ชายร่างกำยำสองคนลากกล่องรถเข็นขนาดใหญ่สี่กล่องเข้ามา แล้วเปิดกล่องรถเข็นออกเบื้องหน้ากองกำลังที่มารวมตัวกันเผยให้เห็นอาวุธปืนที่แน่นขนัดอยู่ภายใน “ทุกคนได้อาวุธปืนสั้นและยาวอย่างละหนึ่งกระบอก ซองกระสุนคนละสี่อัน ส่วนทีมมีดสั้นให้พกระเบิดมือไปด้วย” หลงเทียนสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทุกคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับอาวุธปืนอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ได้รับปืนแล้วก็เริ่มตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลงเทียนสิงหยิบปืนสั้นสองกระบอกมาเหน็บไว้ที่เอวเป็นคนสุดท้าย “ภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก เป้าหมายของเราคือการจับเป็นหลี่โม่ ส่วนรายละเอียดแผนปฏิบัติการให้รอประกาศจากฉัน ขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่โซลกันก่อน” “ครับ!” หลงเทียนสิงนำกำลังคนออกจากสำนักทางประตูหลัง พวกเขาขึ้นรถมินิบัสของสำนักและมุ่งไปยังกรุงโซล ...... ใกล้ถึงเวลาเลิกงาน หวูผิงผิงก็มาถึงสำนักงานของกู้หยุนหลาน เธอเหลือบมองหลี่โม่ที่นั่งอยู่ในมุมของสำนักงานเล็กน้อย สายตาของหวูผิงผิงฉายแววดูถูกเหยียดหยามออกมาจาง ๆ แม้ว่าเธอจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้ติดต่อกับกู้หยุนหลานมาเป็นเวลานาน แต่หวูผิงผิงก็ติดตามกับข่าวคราวของกู้หยุนหลานมาตลอดโดยไม่ได้ตั้
หวูผิงผิงขับรถด้วยความเร็วสูง เธอขับรถไปพลางสาธยายว่าความวิเศษของรถเบนซ์ไปพลาง และโอ้อวดสิ่งต่าง ๆ นานาไปตลอดทาง ในที่สุดรถก็ขับเข้าไปยังรีสอร์ตตากอากาศแห่งหนึ่งที่เชิงเขาในเขตชานเมือง หวูผิงผิงจอดรถเสร็จแล้วก็ชี้ไปที่รีสอร์ตตากอากาศพลางพูดว่า “รีสอร์ตนี้จางเจียต้งเหมาหมดแล้ว วันนี้ที่นี่เป็นของพวกเราทั้งหมด เราสนุกสุดเหวี่ยงกันได้เต็มที่เลย” “ก็ไม่เท่าไรนะ” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวูผิงผิงหัวเราะเยาะเล็กน้อย แล้วเหล่มองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “คนไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่งานทำอย่างนาย ช่างคุยโวโอ้อวดเก่งเสียจริง ๆ นะ รู้ไหมว่าค่าเช่าเหมาทั้งรีสอร์ตหนึ่งคืนราคาเท่าไหร่? มันพอที่จะเป็นเงินเดือนนายไปได้สามปีห้าปีเลยเชียวล่ะ” “ฮ่าฮ่า” หลี่โม่หัวเราะและไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับหวูผิงผิง การไปโต้เถียงกับเธอมีแต่จะด้อยค่าตัวเองลงเท่านั้น เมื่อทั้งสามลงจากรถหวูผิงผิงก็เดินนำอยู่ข้างหน้า ตลอดทางเดินผ่านพนักงานบริการต่างโค้งคำนับให้พวกเขา ซึ่งทำให้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหวูผิงผิงพลันถูกเติมเต็ม มาถึงวิลล่าเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่รีสอร์ต ชายสี่คนนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน ผู้ชายที่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะประสบความสำเร็จและเพื่อจะเป็นคนชั้นสูงที่มีรากฐานมั่นคงในต่างประเทศ จางเจียต้งได้ทุ่มเทไปมากมาย แม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อของเขา เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้ากู้หยุนหลานได้อย่างมั่นใจและสารภาพความรักที่เขามีต่อกู้หยุนหลาน พากู้หยุนหลานไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้ความพยายามที่ทุ่มเทไปทั้งหมดล้วนสูญเปล่าไปกับคำพูดของเพียงคำเดียวของกู้หยุนหลาน สายตาที่จางเจียต้งมองไปทางหลี่โม่ก็ยิ่งคุกรุ่นไปด้วยความโกรธแค้นขึ้นไปอีก "หยุนหลาน! เธอรู้ไหมว่าฉันชอบเธอมาตลอด! เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไปต่างประเทศ! เธอรู้ไหมว่าฉันแลกเท่าไหร่เพื่อที่จะประสบความสำเร็จที่ต่างประเทศ! ทั้งหมดล้วนทำเพื่อเธอนะ!" จางเจียต้งคำราม กู้หยุนหลานส่ายหน้ามองไปยังจางเจียต้งที่กำลังโกรธเกรี้ยว เธอดึงหลี่โม่เข้ามาและพูดว่า “เราไปกันเถอะ” “จะไปงั้นเหรอ? ไม่มีทาง! วันนี้กู้หยุนหลานต้องไปกับฉัน!” จางเจียต้งพูดเสียงแข็งกร้าว กู้หยุนหลานจูงมือหลี่โม่แล้วหันหลังจากไป แต่หลังจากที่เปิดประตูก็กลับตกตะลึง ด้านนอกประตูมีชายร่างใหญ่ผมบลอนด์ตาสีฟ้ายืนอยู่สองคน ทั้ง
คาร์ลรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาควงมีดล่าสัตว์ในมือจนเห็นเป็นเงาซ้อน ก่อนฟันเข้าไปยังคอของหลี่โม่ พวกหวูผิงผิงทุกคนต่างมึนงงไปกับเงามีดของคาร์ล พวกเขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีดล่าสัตว์ในมือของคาร์ลได้ไปจ่อที่คอของหลี่โม่แล้ว หลี่โม่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าตกตะลึงกับเงามีดของคาร์ลไปแล้ว นั่นจึงทำให้คาร์ลรู้สึกได้ใจขึ้นมา “สั่นเลยละสิ ไอ้คนธรรมดาเอ๊ย!” คาร์ลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา คมมีดอยู่ห่างจากคอของหลี่โม่เพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น ราวกับในวินาทีถัดไปคอของหลี่โม่จะถูกแทงลงไปทันที ในที่สุดหวูผิงผิงและคนอื่น ๆ ก็เห็นตำแหน่งของมีดล่าสัตว์และเห็นมันพุ่งไปยังคอของหลี่โม่อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่พวกหวูผิงผิงจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา นิ้วมือของหลี่โม่ก็โผล่ขึ้นมาจากมุมที่แปลกประหลาด สองนิ้วเคลื่อนไปอย่างเบา ๆ และหนีบมีดล่าสัตว์ที่พุ่งเข้ามาเอาไว้แน่น “อ๊า!” ในตอนนั้นเองหวูผิงผิงก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ทั้งสองมือกุมหัวเอาไว้พลางคิดว่าจะเห็นฉากนองเลือดอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อหวูผิงผิงตะโกนจบฉากนองเลือดนั้นก็ไม่ได้ปรากฏขึ้น กลับกันคาร์ลกลับดึงมีดออกอย่างรุนแรงเพื่อจะดึงมีดออก
ครูว์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้า ๆ และพูดว่า “ครับ!” ครูว์รู้ตัวตนของจางเจียต้งและยิ่งรู้ดีว่าเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของจางเจียต้งได้ “นายแข็งแกร่งมาก การที่สามารถฆ่าคาร์ลได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ มันเกินความคาดหมายของฉันไปอย่างสิ้นเชิง แต่ฉันแข็งแกร่งกว่าคาร์ล เพราะฉันมีสายเลือดของคิงคอง!” ครูว์ยืดแขนทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อที่ใหญ่โตอยู่แล้วของเขาปูดพองขึ้น เสียงแคว่กดังขึ้น กล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นเป็นมัดฉีกสื้อคลุมของคาร์ลออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งราวกับหินทั้วทั้งร่าง ด้วยสายเลือดของคิงคอง ทำให้พลังของครูว์สามารถเพิ่มขึ้นสามถึงห้าเท่าได้ในพริบตา และยิ่งเสริมความสามารถในการต้านทานการโจมตีของเขาขึ้นไปด้วย ครูว์เคยบุกเข้าไปในที่พักของเจ้าพ่อใหญ่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาด้วยเลือดของคิงคองมาแล้ว แม้ว่าร่างกายจะถูกยิงกว่าสิบนัดก็ยังสามารถสังหารเจ้าพ่อใหญ่รวมทั้งกลุ่มบอดี้การ์ดของเขาจนสิ้น พลังป้องกันขั้นสุดยอดที่ไม่เกรงกลัวกระสุนนั้นทำให้ครูว์ผ่านพ้นวิกฤตมาได้หลายครั้ง ครูว์คิดว่าครั้งนี้เองก็เช่นกัน เขาจะต้องใช้พลังแห่งสายเลือดนี้สังหารหลี่โม่ให้ตายไม่มีที่ฝังได้แน่นอน
ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าพวกหวูผิงผิงจะไม่เข้าใจเรื่องสายเลือดของคิงคองอะไรพวกนั้น แต่พวกเขาก็เข้าใจได้ว่าครูว์ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “หลี่โม่เติบโตมาด้วยอะไรกัน กระแสลมตอนที่กำปั้นปะทะกับฝ่ามือเมื่อกี้นี้อย่างกับคลื่นกระแทกระเบิดเลย ทำเอาฉันกลัวแทบตายจริง ๆ” “เจ้าหมอนี่จะต้องไม่ใช่ไอ้ขยะอย่างที่ลือกันแน่ เวลาปกติเขาคงจะสงบเสงี่ยมเกินไป แถมยังไม่ลงมือกับใครก็เลยถูกคนอื่นหาว่าเป็นขยะสินะ” “ด้วยฝีมือของเขา ถ้าเขาลงมือขึ้นมาจริง ๆ ก็สามารถฆ่าใครสักคนได้ง่าย ๆ เลยไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าคนที่บอกว่าเขาเป็นขยะเคยถูกหลี่โม่จัดการบ้างหรือเปล่า” เพื่อนร่วมรุ่นของกู้หยุนหลานพวกนั้นกระซิบกระซาบคุยกัน แต่ละคนรู้สึกหวาดผวาและนึกเสียใจที่มาร่วมงานร่วมรุ่นขึ้นมาเล็กน้อย นี่ต้องเป็นงานรวมรุ่นที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์แน่ ดีไม่ดีพวกเขาอาจจะถูกฆ่าตายอยู่ตรงนี้เลยก็ได้ หวูผิงผิงหดคอ เธอพยายามซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเพื่อนร่วมรุ่นชายสามสี่คน เมื่อนึกถึงคำพูดพวกนั้นที่ตนเคยถากถางหลี่โม่ก่อนหน้านี้ขึ้นมา หวูผิงผิงก็รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ วิตกกังวลว่าหลี่โม่จะมาเอาเรื่องตนใ
“นี่มัน! เป็นไปได้ยังไง!” ครูว์ตะโกนอย่างตื่นตกใจและมองไปที่หลี่โม่อย่างไม่เชื่อสายตา อากาศบีบอัดที่กำลังปะทุนั้นไม่ได้สงบลง แต่จู่ ๆ มันกลับหายไปจากหน้ากำปั้นของครูว์ราวกับว่ามันถูกหลี่โม่ใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายไปอย่างกะทันหัน ในขณะที่ครูว์กำลังอยู่ในความมึนงง หลี่โม่ก็เดินเข้าเบื้องหน้าของครูว์ ทันใดนั้นมือซ้ายก็พลันออกไปบีบกรามของครูว์อย่างรวดเร็ว “อั่ก! อ๊าก!” ครูว์ส่งเสียงร้อง ขากรรไกรล่างของเขาถูกหลี่โม่บีบอย่างแรงจากนั้นนิ้วมือขวาของหลี่โม่ก็แตะไปที่ปากของครูว์ แม้ว่าปลายนิ้วของหลี่โม่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ครูว์ก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่อัดแน่น ฟุ่บ! มวลอากาศอัดแน่นถูกยัดเข้าไปในปากของครูว์ จากนั้นหลี่โม่ก็ผลักครูว์ไปทางจางเจียต้งด้วยรอยยิ้มจาง ๆ แม้ว่าจางเจียต้งจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เมื่อเห็นการกระทำของหลี่โม่ จางเจียต้งก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามีอันตราย “อั่กอ่อกอ่อก” ครูว์ส่ายหัวด้วยสีหน้าซีดเผือด จิตใจของเขาพังทลายโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนกับกำลังอมระเบิดอยู่ในปาก ในความเป็นจริง หากอากาศที่อัดอยู่ในปากของครูว์ระเบิดขึ้นมาจริง ๆ มันจะมีพลังรุนแรง
เรื่องที่ตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่นั้น หลี่โม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้ว่าแดนมังกรจะรวบรวมตำราศิลปะการต่อสู้เกือบทั้งหมดในโลกเอาไว้ และมีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้จำนวนมากที่สุดในโลก แต่ก็ยังไม่เคยมีข้อสรุปเกี่ยวกับการมีอยู่ของระดับพลังขั้นสูงเลย ปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้มากมายต่างสัมผัสได้ถึงสวรรค์และโลกมนุษย์ และรู้สึกว่าน่าจะมีระดับของพลังที่เหมือนกับตี้เซียนอยู่ แต่ไม่มีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้คนไหนของแดนมังกรที่สามารถทะลวงไปถึงระดับของพลังนั้นได้เลย หลี่โม่จึงไม่กล้าพูดว่าตนเองแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงอย่างไรก็อาจมีคนที่แข็งแรงกว่าเขาอยู่เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นเท่านั้น จางเจียต้งไม่พอใจกับคำตอบของหลี่โม่ หลี่โม่แข็งแกร่งมากจนสามารถฆ่าครูว์ผู้มีสายเลือดของคิงคองได้ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่ปีนขึ้นไปสู่ยอดเขาของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แบบนี้มันเสแสร้งเกินไปแล้ว! เดิมทีเรื่องนี้จางเจียต้งควรจะต้องเป็นคนที่เสแสร้งมากกว่า! แต่ตอนนี้กลับถูกหลี่โม่เอามาใช้ ทำให้จางเจียต้งไม่พอใจอย่างมาก จางเจียต้งจ้องมองที่หลี่โม่ด้วยสายตาดุร้าย เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตั