หลังจากที่กู้เจี้ยนกั๋วได้รับข้อมูลแล้ว เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะอ่านมันแต่หลังจากอ่านเนื้อหาในหน้าแรก กู้เจี้ยนกั๋วก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากและมือที่ถือเอกสารก็สั่นอย่างรุนแรง โดยคิดว่าฉินเจี้ยนจางกำลังจะทำให้ตระกูลกู้ถึงฆาตท่าทางของกู้เจี้ยนเจียงและคนอื่น ๆ ที่ดูสง่างาม เมื่อพวกเขาดูเนื้อหาของเอกสารทีละหน้าและยิ่งอ่านมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหนาวสั่นหลังจากอ่านไปสองสามหน้า กู้หยุนหลานก็ส่งข้อมูลให้หลี่โม่ในอาการที่สับสน หลี่โม่ดูข้อมูลและวางมันลงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของข้อมูลอย่างจริงจังมันไม่มีอะไรมากไปกว่าคดีความ บางอย่างสามารถตกลงกันได้ด้วยเงิน หลี่โม่ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย"พวกคุณ พวกคุณต้องการทำอะไร! ข้อมูลนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลกู้ของเรา ต่อให้มีข้อผิดพลาด มันก็เป็นความผิดของแพทย์!" กู้เจี้ยนกั๋วพูดด้วยความโกรธ"ไม่สิ เราได้ติดต่อแพทย์และผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องหลายรายแล้ว และผมสันนิษฐานว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากผลิตภัณฑ์ของพวกคุณ เราได้มอบหมายให้องค์กรบุคคลที่สามดำเนินการตรวจสอบ และผลการตรวจจะออกในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้นเราจะจัดงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชน”
กู้เจี้ยนกั๋วตะลึงตาค้าง เมื่อมองไปยังครัฟต์ก็เริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์จากทั้งสองทาง ฉินเจี้ยนจางชำเลืองมองกู้หยุนหลานและหลี่โม่เล็กน้อย แล้วเริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่นายจ้างต้องการจะเล่นงานในครั้งนี้ก็คือหลี่โม่ กู้ซิ่งเหว่ยทุบกำปั้นลงบนโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมต้องเป็นคำขอของหลี่โม่!พวกเราไม่ใช่หุ้นส่วนของพวกคุณหรือไง ทำไมพวกคุณต้องเลือกปฏิบัติต่างออกไปแบบนี้ด้วย!” “เพราะนี่เป็นประสงค์ของพระเจ้า ผมสรรเสริญในพระเจ้า ดังนั้นผมจึงยึดมั่นในการชี้นำของพระองค์” บนใบหน้าของครัฟต์แผ่รัศมีเรืองรองอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นบาทหลวงไปแล้ว กู้เจี้ยนเจียงดึงกู้ซิ่งเหว่ยเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงเบา “อดทนไว้ เวลาแบบนี้อย่าเพิ่งก่อปัญหาเลย ตอนนี้เราทำได้แค่หวังพึ่งคุณครัฟต์เท่านั้น ถ้าคุณครัฟต์ไม่แยแส พวกเราก็คงหมดหนทางจริง ๆ แน่” “จะไปหมดหนทางได้ยังไง บริษัทของพวกเราเองก็มีเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ได้จริง ๆ ก็จ้างทนายความมา ผมไม่เชื่อหรอกว่าไอ้สารเลวที่ยุย
มือของเจ้าหน้าที่กฎหมายที่ถือโทรศัพท์อยู่พลันแข็งทื่อ เขามองไปที่ปุ่มโทรออกบนหน้าจอแต่ก็ไม่อาจกดลงไปได้ “โทร! สิ! วะ! ยืนบื้ออะไรอยู่!” กู้เจี้ยนกั๋วเร่งเร้าด้วยความโมโหปนอับอาย ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายก็กดปุ่มโทรออก เขารอสายอย่างกระวนกระวาย แล้วเอ่ยอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานสีหน้าของเจ้าหน้าที่กฎหมายก็ย่ำแย่ลง เขาก้มหน้าลงและโทรต่อไป การโทรครั้งที่สองเองก็จบลงอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่กฎหมายก็พูดด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “ไม่ได้เลยครับ พวกเขาไม่มีใครยอมตกลงเลย พวกเขาบอกว่าจะไม่มีวันขึ้นศาลกับสกุลฉินอีกตลอดชีวิตครับ" “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกคุณหาทนายต่อไปสิ ผมอยากดูว่าพวกคุณจะหาใครมาขึ้นศาลกับผมได้ ในประเทศนี้ไม่มีใครที่จะชนะผมในคดีทางการแพทย์ได้แล้ว” ฉินเจี้ยนจางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นท่าทีลำพองใจของฉินเจี้ยนจาง กู้ซิ่งเหว่ยก็เอียงหัวมองไปที่หลี่โม่ แล้วเอ่ยประชดประชันว่า “ไอ้ไร้ประโยชน์ ไม่นานมานี้แกเก่งมากไม่ใช่เหรอ ถ้าแกเก่งจริงก็เตะไอ้ทนายงี่เง่าคนนี้ออกไปเลยสิ" หลี่โม่พูดอย่างเฉยเมย "สุภาพชนตกลงกันด้วยวาจาไม่ใช้กำลัง จะให้ฉันไปต่อยตีกับทนายความได้ยังไง" “
เมื่อเห็นท่าทางจำใจของครัฟต์ ฉินเจี้ยนจางก็ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น คราวนี้นับว่าเขารอดตัวไปได้อย่างราบรื่นแล้ว ตราบใดที่ทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ฉินเจี้ยนจางรู้สึกว่าตนนั้นไร้ซึ่งคู่ต่อกรแล้วในประเทศนี้ “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าพวกคุณจะโชคไม่ดีเท่าไหร่นะ ถ้าทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ในโลกนี้ก็ไม่มีใครที่เอาชนะผมได้แล้ว พวกคุณเตรียมตัวแพ้และล้มละลายได้เลย” กู้เจี้ยนกั๋วหน้าถอดสีซีดเผือดทันที เขารู้สึกว่านี่คือเวลาจบเห่ของตระกูลกู้แล้ว "ทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไรกันแน่? ทำไมพวกคุณต้องหมายหัวตระกูลกู้ของเราด้วย พวกเราไปทำให้ใครขุ่นเคือง!" กู้เจี้ยนเจียงถามอย่างอดไม่ได้ “ในพวกคุณใครที่ไปทำให้คนอื่นขุ่นเคืองก็น่าจะรู้ตัวเองดี ผมขอไม่พูดให้มากความ ขอให้สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของพวกคุณให้ดีแล้วกัน งานแถลงข่าวอาจจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้” ฉินเจี้ยนจางพูดอย่างลำพองใจ ราวกับเป็นแม่ทัพที่มีชัยในศึกใหญ่ก็ไม่ปาน หลังจากจึงหันหลังกลับไปอย่างหน้าเชิดอกผึ่ง เตรียมจะพาลูกน้องของตนกลับไปเพื่อแจ้งข่าวดีแก่หม่าเต๋อฝู กู้หยุนหลานเหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย ริมฝีปากของเธอกระตุกเบา ๆ คิดอย่างจะพูดอะไรบางอย่างกับหลี่โ
น้ำเสียงที่พูดยกยอเกินจริงนั้นดังก้องในห้องประชุม และยังทำให้ฉินเจี้ยนจางที่จมดิ่งอยู่ในความคิดได้สติขึ้นมาด้วยเช่นกัน คำขยายความเพิ่มเติมล่าสุด? มาตรฐานการบังคับใช้จริง? ไอ้พวกนั้นมันคืออะไรกัน! อสูรน้อยในใจของฉินเจี้ยนจางกำลังคำราม เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลี่โม่กำลังพูดถึงอะไรอยู่ ทนายความลูกน้องของเขาหยิบมือถือออกมาเริ่มเสิร์ชMoudu และหลังจากนั้นไม่นานก็ยื่นโทรศัพท์มือถือไปเบื้องหน้าฉินเจี้ยนจางด้วยสีหน้าขมขื่น “นี่คือคำขยายความเพิ่มเติมล่าสุดและมาตรฐานการบังคับใช้จริงที่เผยแพร่ออกมาเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนพวกเรามัวแต่ยุ่งมากจนลืมอ่านเรื่องนี้ไปครับ” ฉินเจี้ยนจางรีบหยิบมือถือมาอ่านเนื้อหาบนหน้าจอ ฉินเจี้ยนจางพลันรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า "อะไรกันวะ! ทำไมเมื่อวานพวกแกถึงไม่ใส่ใจให้ดี! ที่เตรียมมาทั้งคืนสูญเปล่าแล้ว!" ฉินเจี้ยนจางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นรอยยิ้มบางของหลี่โม่ ฉินเจี้ยนจางก็ขว้างโทรศัพท์มือถืออย่างเกรี้ยวกราด “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง นี่คุณรู้ว่าพวกเรากำลังเล็งเป้ามาที่คุณตั้งแต่เมื่อคืนแล้วอย่างนั้นเหรอ!” “หึหึ กลับไปบอกเจ้านายของคุณเถอะ ถ้ามีอะไรก็งั
“ฉี่ราดบ้าบออะไร! เราไม่มีทางตกใจขนาดนั้นแน่ แกรีบ ๆ อธิบายมาให้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างไม่พอใจ หลี่โม่ชำเลืองมองครัฟต์เล็กน้อย ครัฟต์จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “คือว่าที่เรื่องราวเป็นแบบนี้ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะผมเอง” กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน หลี่โม่ไม่ได้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกเหรอ ทำไมมันถึงไปเกี่ยวข้องกับครัฟต์ได้ล่ะ! "คุณครัฟต์ คุณปกปิดความผิดให้หลี่โม่งั้นเหรอครับ? นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของตระกูลกู้ของเรานะครับ คุณไม่คิดว่าควรจะอธิบายกับเราให้กระจ่างสักหน่อยเหรอ!” ครัฟต์ยักไหล่ เขาผายมือแล้วพูดว่า “มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะผมจริง ๆ ถ้าไม่ได้คุณหลี่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างมีคุณธรรมเมื่อวานนี้ เราคงตายกันหมดแล้ว พวกคุณไม่จำเป็นต้องถามถึงรายละเอียดเหตุการณ์หรอก พวกคุณแค่ทำตามคำสั่งของคุณหลี่ก็พอแล้ว” เมื่อเผชิญกับคำพูดของครัฟต์ กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงยอมจำนนไปก่อนชั่วคราว ครุ่นคิดว่าค่อยหาวิธีสืบถามอีกทีหลังจากที่ครัฟต์กลับไปแล้ว หากไม่ทำให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น พ
หลงเทียนสิงกำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนเบาะสาน หลังจากที่ชายหนุ่มเข้ามาในห้องเขาก็เดินไปหาหลงเทียนสิงอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักครับ มีคนมาเยี่ยมเยียน เขามีผู้ติดตามมาด้วยหลายคน ผมมองเจตนาของเขาไม่ออกครับ” หลงเทียนสิงลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วขยับคอไปมา กระดูกส่วนคอส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บ “พาเข้ามาสิ” “ครับผม” ชายหนุ่มเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แล้วพาหม่าเต๋อฝูกับพ่อบ้านชราเข้ามา หลังจากที่หม่าเต๋อฝูเข้าไปข้างในแล้วเขาก็เริ่มมองพินิจหลงเทียนสิง เมื่อเห็นดวงตาของหลงเทียนสิงวูบวาบเป็นประกาย ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น สีหน้าดูดุดัน ในใจก็พลันเกิดความคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ ผมเลยอยากเห็นความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสำนักหลง" หม่าเต๋อฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ให้คนอื่นดูง่าย ๆ หรอกนะ” หลงเทียนสิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ขอเพียงเจ้าสำนักหลงมีความสามารถจริง และสามารถช่วยผมฆ่าคนคนหนึ่งได้ เรื่องเงินย่อมไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน” หม่าเต๋อฝูเอ่ยอย่างแค้นเคือง หลงเทียนสิงเริ่มสนใจขึ้นมาทันใด เขาพูดด้วยร
“ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นคนของแดนมังกรเหรอครับ?” หม่าเต๋อฝูหรี่ตาและเอ่ยถาม “ใช่ และก็ไม่ใช่ เจ้านายของผมเป็นคนของแดนมังกร ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนของแดนมังกรหรอก เพราะนั่นคือตระกูลชั้นสูงที่ลึกลับที่สุด และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนด้วย” หลงเทียนสิงกล่าวด้วยความหลงใหล แม้ว่าหลงเทียนสิงจะไม่ได้เป็นคนจากแดนมังกร แต่แค่มีอาจารย์อยู่ที่แดนมังกร หม่าเต๋อฝูก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว ถึงหลงเทียนสิงจะสังหารหลี่โม่ไม่ได้ อย่างนั้นก็ยังมีอาจารย์ของเขาอยู่ “ผมขอเสียมารยาทถามว่าอาจารย์ของเจ้าสำนักหลงนั้นคือ?” หม่าเต๋อฝูเอ่ยถาม “ชื่อของอาจารย์ผมบอกไปคุณก็คงไม่รู้จัก บรรพจารย์ของผมมีตำแหน่งเป็นมราชามังกรลำดับที่แปดในแดนมังกร คนในแดนมังกรเรียกขานเขาว่าท่านปา” หลงเทียนสิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ ในช่วงหลายปีมานี้หลงเทียนสิงหาเงินได้มากมายด้วยการอาศัยบารมีของผู้อื่นมาหลอกลวง ยิ่งกว่านั้นหลงเทียนสิงก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ห่าง ๆ ของท่านปาจริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างที่หลงเทียนสิงมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ก็เพราะเขาได้ยินข่าวลือมาว่า ท่านปากำลังเตรียมจะจัดการกับไอ้เวรคน
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา