“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
“เจ้าว่าอะไรนะ”“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อเรียกข้ามามีสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”“เดิมทีจะเรียกเจ้ามาร่วมดื่มชาด้วยกัน แต่ตอนนี้ลั่วเอ๋อร์กับเยว่เฟยก็ไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็มาเดินหมากแก้เบื่อเป็นเพื่อนพ่อสักกระดานเถอะ พ่อมีเรื่องบางอย่างอยากจะให้เจ้าช่วยคิดสักหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ” สิบวันถัดมา / ประชุมราชสำนัก “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้ปัญหาชายแดนได้รับการแก้ไขแล้ว ทางต้าเสวียนยอมสวามิภักดิ์อีกทั้งภาษีค้าขายก็ได้รับการยกเว้นเพราะองค์ชายห้าที่ทรงปราดเปรื่องเป็นผู้เจรจาด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”“อืม ยอดเยี่ยม ไม่ผิดหวังจริง ๆ ประทานรางวัลหนึ่งพันตำลึงให้องค์ชายห้า “หยางผิง” ครั้งนี้เจ้าเดินทางไปไกลกว่าจะได้กลับมาก็ใช้เวลาหลายเดือนอีกทั้งยังทำผลงานที่ยอดเยี่ยม สมกับที่ข้าไว้วางใจจริง ๆ”“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ เป็นเพราะบารมีของเสด็จพ่อที่ลูกจึงได้เจรจาได้ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าพูดได้ดี สมกับเป็นทูตแห่งต้าหยวนจริง ๆ นับว่าทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม รัชทายาทเรื่องผู้อพยพจัดการไปถึงไหนแล้ว”“ทูลเสด็จพ่อ ตอนนี้ลูกสั่งการให้คนและอาจารย์บางส่วนไปสอนการทำเกษตรและการงานอาชีพ คัดเลือกผู้อพยพบางส่วนที่เต็มใจเข้ากองทัพเพื่อฝึกทหาร
“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
คอนโดเยว่เฟย “คุณพักที่นี่เหรอ”“ค่ะ ฉันซื้อเอาไว้ตอนที่แม่เสียเมื่อหลายปีก่อน”“หรูจริง ๆ ด้วยแฮะ”“คุณหมอคงไม่รังเกียจคนว่างงานที่เอาแต่เขียนนิยายอย่างฉันหรอกใช่ไหมคะ”“คุณเคยเป็นหมอมาก่อนนี่ หมอศัลยกรรมสมองคนเก่งของโรงพยาบาลชื่อดังเสียด้วยทำไมคุณถึงลาออกล่ะ”“คุณสืบประวัติฉันเหรอคะ อยากโดนลงโทษเหรอคะคุณหมอ”“ไม่ใช่นะ ผมก็แค่… คุ้นชื่อคุณก็เลยไปสืบดูเท่านั้น ทำไมคุณถึงลาออกแล้วไปเป็นแอร์โฮสเตสละครับ”“อืม คงเพราะอยากจะพบคุณมั้งคะ สวรรค์คงจะกำหนดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”“เยว่เฟย คำพูดของคุณทำไมดูโบราณจังเลยล่ะ”“อะไรนะ โบราณงั้นเหรอคะ”“ใช่ ผมว่าจะถามมานานแล้วแต่…”“เจ้าคือบุปผาในฤดู…”“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งพูด”“หมอคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่ผมเคยได้ยินประโยคนี้”“อะไรนะคะ”ว่านเยว่เฟยมองดูฮ่าวจื่อหรงที่ยืนขึ้นและจับเธอเอาไว้พร้อมกับสบตาเธออีกครั้ง“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ เยว่เฟยของข้า”ว่านเยว่เฟยยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง ฮ่าวจื่อหรงเองก็เผลอร้องไห้ออกมาเช่นกันโดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้ควรจะพูดตอนนี้กับเธอคนนี้เพียงคนเดียว“
เธอขยับหนีเขาไม่ได้ ราวกับร่างกายถูกสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งและเมื่อเขาเริ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอตัวยื่นหน้าขึ้นไปรับสัมผัสที่คุ้นเคยเพราะในชาติก่อนว่านเยว่เฟยและท่านอ๋องฮ่าวจื่อหรงมักจะแสดงความรักต่อกันตลอดเวลาที่มีโอกาส ตลอดเวลาที่แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหกสิบปี พวกเขารักกันจนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ“อือ…อ๊ะ หมอคะ”แทนที่เขาจะหยุดแต่กลับเลือกที่จะดันตัวเธอเข้าไปในห้องข้างในและเริ่มยกตัวเธอเข้าไปวางที่เตียงของเขา เสียงหายใจหอบถี่เพราะความตื่นเต้นจนเธอเองก็รู้สึกได้เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกับเขา“ว่านเยว่เฟย คุณเป็นแม่มดเหรอ”“คะ? คุณหมอคุณพูดอะไรนะคะ ฉัน…อื้อ”เธอกำต้นแขนเขาแน่น หมอฮ่าวยังสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ตอนที่วิ่งตามเธอออกมาจากโรงพยาบาลและตอนนี้ก็กำลังจูบเธออย่างกระหายและกำลังซึมซับบางอย่างพร้อมกับความสับสนของเขาที่เริ่มคลี่คลายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง“เยว่เฟย”“จื่อหรง…”“คุณต้องการผมหรือเปล่า”“ฉัน…”“เยว่เฟย ผมถามคุณว่า….”“อย่าถามอีกเลยค่ะ ฉันเป็นของคุณ… มาโดยตลอด”เสื้อกาวน์สีขาวและเสื้อโค้ชของเธอถูกโยนทิ้งไปคนละทาง ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เ
ว่านเยว่เฟยมองสบตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว ฮ่าวจื่อหรงเองก็ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับคนไข้ของตัวเอง เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ทาบปิดกันสนิทและเริ่มขยับเข้าหากันอย่างเผลอตัว ภาพในหัวก็เกิดขึ้นในสมองของหมอฮ่าวทันที“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ… เยว่เฟยของข้า”“อ๊ะ!!”ว่านเยว่เฟยตกใจเมื่อคุณหมอฮ่าวถอยออกและกึ่งผลักเธอออกมาทันทีด้วยท่าทางที่ตกใจเมื่อหันมามองหน้าเธอชัด ๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและทำไมถึงได้เห็นภาพแบบนั้นในหัวเวลาที่เขาจูบเธอ และนี่เป็นสิ่งที่หมอไม่ควรทำกับคนไข้ของตัวเอง“ผม… ผมขอโทษ ขอตัวก่อน”“คุณ…”เยว่เฟยไม่ร้องตามเขาแม้ว่าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัมผัสจากริมฝีปากนั้นคุ้นเคยจนทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่จดจำเขาได้ไม่มีวันลืม“จื่อหรง… ท่านช่างใจร้ายนัก เหตุใดต้องปล่อยข้าเอาไว้เช่นนี้ หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ข้าไม่ตามท่านมาหรอกคนใจร้าย ฮือ…”“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”ฮ่าวจื่อหรงยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าห้องคนไข้พิเศษของเขา สิ่งที่เขาเห็นตอน
แววตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตาทันที ไม่ใช่เพราะยังปรับแสงไม่ได้แต่เพราะชื่อที่พึ่งจะได้ยิน เธอพยายามลุกขึ้นมาและมองเขาใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง คุณหมอเห็นว่าเธอพยายามจะลุกขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนไข้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ทั้ง ๆ ที่หมดสติไปหลายวันอีกทั้งเธอยังบาดเจ็บตามตัวอยู่หลายแห่ง“คุณค่อย ๆ ลุกอย่าพึ่งรีบร้อน…คนไข้ครับ นี่คุณทำอะไร”“จะ…จื่อ…คุณ…. ชื่อ….”สายตาที่หันมามองสบตาเธอนั้นนิ่งไป และเมื่อทั้งคู่สบตากันก็เหมือนจะมีบางอย่างทำให้คุณหมอฮ่าวหยุดนิ่งไปเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบนี้ และรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักเธอมาก่อนทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอแน่ ๆ“ตอนนี้คนไข้รู้สึกยังไงบ้างครับ”“จื่อ.... หรง”หมอฮ่าวชะงักไปเมื่อเธอเรียกชื่อเขาเฉย ๆ อย่างคนคุ้นเคย เขาหันไปขมวดคิ้วและมองเธออีกครั้งด้วยความแปลกใจกึ่งสงสัย สีหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังคงสวยมาก ๆ เพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตสละมั้งถึงได้มีหน้าตาที่สวยแม้แต่ตอนที่ป่วยก็ยังดูสวยอยู่“คุณ รู้จักผมเหรอครับ”เพียงคำถามนั้นก็ทำเอาเธอปากสั่นและน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุดจนเขาตกใจ กล่องทิชชูถูกยกมาวางที่ตรงหน้าและเขาก็รี
โรงพยาบาล ติ๊ด ติ๊ด….. เสียงของใครคนหนึ่งที่คุยกับคนอีกหนึ่งหรือสองคนไม่แน่ใจเพราะสติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เสียงที่ดังขึ้นมาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้แม้ว่าหูจะเริ่มได้ยินเสียงที่ชัดขึ้นแต่ร่างกายกลับยังไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ เมื่อค่อย ๆ เริ่มหายใจ ลมเย็น ๆ ที่อยู่ปลายจมูกก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวคนพูดแต่เสียงที่เริ่มชัดขึ้นก็ทำให้ร่างที่นอนอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาขึ้น ราวกับหลับไปนานแสนนานและแสงที่เริ่มไม่คุ้นเคยนี้ก็ทำให้ “ว่านเยว่เฟย” หลับตาลงไปอีกครั้ง “ข้าอยู่ที่ไหน เกิดใหม่อีกแล้วงั้นหรือ ท่านพี่ท่านพาข้ามาที่ใดข้าไม่อยากจากท่านไป นานเหลือเกินแล้วที่เราจากกัน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวที่ท่านด่วนจากไปแต่ข้าไม่มีทางลืมท่าน จื่อหรง…พาข้าไปกับท่านด้วย” “เยว่เฟยยอดรักของข้า อีกไม่นานเราจะได้พบกัน…อีกครั้ง” “อย่าไปเพคะท่านพี่ รอข้าก่อนฮ่าวจื่อหรง อย่าไป!! รอข้าก่อน” “รอ…รอก่อน…หรง…จื่อหรง” เสียงงึมงำนั้นเรียกความสนใจของพยาบาลสาวที่กำลังปรับเครื่องช่วยหายใจอยู่ เมื่อคนไข้มีการตอบสนองเธอจึงเรียกคุณหมอทันที “คุณหมอคะ ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีการตอบสนอ
เยว่เฟยไม่รอช้าเพราะนางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นางผลักเขาลงไปและเริ่มใช้ลิ้นกับองค์ชายทันที อกแน่น ๆ ที่นางเฝ้าฝันว่าสักวันจะกัดจนเขาต้องร้องขอความเห็นใจ กล้ามท้องที่เป็นลอนทุกครั้งที่กระแทกเข้าออก ทั้งหมดนี้เป็นของนางเพียงคนเดียว“อ๊าา จื่อหรง อื้อ…”"เยว่เฟยเจ้างดงามยิ่งนัก เมื่อมองเช่นนี้แล้วข้าจะ…เริ่มทนไม่ไหว"“ท่าน…จะทนได้กี่ครั้งกันนะท่านพี่”“เจ้ายั่วข้าเช่นนี้ อย่าหวังว่าคืนนี้จะได้พัก”“อ๊าา ข้าเอง ข้าขยับเองเพคะ อ๊าา ท่านพี่ เสียวมาก อื้อ…”จื่อหรงเองก็เริ่มเกร็งหน้าท้องระหว่างที่นางขย่มเขาอยู่ด้านบน ทั้งท่วงท่าและลีลาที่ยั่วยวนนี้มีหรือเขาจะทนไหว ไม่นานเขาก็แตะทางสวรรค์จนนางสั่งให้เขาเป็นผู้ทำบ้างเพราะนางไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่จื่อหรงรู้สึกว่าเยว่เฟยร้องขอเรื่องแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่สามรอบนางก็เริ่มอยากจะพักแล้ว“อ๊าา แน่นดีจัง โอ๊วว ท่านพี่ เสียวมาก ลึกมาก อ๊าา…”“รอบนี้จบเราควรจะพักได้แล้ว เจ้าต้องพักแล้วเยว่เฟย”“อื้อ ก็ได้เพคะ อ๊าา เร่งอีกนิดจะ…ไม่ไหวแล้วว อ๊าา”กว่าพายุรักจะสงบลงก็เกือบจะรุ่งสาง คู่บ่าวสาวที่พึ่งเข้าพิธีส่งตัวนอนซุกในอกของกันและกันบนเตี
“อย่ามัวแต่พูด เข้ามาเสียทีข้ารอนานแล้ว อ๊าา….”สิ้นเสียงเรียกร้องนั้นเขาก็ตอบสนองนางทันทีเพราะตัวเขาเองก็อดทนรอเวลานี้มาแสนนานแล้วเช่นกัน หลายวันที่เกิดเรื่องขึ้นพวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยแม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกันก็มิอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้เพราะเกรงคนจะสงสัย“อาา แน่นมาก...”แรงกระแทกและเสียงครางดังกว่าทุกครั้งและความต้องการของทั้งสองคนก็มีมากเช่นเดียวกัน“อ๊าา ลึกอีกเพคะ อ๊าา เสียวมากเลย อื้อ…”“เยว่เฟยข้าจะทนไม่ไหว ขอแก้ตัวอีกรอบนะไม่ไหวแล้ว อาา…”ไม่นานหลังจากนั้นองค์ชายแปดก็เกร็งตัวขึ้นมา เยว่เฟยเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะถึงสวรรค์เร็วเช่นนี้ ดูท่าคืนนี้นางคงต้องเหนื่อยอย่างที่เขาพูดเอาไว้จริง ๆ เพราะองค์ชายแปดอัดอั้นมานานหลายวัน คืนนี้คงไม่ปล่อยในนางนอนกอดเขาอย่างเดียวดังเช่นหลายคืนที่ผ่านมาเป็นแน่“จื่อหรง ข้าขอพัก อ๊ะ!! อย่าพึ่งเข้ามา ข้า อ๊าา จื่อหรง”“อีกทีนะ ไม่นานหรอกรอบนี้… เยว่เฟยเจ้ารัดข้าแน่นเกินไปแล้ว”“ก็บอกแล้วว่าขอพักก่อนท่านก็ไม่ยอม อ๊าา ต้องโดนเช่นนี้แหละ”“เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสามี ไม่กลัวว่าข้าจะเอาคืนหรือ อาา เยว่เฟยทนไม่ไหวแล้วข้า…อาา!!”“แฮก แฮก…”“ข้ายังไม่เหนื่อ
“ชิงอัน… ชิงอัน!! ไม่นะ”องค์ชายแปดจับชีพจรของลู่ชิงอันและค่อย ๆ จับไหล่ของลู่อี้เทียนเป็นเชิงปลอบ เขารู้ทันทีว่านางจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว ลู่อี้เทียนกอดร่างน้องสาวเอาไว้แน่น ร่างของซูหลิงถูกยกออกมานอกห้อง บัดนี้เรื่องราวและคดีที่ต้องไขกระจ่างจนหมดสิ้นอีกทั้งตัวผู้บงการ ฆาตกรก็ล้วนแต่จบชีวิตลงที่นี่ในวันนี้จนหมดสิ้น“เยว่เฟย… เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“จื่อหรง…”“มันจบแล้วเยว่เฟย มันจบแล้ว”“ข้าส่งนางไปได้แล้ว…”ฮ่าวจื่อหรงกอดเยว่เฟยเอาไว้แน่น นางตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะไม่เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้หรือแม้แต่ชีวิตก่อนหน้านี้เองก็ตาม หลังจากข่าวการตายของซูหลิงแพร่ออกไปราวกับว่านหนิงลี่เองก็จะรับรู้ ไม่นานหลังจากนั้นนางเองก็จากไปอย่างสงบเช่นกันเพราะพิษที่นางได้รับนั้นกัดกินภายในจนมิอาจช่วยได้ อีกอย่างเมื่อไม่มีซูหลิงหนิงลี่ก็ไม่ต่างกับผู้ที่ไร้หลักยึด นางจึงไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อ “ท่านพ่อเจ้าคะ”“พ่อดีใจที่จนถึงตอนนี้ พ่อไม่เคยทำผิดต่อท่านแม่ของเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนหน้านั้นพ่อรู้สึกผิดกับท่านแม่ของเจ้าและเจ้ามาโดยตลอด”“ท่านพ่อ เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็อย่า