“ฉี่ราดบ้าบออะไร! เราไม่มีทางตกใจขนาดนั้นแน่ แกรีบ ๆ อธิบายมาให้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้น!” กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างไม่พอใจ หลี่โม่ชำเลืองมองครัฟต์เล็กน้อย ครัฟต์จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “คือว่าที่เรื่องราวเป็นแบบนี้ ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะผมเอง” กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน หลี่โม่ไม่ได้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกเหรอ ทำไมมันถึงไปเกี่ยวข้องกับครัฟต์ได้ล่ะ! "คุณครัฟต์ คุณปกปิดความผิดให้หลี่โม่งั้นเหรอครับ? นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของตระกูลกู้ของเรานะครับ คุณไม่คิดว่าควรจะอธิบายกับเราให้กระจ่างสักหน่อยเหรอ!” ครัฟต์ยักไหล่ เขาผายมือแล้วพูดว่า “มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะผมจริง ๆ ถ้าไม่ได้คุณหลี่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างมีคุณธรรมเมื่อวานนี้ เราคงตายกันหมดแล้ว พวกคุณไม่จำเป็นต้องถามถึงรายละเอียดเหตุการณ์หรอก พวกคุณแค่ทำตามคำสั่งของคุณหลี่ก็พอแล้ว” เมื่อเผชิญกับคำพูดของครัฟต์ กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ก็ทำได้เพียงยอมจำนนไปก่อนชั่วคราว ครุ่นคิดว่าค่อยหาวิธีสืบถามอีกทีหลังจากที่ครัฟต์กลับไปแล้ว หากไม่ทำให้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น พ
หลงเทียนสิงกำลังนั่งทำสมาธิอยู่บนเบาะสาน หลังจากที่ชายหนุ่มเข้ามาในห้องเขาก็เดินไปหาหลงเทียนสิงอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดว่า “ท่านเจ้าสำนักครับ มีคนมาเยี่ยมเยียน เขามีผู้ติดตามมาด้วยหลายคน ผมมองเจตนาของเขาไม่ออกครับ” หลงเทียนสิงลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วขยับคอไปมา กระดูกส่วนคอส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บ “พาเข้ามาสิ” “ครับผม” ชายหนุ่มเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว แล้วพาหม่าเต๋อฝูกับพ่อบ้านชราเข้ามา หลังจากที่หม่าเต๋อฝูเข้าไปข้างในแล้วเขาก็เริ่มมองพินิจหลงเทียนสิง เมื่อเห็นดวงตาของหลงเทียนสิงวูบวาบเป็นประกาย ทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่น สีหน้าดูดุดัน ในใจก็พลันเกิดความคาดหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ ผมเลยอยากเห็นความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสำนักหลง" หม่าเต๋อฝูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มันก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ให้คนอื่นดูง่าย ๆ หรอกนะ” หลงเทียนสิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “ขอเพียงเจ้าสำนักหลงมีความสามารถจริง และสามารถช่วยผมฆ่าคนคนหนึ่งได้ เรื่องเงินย่อมไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน” หม่าเต๋อฝูเอ่ยอย่างแค้นเคือง หลงเทียนสิงเริ่มสนใจขึ้นมาทันใด เขาพูดด้วยร
“ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักหลงเป็นคนของแดนมังกรเหรอครับ?” หม่าเต๋อฝูหรี่ตาและเอ่ยถาม “ใช่ และก็ไม่ใช่ เจ้านายของผมเป็นคนของแดนมังกร ผมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนของแดนมังกรหรอก เพราะนั่นคือตระกูลชั้นสูงที่ลึกลับที่สุด และยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกคนด้วย” หลงเทียนสิงกล่าวด้วยความหลงใหล แม้ว่าหลงเทียนสิงจะไม่ได้เป็นคนจากแดนมังกร แต่แค่มีอาจารย์อยู่ที่แดนมังกร หม่าเต๋อฝูก็รู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว ถึงหลงเทียนสิงจะสังหารหลี่โม่ไม่ได้ อย่างนั้นก็ยังมีอาจารย์ของเขาอยู่ “ผมขอเสียมารยาทถามว่าอาจารย์ของเจ้าสำนักหลงนั้นคือ?” หม่าเต๋อฝูเอ่ยถาม “ชื่อของอาจารย์ผมบอกไปคุณก็คงไม่รู้จัก บรรพจารย์ของผมมีตำแหน่งเป็นมราชามังกรลำดับที่แปดในแดนมังกร คนในแดนมังกรเรียกขานเขาว่าท่านปา” หลงเทียนสิงพูดด้วยความภาคภูมิใจ ในช่วงหลายปีมานี้หลงเทียนสิงหาเงินได้มากมายด้วยการอาศัยบารมีของผู้อื่นมาหลอกลวง ยิ่งกว่านั้นหลงเทียนสิงก็นับว่าเป็นลูกศิษย์ห่าง ๆ ของท่านปาจริง ๆ นั่นแหละ อีกอย่างที่หลงเทียนสิงมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ก็เพราะเขาได้ยินข่าวลือมาว่า ท่านปากำลังเตรียมจะจัดการกับไอ้เวรคน
ชายร่างกำยำสองคนลากกล่องรถเข็นขนาดใหญ่สี่กล่องเข้ามา แล้วเปิดกล่องรถเข็นออกเบื้องหน้ากองกำลังที่มารวมตัวกันเผยให้เห็นอาวุธปืนที่แน่นขนัดอยู่ภายใน “ทุกคนได้อาวุธปืนสั้นและยาวอย่างละหนึ่งกระบอก ซองกระสุนคนละสี่อัน ส่วนทีมมีดสั้นให้พกระเบิดมือไปด้วย” หลงเทียนสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทุกคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับอาวุธปืนอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ได้รับปืนแล้วก็เริ่มตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลงเทียนสิงหยิบปืนสั้นสองกระบอกมาเหน็บไว้ที่เอวเป็นคนสุดท้าย “ภารกิจครั้งนี้สำคัญมาก เป้าหมายของเราคือการจับเป็นหลี่โม่ ส่วนรายละเอียดแผนปฏิบัติการให้รอประกาศจากฉัน ขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่โซลกันก่อน” “ครับ!” หลงเทียนสิงนำกำลังคนออกจากสำนักทางประตูหลัง พวกเขาขึ้นรถมินิบัสของสำนักและมุ่งไปยังกรุงโซล ...... ใกล้ถึงเวลาเลิกงาน หวูผิงผิงก็มาถึงสำนักงานของกู้หยุนหลาน เธอเหลือบมองหลี่โม่ที่นั่งอยู่ในมุมของสำนักงานเล็กน้อย สายตาของหวูผิงผิงฉายแววดูถูกเหยียดหยามออกมาจาง ๆ แม้ว่าเธอจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้ติดต่อกับกู้หยุนหลานมาเป็นเวลานาน แต่หวูผิงผิงก็ติดตามกับข่าวคราวของกู้หยุนหลานมาตลอดโดยไม่ได้ตั้
หวูผิงผิงขับรถด้วยความเร็วสูง เธอขับรถไปพลางสาธยายว่าความวิเศษของรถเบนซ์ไปพลาง และโอ้อวดสิ่งต่าง ๆ นานาไปตลอดทาง ในที่สุดรถก็ขับเข้าไปยังรีสอร์ตตากอากาศแห่งหนึ่งที่เชิงเขาในเขตชานเมือง หวูผิงผิงจอดรถเสร็จแล้วก็ชี้ไปที่รีสอร์ตตากอากาศพลางพูดว่า “รีสอร์ตนี้จางเจียต้งเหมาหมดแล้ว วันนี้ที่นี่เป็นของพวกเราทั้งหมด เราสนุกสุดเหวี่ยงกันได้เต็มที่เลย” “ก็ไม่เท่าไรนะ” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวูผิงผิงหัวเราะเยาะเล็กน้อย แล้วเหล่มองหลี่โม่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “คนไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่งานทำอย่างนาย ช่างคุยโวโอ้อวดเก่งเสียจริง ๆ นะ รู้ไหมว่าค่าเช่าเหมาทั้งรีสอร์ตหนึ่งคืนราคาเท่าไหร่? มันพอที่จะเป็นเงินเดือนนายไปได้สามปีห้าปีเลยเชียวล่ะ” “ฮ่าฮ่า” หลี่โม่หัวเราะและไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับหวูผิงผิง การไปโต้เถียงกับเธอมีแต่จะด้อยค่าตัวเองลงเท่านั้น เมื่อทั้งสามลงจากรถหวูผิงผิงก็เดินนำอยู่ข้างหน้า ตลอดทางเดินผ่านพนักงานบริการต่างโค้งคำนับให้พวกเขา ซึ่งทำให้ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหวูผิงผิงพลันถูกเติมเต็ม มาถึงวิลล่าเดี่ยวที่ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่รีสอร์ต ชายสี่คนนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน ผู้ชายที่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะประสบความสำเร็จและเพื่อจะเป็นคนชั้นสูงที่มีรากฐานมั่นคงในต่างประเทศ จางเจียต้งได้ทุ่มเทไปมากมาย แม้กระทั่งชีวิตและเลือดเนื้อของเขา เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้ากู้หยุนหลานได้อย่างมั่นใจและสารภาพความรักที่เขามีต่อกู้หยุนหลาน พากู้หยุนหลานไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้ความพยายามที่ทุ่มเทไปทั้งหมดล้วนสูญเปล่าไปกับคำพูดของเพียงคำเดียวของกู้หยุนหลาน สายตาที่จางเจียต้งมองไปทางหลี่โม่ก็ยิ่งคุกรุ่นไปด้วยความโกรธแค้นขึ้นไปอีก "หยุนหลาน! เธอรู้ไหมว่าฉันชอบเธอมาตลอด! เธอรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไปต่างประเทศ! เธอรู้ไหมว่าฉันแลกเท่าไหร่เพื่อที่จะประสบความสำเร็จที่ต่างประเทศ! ทั้งหมดล้วนทำเพื่อเธอนะ!" จางเจียต้งคำราม กู้หยุนหลานส่ายหน้ามองไปยังจางเจียต้งที่กำลังโกรธเกรี้ยว เธอดึงหลี่โม่เข้ามาและพูดว่า “เราไปกันเถอะ” “จะไปงั้นเหรอ? ไม่มีทาง! วันนี้กู้หยุนหลานต้องไปกับฉัน!” จางเจียต้งพูดเสียงแข็งกร้าว กู้หยุนหลานจูงมือหลี่โม่แล้วหันหลังจากไป แต่หลังจากที่เปิดประตูก็กลับตกตะลึง ด้านนอกประตูมีชายร่างใหญ่ผมบลอนด์ตาสีฟ้ายืนอยู่สองคน ทั้ง
คาร์ลรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาควงมีดล่าสัตว์ในมือจนเห็นเป็นเงาซ้อน ก่อนฟันเข้าไปยังคอของหลี่โม่ พวกหวูผิงผิงทุกคนต่างมึนงงไปกับเงามีดของคาร์ล พวกเขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีดล่าสัตว์ในมือของคาร์ลได้ไปจ่อที่คอของหลี่โม่แล้ว หลี่โม่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับว่าตกตะลึงกับเงามีดของคาร์ลไปแล้ว นั่นจึงทำให้คาร์ลรู้สึกได้ใจขึ้นมา “สั่นเลยละสิ ไอ้คนธรรมดาเอ๊ย!” คาร์ลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา คมมีดอยู่ห่างจากคอของหลี่โม่เพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น ราวกับในวินาทีถัดไปคอของหลี่โม่จะถูกแทงลงไปทันที ในที่สุดหวูผิงผิงและคนอื่น ๆ ก็เห็นตำแหน่งของมีดล่าสัตว์และเห็นมันพุ่งไปยังคอของหลี่โม่อย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่พวกหวูผิงผิงจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา นิ้วมือของหลี่โม่ก็โผล่ขึ้นมาจากมุมที่แปลกประหลาด สองนิ้วเคลื่อนไปอย่างเบา ๆ และหนีบมีดล่าสัตว์ที่พุ่งเข้ามาเอาไว้แน่น “อ๊า!” ในตอนนั้นเองหวูผิงผิงก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ทั้งสองมือกุมหัวเอาไว้พลางคิดว่าจะเห็นฉากนองเลือดอยู่ตรงหน้า แต่เมื่อหวูผิงผิงตะโกนจบฉากนองเลือดนั้นก็ไม่ได้ปรากฏขึ้น กลับกันคาร์ลกลับดึงมีดออกอย่างรุนแรงเพื่อจะดึงมีดออก
ครูว์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้า ๆ และพูดว่า “ครับ!” ครูว์รู้ตัวตนของจางเจียต้งและยิ่งรู้ดีว่าเขาไม่สามารถขัดคำสั่งของจางเจียต้งได้ “นายแข็งแกร่งมาก การที่สามารถฆ่าคาร์ลได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ มันเกินความคาดหมายของฉันไปอย่างสิ้นเชิง แต่ฉันแข็งแกร่งกว่าคาร์ล เพราะฉันมีสายเลือดของคิงคอง!” ครูว์ยืดแขนทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อที่ใหญ่โตอยู่แล้วของเขาปูดพองขึ้น เสียงแคว่กดังขึ้น กล้ามเนื้อที่ใหญ่ขึ้นเป็นมัดฉีกสื้อคลุมของคาร์ลออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งราวกับหินทั้วทั้งร่าง ด้วยสายเลือดของคิงคอง ทำให้พลังของครูว์สามารถเพิ่มขึ้นสามถึงห้าเท่าได้ในพริบตา และยิ่งเสริมความสามารถในการต้านทานการโจมตีของเขาขึ้นไปด้วย ครูว์เคยบุกเข้าไปในที่พักของเจ้าพ่อใหญ่ที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาด้วยเลือดของคิงคองมาแล้ว แม้ว่าร่างกายจะถูกยิงกว่าสิบนัดก็ยังสามารถสังหารเจ้าพ่อใหญ่รวมทั้งกลุ่มบอดี้การ์ดของเขาจนสิ้น พลังป้องกันขั้นสุดยอดที่ไม่เกรงกลัวกระสุนนั้นทำให้ครูว์ผ่านพ้นวิกฤตมาได้หลายครั้ง ครูว์คิดว่าครั้งนี้เองก็เช่นกัน เขาจะต้องใช้พลังแห่งสายเลือดนี้สังหารหลี่โม่ให้ตายไม่มีที่ฝังได้แน่นอน