหวอย่างไม่เป็นธรรม!”อีกคราที่หวังกงกงต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดเฝื่อนชั่วจังหวะที่ยังมิทันหายใจได้ทั่วท้อง มหาขันทีพลันได้ยินสุรเสียงคมปลาบตรัสอีกว่า “ตระกูลโหวใช่ตระกูลที่ล้อเล่นได้หรือไร?”“...”“เราสู้อุตส่าห์มอบตระกูลใหญ่ที่สุดแห่งราชสำนักให้ แต่กลับไม่เห็นถึงพระเมตตา!”“...”“ให้พวกเขากลับไป เราไม่รับถวายคารวะน้ำชา!”“...”ไม่ถึงชั่วลมหายใจฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วทรงตรัสอีกสองประโยคว่า“ในเมื่อโอรสแห่งเราได้ธิดาบ้านเขาทั้งคืนแล้วเยี่ยงนั้น เราย่อมปล่อยปละละเลยมิได้เด็ดขาด!”“...”“นำคำสั่งเราไป หากพระชายาโหวยังไม่ตั้งครรภ์ รัชทายาทไม่ต้องเข้าประชุม!”“...”เหมันต์ปีนี้ไยอากาศร้อนยิ่งนัก หวังกงกงรีบปาดเหงื่ออันว่าผู้ที่ยากแท้หยั่งถึง ทั้งยังมีความคิดตีพันกันอย่างลึกล้ำเกินเข้าใจ ย่อมต้องเ
ทันทีที่ได้รับฟังคำรายงานจากปากขันทีผู้น้อยแห่งตำหนักเหยียนซีกง ว่าฮ่องเต้กำลังพิโรธหนักถึงขั้นมิให้พบพระพักตร์หมิงเฉิงก็มิได้สรรหาเหตุผลหรือสาเหตุแห่งความพิโรธนั้นของพระบิดา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จักรพรรดิองค์นี้ก็มักจะมอบบททดสอบอันแสนหฤโหดให้เหล่าโอรสอยู่แล้วดูทีเถิดว่าครานี้ เสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า จักสอนลับคมเขี้ยวเล็บหรือลองเชิงอันใดอีก!รัชทายาทหนุ่มหาได้สนใจผู้อื่นแม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นบิดา เป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดิน เพราะยามนี้เขามีคนที่น่าสนใจยิ่งกว่านางคือภรรยาผู้น่าสงสัยนางคือเจ้าของดวงตาที่ไม่เหมือนใครและนางกำลังเดินหลบซ้ายเลี่ยงขวา เพื่อให้ห่างจากเขา ปากบอกปฏิเสธรถม้าด้วยเหตุผลว่าอยากเดินชมทิวทัศน์อันงดงามยิ่งใหญ่ในพระราชวังทั้งๆ ที่ก่อนหน้า กล้านั่งตักเขาแนบชิดกันถึงเพียงนั้น!ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีเย็นชาพลันแข็งกระด้างขึ้นมา หมิงเฉิงหรี่ตามองพระชายากับสาวใช้คนสนิทที่กำลังเดินนำหน้าห่างออกไปเรื่อยๆ คล้ายจงใจที่จะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้านางตั้งใจเดินหนีเขาที่เป็นสามี แทนที่จะเดินเคียงข้างกันไปจนสุดทาง ไม่ว่าเขาจักพานางไปทางใดเมื่อไหร่ไม่อาจทราบ ที่หมิงเฉิงคิดเช่นนี้โด
ระหว่างการเดินทางไปเยือนตำหนักฮองเฮายามนี้รอบด้านนับได้ว่างดงามมากนัก ประหนึ่งเดินผ่านสรวงสรรค์ชั้นฟ้ากระนั้น เพราะมีทั้งน้ำตกจำลอง ทะเลสาบสีฟ้าคราม สวนดอกไม้นานาพันธุ์ สระดอกบัวหลากสีสัน ศาลาริมบึง และพระตำหนักแสนวิจิตรต่างๆ ร่างระหงสมส่วนในอาภรณ์แตกต่างกำลังเดินเคียงข้างจับประคองไปตามทาง เพื่อชื่นชมทุกความละลานตาสุดจะหยั่งหนึ่งคือสาวงามผู้สวมชุดหรูหราเครื่องประดับประดาเต็มศีรษะ ใบหน้าแต้มชาดสะดุดตา อีกหนึ่งคือสาวงามสวมเพียงชุดสาวใช้ธรรมดาผ้าสีเขียวใบไผ่ทั้งสองคือโม๋เอ๋อร์และหยูเสวี่ยพวกนางพากันเดินแช่มช้อยแต่นำหน้าบุรุษสูงศักดิ์ผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหมิงไปไกลโขอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทั้งอย่างนั้น รถม้าและขบวนข้ารับใช้คนอื่นได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆ อย่างงุนงงหมิงจินที่เดินเยื้องไปทางแผ่นหลังของหมิงเฉิงเล็กน้อย ลอบมองพระชายาเอกของพี่ชายกับสาวใช้คนสนิทด้วยสายตาคมกริบเฉียบคมเขาสังเกตได้ว่า สาวใช้ผู้นี้คล้ายกับมิได้เป็นฝ่ายจับประคองพระชายา หากแต่เป็นอีกฝ่ายต่างหากที่คล้ายกับจับประคองสาวใช้เรียวคิ้วคมพลันขมวดมุ่นเมื่อสังเกตเห็นสตรีทั้งสองคนผู้เดินทอด
นอกหน้าต่าง รอบด้านเงียบสงบ สายลมอ่อนโชยพัดพลิ้วเข้ามา พากลิ่นไอน้ำผสานดอกบัวเข้าหา ให้สดชื่นรื่นรม ช่างเหมาะสมแก่การสร้างอารมณ์วาดภาพยิ่งทว่าหมิงเฉิงหาได้มีอารมณ์สุนทรีพร้อมร่างภาพวาดลวดลายอันใดใส่กระดาษไม่ ด้วยในใจยังคำนึงถึงนางกำนัลผู้นั้น ที่บังอาจมีนัยน์ตาสีเขียวเหมือนใครบางคน!สายตาคมปลาบลอบพินิจชายาที่ยืนฝนหมึกอยู่ด้านข้าง ดวงหน้าสะคราญโฉมมีดวงตากลมโตอันน่าสงสัย เพื่อความสบายใจเขาควรจักพิสูจน์นางให้มากเข้าไว้หมิงเฉิงพลันหรี่ตา นึกถึงเรื่องราวบางประการดวงตาสีเขียววูบไหวที่เห็นเพียงแวบหนึ่งแต่มากกว่าถึงสามครั้ง ทั้งกลิ่นอายเย็นฉ่ำที่สัมผัสได้ยามโอบกอด ให้รู้สึกดีอย่างประหลาด และยังคุ้นเคยอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงคุณหนูในห้องหอ ไม่เคยย่างกรายออกนอกจวนไปที่ใด ไม่มีทางที่นางจะเคยปรากฏกายในป่าใหญ่หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาถึงอยากเชื่อให้สนิทใจแน่งน้อยในวันวาน บางทีอาจจะเป็นนาง...หมิงเฉิงยิ่งคิดยิ่งรุ่มร้อน ความรู้สึกไม่ยินยอมกำลังเกิดขึ้นอย่างดื้อรั้นเขาจักให้หมิงจินไปสืบเรื่องนี้ให้รู้แจ้ง ว่าสกุลโหวเล่นกลซ่อนเล่ห์อันใดหรือไม่ ทว่ายามนี้ขอเรียกความมั่นใจส
พระชายาน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้ แล้วอีกฝ่ายจักเย็นชาไปเพื่ออันใดเจียงเฟิ่งให้รู้สึกหงุดหงิดยิ่ง!ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าธิดาสกุลโหวคือสมบัติล้ำค่า จักต้องถนอมเอาไว้จนกว่าบุตรชายคนใดคนหนึ่งได้ขึ้นครองราชย์อันว่าสตรีงามพิลาศปานล่มเมืองล่มแคว้น เป็นนางมารยั่วยวน กระทั่งผู้จับจ้องคล้ายถูกดึงดูดตกบ่วงเสน่หาอันเหลือร้าย จักเป็นใครไปมิได้ นอกจากสตรีนามว่า โม๋เอ๋อร์กระทั่งเจียงฮองเฮายังหลงใหลเข้าให้แล้วแบบเต็มขั้นโม๋เอ๋อร์นั้น ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรัก แม้แต่สตรีด้วยกัน!สุรเสียงเย็นเยียบจึงตรัสไปทางสวี่กูกูที่ยืนอยู่ไม่ห่าง“ให้คนไปเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาในห้องหนังสือ”“เพคะ”เสียงตอบรับนอบน้อมเกิดขึ้นจากนางกำนัลคนสนิท เพียงครู่ขันทีผู้น้อยหน้าห้องก็ถูกสั่งให้ไปแจ้งแก่หมิงเฉิงชั่วอึดใจเท่านั้น ร่างสูงสง่าก็มาปรากฏอยู่ภายในห้องหนังสือชายหนุ่มเหลือบดวงตาคมปลาบมองพระชายาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจอีก เย็นชาที่สุดโม๋เอ๋อร์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะของเจียงฮองเฮาพลันเลิกคิ้วฉงน กะพริบตางุนงง เมื่อเห็นสามีเครียดขรึมสีหน้าเย็นเยียบปานนั้นเจียงฮองเฮากรีดเรียวนิ้วม้วนกระดาษคำกลอนหวานล้ำของโม๋เอ๋อร์อย่างทะนุถนอม แล้วว
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย