มือของเจ้าหน้าที่กฎหมายที่ถือโทรศัพท์อยู่พลันแข็งทื่อ เขามองไปที่ปุ่มโทรออกบนหน้าจอแต่ก็ไม่อาจกดลงไปได้ “โทร! สิ! วะ! ยืนบื้ออะไรอยู่!” กู้เจี้ยนกั๋วเร่งเร้าด้วยความโมโหปนอับอาย ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายก็กดปุ่มโทรออก เขารอสายอย่างกระวนกระวาย แล้วเอ่ยอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานสีหน้าของเจ้าหน้าที่กฎหมายก็ย่ำแย่ลง เขาก้มหน้าลงและโทรต่อไป การโทรครั้งที่สองเองก็จบลงอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่กฎหมายก็พูดด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “ไม่ได้เลยครับ พวกเขาไม่มีใครยอมตกลงเลย พวกเขาบอกว่าจะไม่มีวันขึ้นศาลกับสกุลฉินอีกตลอดชีวิตครับ" “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกคุณหาทนายต่อไปสิ ผมอยากดูว่าพวกคุณจะหาใครมาขึ้นศาลกับผมได้ ในประเทศนี้ไม่มีใครที่จะชนะผมในคดีทางการแพทย์ได้แล้ว” ฉินเจี้ยนจางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นท่าทีลำพองใจของฉินเจี้ยนจาง กู้ซิ่งเหว่ยก็เอียงหัวมองไปที่หลี่โม่ แล้วเอ่ยประชดประชันว่า “ไอ้ไร้ประโยชน์ ไม่นานมานี้แกเก่งมากไม่ใช่เหรอ ถ้าแกเก่งจริงก็เตะไอ้ทนายงี่เง่าคนนี้ออกไปเลยสิ" หลี่โม่พูดอย่างเฉยเมย "สุภาพชนตกลงกันด้วยวาจาไม่ใช้กำลัง จะให้ฉันไปต่อยตีกับทนายความได้ยังไง" “
เมื่อเห็นท่าทางจำใจของครัฟต์ ฉินเจี้ยนจางก็ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น คราวนี้นับว่าเขารอดตัวไปได้อย่างราบรื่นแล้ว ตราบใดที่ทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ฉินเจี้ยนจางรู้สึกว่าตนนั้นไร้ซึ่งคู่ต่อกรแล้วในประเทศนี้ “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าพวกคุณจะโชคไม่ดีเท่าไหร่นะ ถ้าทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ในโลกนี้ก็ไม่มีใครที่เอาชนะผมได้แล้ว พวกคุณเตรียมตัวแพ้และล้มละลายได้เลย” กู้เจี้ยนกั๋วหน้าถอดสีซีดเผือดทันที เขารู้สึกว่านี่คือเวลาจบเห่ของตระกูลกู้แล้ว "ทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไรกันแน่? ทำไมพวกคุณต้องหมายหัวตระกูลกู้ของเราด้วย พวกเราไปทำให้ใครขุ่นเคือง!" กู้เจี้ยนเจียงถามอย่างอดไม่ได้ “ในพวกคุณใครที่ไปทำให้คนอื่นขุ่นเคืองก็น่าจะรู้ตัวเองดี ผมขอไม่พูดให้มากความ ขอให้สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของพวกคุณให้ดีแล้วกัน งานแถลงข่าวอาจจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้” ฉินเจี้ยนจางพูดอย่างลำพองใจ ราวกับเป็นแม่ทัพที่มีชัยในศึกใหญ่ก็ไม่ปาน หลังจากจึงหันหลังกลับไปอย่างหน้าเชิดอกผึ่ง เตรียมจะพาลูกน้องของตนกลับไปเพื่อแจ้งข่าวดีแก่หม่าเต๋อฝู กู้หยุนหลานเหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย ริมฝีปากของเธอกระตุกเบา ๆ คิดอย่างจะพูดอะไรบางอย่างกับหลี่โ
น้ำเสียงที่พูดยกยอเกินจริงนั้นดังก้องในห้องประชุม และยังทำให้ฉินเจี้ยนจางที่จมดิ่งอยู่ในความคิดได้สติขึ้นมาด้วยเช่นกัน คำขยายความเพิ่มเติมล่าสุด? มาตรฐานการบังคับใช้จริง? ไอ้พวกนั้นมันคืออะไรกัน! อสูรน้อยในใจของฉินเจี้ยนจางกำลังคำราม เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลี่โม่กำลังพูดถึงอะไรอยู่ ทนายความลูกน้องของเขาหยิบมือถือออกมาเริ่มเสิร์ชMoudu และหลังจากนั้นไม่นานก็ยื่นโทรศัพท์มือถือไปเบื้องหน้าฉินเจี้ยนจางด้วยสีหน้าขมขื่น “นี่คือคำขยายความเพิ่มเติมล่าสุดและมาตรฐานการบังคับใช้จริงที่เผยแพร่ออกมาเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนพวกเรามัวแต่ยุ่งมากจนลืมอ่านเรื่องนี้ไปครับ” ฉินเจี้ยนจางรีบหยิบมือถือมาอ่านเนื้อหาบนหน้าจอ ฉินเจี้ยนจางพลันรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า "อะไรกันวะ! ทำไมเมื่อวานพวกแกถึงไม่ใส่ใจให้ดี! ที่เตรียมมาทั้งคืนสูญเปล่าแล้ว!" ฉินเจี้ยนจางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นรอยยิ้มบางของหลี่โม่ ฉินเจี้ยนจางก็ขว้างโทรศัพท์มือถืออย่างเกรี้ยวกราด “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง นี่คุณรู้ว่าพวกเรากำลังเล็งเป้ามาที่คุณตั้งแต่เมื่อคืนแล้วอย่างนั้นเหรอ!” “หึหึ กลับไปบอกเจ้านายของคุณเถอะ ถ้ามีอะไรก็งั
“ฉี่ราดบ้าบออะไร! เราไม่มีทางตกใจขนาดนั้นแน่ แกรีบ ๆ อธิบายมาให้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างไม่พอใจ หลี่โม่ชำเลืองมองครัฟต์เล็กน้อย ครัฟต์จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “คือว่าที่เรื่องราวเป็นแบบนี้ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะผมเอง” กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน หลี่โม่ไม่ได้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกเหรอ ทำไมมันถึงไปเกี่ยวข้องกับครัฟต์ได้ล่ะ! "คุณครัฟต์ คุณปกปิดความผิดให้หลี่โม่งั้นเหรอครับ? นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของตระกูลกู้ของเรานะครับ คุณไม่คิดว่าควรจะอธิบายกับเราให้กระจ่างสักหน่อยเหรอ!” ครัฟต์ยักไหล่ เขาผายมือแล้วพูดว่า “มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะผมจริง ๆ ถ้าไม่ได้คุณหลี่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างมีคุณธรรมเมื่อวานนี้ เราคงตายกันหมดแล้ว พวกคุณไม่จำเป็นต้องถามถึงรายละเอียดเหตุการณ์หรอก พวกคุณแค่ทำตามคำสั่งของคุณหลี่ก็พอแล้ว” เมื่อเผชิญกับคำพูดของครัฟต์ กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงยอมจำนนไปก่อนชั่วคราว ครุ่นคิดว่าค่อยหาวิธีสืบถามอีกทีหลังจากที่ครัฟต์กลับไปแล้ว หากไม่ทำให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น พ
หลงเทียนสิงกำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนเบาะสาน หลังจากที่ชายหนุ่มเข้ามาในห้องเขาก็เดินไปหาหลงเทียนสิงอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักครับ มีคนมาเยี่ยมเยียน เขามีผู้ติดตามมาด้วยหลายคน ผมมองเจตนาของเขาไม่ออกครับ” หลงเทียนสิงลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วขยับคอไปมา กระดูกส่วนคอส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บ “พาเข้ามาสิ” “ครับผม” ชายหนุ่มเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แล้วพาหม่าเต๋อฝูกับพ่อบ้านชราเข้ามา หลังจากที่หม่าเต๋อฝูเข้าไปข้างในแล้วเขาก็เริ่มมองพินิจหลงเทียนสิง เมื่อเห็นดวงตาของหลงเทียนสิงวูบวาบเป็นประกาย ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น สีหน้าดูดุดัน ในใจก็พลันเกิดความคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ ผมเลยอยากเห็นความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสำนักหลง" หม่าเต๋อฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ให้คนอื่นดูง่าย ๆ หรอกนะ” หลงเทียนสิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ขอเพียงเจ้าสำนักหลงมีความสามารถจริง และสามารถช่วยผมฆ่าคนคนหนึ่งได้ เรื่องเงินย่อมไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน” หม่าเต๋อฝูเอ่ยอย่างแค้นเคือง หลงเทียนสิงเริ่มสนใจขึ้นมาทันใด เขาพูดด้วยร
“ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นคนของแดนมังกรเหรอครับ?” หม่าเต๋อฝูหรี่ตาและเอ่ยถาม “ใช่ และก็ไม่ใช่ เจ้านายของผมเป็นคนของแดนมังกร ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนของแดนมังกรหรอก เพราะนั่นคือตระกูลชั้นสูงที่ลึกลับที่สุด และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนด้วย” หลงเทียนสิงกล่าวด้วยความหลงใหล แม้ว่าหลงเทียนสิงจะไม่ได้เป็นคนจากแดนมังกร แต่แค่มีอาจารย์อยู่ที่แดนมังกร หม่าเต๋อฝูก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว ถึงหลงเทียนสิงจะสังหารหลี่โม่ไม่ได้ อย่างนั้นก็ยังมีอาจารย์ของเขาอยู่ “ผมขอเสียมารยาทถามว่าอาจารย์ของเจ้าสำนักหลงนั้นคือ?” หม่าเต๋อฝูเอ่ยถาม “ชื่อของอาจารย์ผมบอกไปคุณก็คงไม่รู้จัก บรรพจารย์ของผมมีตำแหน่งเป็นมราชามังกรลำดับที่แปดในแดนมังกร คนในแดนมังกรเรียกขานเขาว่าท่านปา” หลงเทียนสิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ ในช่วงหลายปีมานี้หลงเทียนสิงหาเงินได้มากมายด้วยการอาศัยบารมีของผู้อื่นมาหลอกลวง ยิ่งกว่านั้นหลงเทียนสิงก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ห่าง ๆ ของท่านปาจริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างที่หลงเทียนสิงมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ก็เพราะเขาได้ยินข่าวลือมาว่า ท่านปากำลังเตรียมจะจัดการกับไอ้เวรคน
ชายร่างกำยำสองคนลากกล่องรถเข็นขนาดใหญ่สี่กล่องเข้ามา แล้วเปิดกล่องรถเข็นออกเบื้องหน้ากองกำลังที่มารวมตัวกันเผยให้เห็นอาวุธปืนที่แน่นขนัดอยู่ภายใน “ทุกคนได้อาวุธปืนสั้นและยาวอย่างละหนึ่งกระบอก ซองกระสุนคนละสี่อัน ส่วนทีมมีดสั้นให้พกระเบิดมือไปด้วย” หลงเทียนสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทุกคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับอาวุธปืนอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ได้รับปืนแล้วก็เริ่มตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลงเทียนสิงหยิบปืนสั้นสองกระบอกมาเหน็บไว้ที่เอวเป็นคนสุดท้าย “ภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก เป้าหมายของเราคือการจับเป็นหลี่โม่ ส่วนรายละเอียดแผนปฏิบัติการให้รอประกาศจากฉัน ขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่โซลกันก่อน” “ครับ!” หลงเทียนสิงนำกำลังคนออกจากสำนักทางประตูหลัง พวกเขาขึ้นรถมินิบัสของสำนักและมุ่งไปยังกรุงโซล ...... ใกล้ถึงเวลาเลิกงาน หวูผิงผิงก็มาถึงสำนักงานของกู้หยุนหลาน เธอเหลือบมองหลี่โม่ที่นั่งอยู่ในมุมของสำนักงานเล็กน้อย สายตาของหวูผิงผิงฉายแววดูถูกเหยียดหยามออกมาจาง ๆ แม้ว่าเธอจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้ติดต่อกับกู้หยุนหลานมาเป็นเวลานาน แต่หวูผิงผิงก็ติดตามกับข่าวคราวของกู้หยุนหลานมาตลอดโดยไม่ได้ตั้
หวูผิงผิงขับรถด้วยความเร็วสูง เธอขับรถไปพลางสาธยายว่าความวิเศษของรถเบนซ์ไปพลาง และโอ้อวดสิ่งต่าง ๆ นานาไปตลอดทาง ในที่สุดรถก็ขับเข้าไปยังรีสอร์ตตากอากาศแห่งหนึ่งที่เชิงเขาในเขตชานเมือง หวูผิงผิงจอดรถเสร็จแล้วก็ชี้ไปที่รีสอร์ตตากอากาศพลางพูดว่า “รีสอร์ตนี้จางเจียต้งเหมาหมดแล้ว วันนี้ที่นี่เป็นของพวกเราทั้งหมด เราสนุกสุดเหวี่ยงกันได้เต็มที่เลย” “ก็ไม่เท่าไรนะ” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวูผิงผิงหัวเราะเยาะเล็กน้อย แล้วเหล่มองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “คนไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่งานทำอย่างนาย ช่างคุยโวโอ้อวดเก่งเสียจริง ๆ นะ รู้ไหมว่าค่าเช่าเหมาทั้งรีสอร์ตหนึ่งคืนราคาเท่าไหร่? มันพอที่จะเป็นเงินเดือนนายไปได้สามปีห้าปีเลยเชียวล่ะ” “ฮ่าฮ่า” หลี่โม่หัวเราะและไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับหวูผิงผิง การไปโต้เถียงกับเธอมีแต่จะด้อยค่าตัวเองลงเท่านั้น เมื่อทั้งสามลงจากรถหวูผิงผิงก็เดินนำอยู่ข้างหน้า ตลอดทางเดินผ่านพนักงานบริการต่างโค้งคำนับให้พวกเขา ซึ่งทำให้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหวูผิงผิงพลันถูกเติมเต็ม มาถึงวิลล่าเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่รีสอร์ต ชายสี่คนนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน ผู้ชายที่