“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”
“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”
“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”
“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”
ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….
“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”
“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”
“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”
“ว่าอันใด”
“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”
“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”
ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ
“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”
“รอเดี๋ยว ป้าย…. อยู่ไหนละวะทำไมของเยอะแยะขนาดนี้ล่ะนี่”
“นั่นเจ้าจะทำสิ่งใด”
“ก็หาป้ายหยกให้อย่างไรเล่าท่านอยากได้มิใช่หรือ จะดีมากหากองค์ชายจะพูดออกมาว่ามันหน้าตาเช่นไร”
เยว่เฟยไม่ได้ฟังที่เขาพูดแต่รีบค้นหาของในห้องตามลิ้นชักและกล่องต่าง ๆ ของเจ้าของร่าง นางอยากให้องค์ชายแปดผู้นี้ออกไปจากห้องเสียเดี๋ยวนี้ทันทีและไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกแม้แต่เวลาเดียวเพราะเกรงว่าจะอดใจทำร้ายเขาไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายเฝ้ามองนางราวกับไม่เคยเห็นว่านเยว่เฟยมาก่อนแต่เขาไม่ทันได้คิดอะไรนางก็ตะโกนออกมา
“เจอแล้ว!! น่าจะใช่ แล้วแบบนี้น่ะหรือที่เรียกว่าป้ายหยกว่าแต่มันคืออันไหนกันล่ะ”
นางยกกล่องไม้โบราณที่มีน้ำหนักเบาแต่หรูหราเดินมาให้เขา ข้างในนั้นมีป้ายหยกเกือบยี่สิบอันอยู่ ฮ่าวจื่อหรงถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าสตรีนางนี้จะทำตัวน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ นางเก็บป้ายหยกของบุรุษเอาไว้มากถึงเพียงนี้ได้เช่นไร
“ไม่หยิบไปเล่าเพคะ ไม่มีงั้นหรือถ้าเช่นนั้นยังมีอีกกล่อง”
“ยังมี…. อีกกล่องงั้นหรือ นี่เจ้า…”
“อย่าถาม ๆ ข้าเองก็ไม่รู้ พึ่งจะมาถึงจะรู้ได้เช่นไร”
“อะไรนะ!!”
“เปล่า ๆ รีบหาของแล้วรีบกลับเถอะเสียเวลา”
“ช่างเถอะ!! หาไม่เจอก็เอาไว้วันหลังแต่ป้ายเหล่านี้….”
“ทำไม พระองค์อยากได้หรือเพคะ”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือมีสตรีที่ใดทำเช่นนี้บ้าง ไร้ยางอาย น่ารังเกียจข้ากลับล่ะ”
จื่อหรงมองนางด้วยสายตาที่เหยียดหยามและเกลียดชังอย่างเปิดเผยจนนางนึกตกใจ เขาเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้ของนางที่เดินเข้ามาข้างใน
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านทะเลาะกับองค์ชายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“อีกแล้ว? หมายความว่าอย่างไร เขากับข้าทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือ”
“แย่แล้วคุณหนู ท่านนำกล่องลับนี่ออกมาด้วยเหตุใดเจ้าคะ ไหนท่านบอกว่าท่าน…”
“อะไร อันนี้น่ะหรือก็เขาบอกว่าข้าไปขโมยป้ายหยกของเขามาก็เลยให้เขาหาดู เขาบอกไม่มี”
“คุณหนู ตายแน่ ๆ”
“อะไรตายอีกเล่า หมายถึงอันใดกันเสี่ยวชิงใครจะตายแล้วทำไมต้องตาย”
“คุณหนูเจ้าคะป้ายหยกเหล่านี้ท่านเป็นคนได้รับมาจากบุรุษทั่วเมืองหลวง ท่านจงใจแกล้งคุณหนูสกุลลู่เพื่อยืนยันว่าท่าน…เป็นสตรีงดงามอันดับหนึ่งอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
“แค่ป้ายพวกนี้น่ะหรือ ไร้สาระชะมัด”
“เจ้าค่ะ”
“หือ…”
“คุณหนูข้าหมายความว่า…”
“คุณหนูเจ้าคะ” / อี้ฝู
สาวใช้อีกคนที่ท่าทางห้าวกว่าพี่สาววิ่งเข้ามาในห้องของนางราวกับมีเรื่องด่วน
“มีอะไร แคก แคก โอย พูดเร็ว ๆ เหนื่อยจริง”
“แย่แล้วเจ้าค่ะแย่แล้ว คุณหนูรองกำลังคุยอยู่กับองค์ชายแปดในสวนเจ้าค่ะ”
“คุณหนูรอง อ่อ แล้วอย่างไรเล่า”
""คุณหนู""
สองสาวใช้ถึงกับงงกับการเปลี่ยนไปของคุณหนูของพวกนาง
“ปกติหากมีสตรีใดเข้าใกล้หรือแม้แต่กล้าทักทายองค์ชายแปด ท่านก็จะ…”
“จะอะไรล่ะ”
แต่ละวีรกรรมที่สองสาวใช้ผลัดกันเล่าให้ฟัง ทั้งการจัดการสตรีที่ลอบคุยกับองค์ชายแปดและว่านเยว่เฟยที่ชอบสังสรรค์จัดงานเลี้ยงและเที่ยวหอคณิกาชายเพื่อฟังดนตรีและดื่มสุราอีกทั้งยังชอบใช้สายตากรีดกรายมองชายอื่นเพื่อให้สนใจเพียงนางทำเอาผู้ฟังถึงกับทำตัวไม่ถูก
“ดังนั้น…คำว่าสตรีน่ารังเกียจนั่นคือคำที่เขาใช้เรียกข้าใช่หรือไม่”
เสี่ยวชิงและลี่ฝูยิ้มแห้ง ๆ ส่งมาให้เพราะเดิมทีเยว่เฟยก็ไม่ได้สนใจคำเรียกนี้เพราะนางเป็นคนไม่ใส่ใจคนหรือเสียงนินทา แต่หากได้ยินกับหูหรือเห็นกับตา นางก็ตาต่อตาฟันต่อฟันกับคนพวกนั้นเท่านั้น
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้…”
“เจ้าค่ะ”
“ดี!! เช่นนั้นก็จะร้ายแบบนี้สืบไป”
""คุณหนูกลับมาแล้ว""
“หาได้แคร์ไม่”
“อะไรนะเจ้าคะ…แคอะไรเจ้าคะ”
“เอ่อ เอาใหม่ หาได้สนใจไม่”
""เจ้าค่ะ""
ว่านเยว่เฟยลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจด้วยความโล่งใจ ชีวิตก่อนหน้านี้ตลอดเวลายี่สิบปี นางใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นมาโดยตลอดจนขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะทั้งเรื่องเรียน กีฬา และการทำงานร่วมกับคนอื่นนางก็ทำได้ดีจนมารดานางเสียชีวิต และพึ่งจะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองเลือกได้ไม่ถึงครึ่งปีก็ตายและข้ามภพมาที่นี่ ในเมื่อโชคชะตาพานางมาเป็นเช่นนี้…
“ข้าเป็นลูกคนรวยเป็นคนสวยแล้วก็เก่ง ท่านพ่อก็ตามใจและสามารถใช้ชีวิตตามที่ต้องการได้นี่แหละชีวิตที่ต้องการ ดีก็ได้ร้ายก็เป็น”
“คุณหนูแล้วองค์ชายแปดเล่าเจ้าคะจะทำเช่นไรต่อ”
“เอ้อ…เจ้าพูดมาก็ดีแล้ว ไหนเล่าป้ายของเขาน่ะ”
“คุณหนูหมายถึงตราประจำพระองค์ที่คุณหนูแอบหยิบมาจากตำหนักองค์ชายเมื่อสองเดือนก่อนหรือเจ้าคะ”
“น่าจะใช่กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเก็บเอาไว้ที่ใด”
สองสาวใช้ส่ายหน้าด้วยเพราะไม่ทราบจริง ๆ ว่าคุณหนูของนางเก็บสิ่งนี้ไว้ที่ใด
“คุณหนูไม่เคยบอกเจ้าค่ะว่าเก็บเอาไว้ที่ใด”
“อีกทั้งยังพูดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของท่านจึงได้เอาไปเก็บเองไม่เก็บรวมกับของเหล่านี้เจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ นี่นาง…เอ่อ ข้าชอบเขาถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ พวกเจ้าเล่าให้ฟังทีสิว่าคน ไม่ใช่องค์ชายแปดผู้นี้มีดีอย่างไร”
“เป็นองค์ชายที่เก่งวิชาแพทย์เจ้าค่ะ” / อี้ฝู
“ก็ไม่เท่าไหร่ข้าก็เก่งเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” / เยว่เฟย
“เป็นผู้ที่มีความรู้คงแก่เรียนเจ้าค่ะ” / เสี่ยวชิง
“ข้าเองก็สอบได้ที่หนึ่งตลอดกาลเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทองเชียวนะไม่อยากจะคุย”
“เป็นพระโอรสบุญธรรมของฝ่าบาทแต่ว่าถืออภิสิทธิ์เหนือกว่าองค์ชายที่กำเนิดโดยพระสนมเสียอีกเจ้าค่ะ”
“ข้าก็เป็น…เดี๋ยวนะ เขามิใช่พระโอรสแท้ ๆ งั้นหรือ”
“มิใช่เจ้าค่ะ เป็นบุตรของท่านหมอที่เคยช่วยเหลือฝ่าบาทครั้งที่ออกศึกเมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านหมอผู้นั้นยอมรับพิษแทนฝ่าบาทเพื่อจะได้ช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้ดังนั้นจึงรับเลี้ยงแทนและประทานยศองค์ชายให้ ซึ่งให้ความสำคัญไม่ต่างกับราชวงศ์คนอื่น ๆ เจ้าค่ะ”
“เช่นนี้นี่เอง ดังนั้นข้ากับเขาก็มิใช่ญาติกันสินะ แบบนี้นี่เองแต่ว่าข้าไปชอบเขาตรงไหนกันนะ”
“คุณหนู ท่านจำคุณหนูลู่ชิงอันไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ลู่อะไรนะ….”
“ลู่ชิงอันเจ้าค่ะ”
ชื่อนี้นางคุ้นหูนัก ดูเหมือนว่านางก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยของเจ้าของร่างเดิมเช่นกันแต่ว่าอยู่คนละจวนเช่นนี้จะเป็นไปได้เช่นไรที่นางจะเป็นผู้ลอบฆ่าว่านเยว่เฟย
“นางก็ชื่นชอบองค์ชายแปดงั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะพระโอรสของฝ่าบาทเหลือเพียงองค์ชายแปดเพียงพระองค์เดียวที่ยังมิได้เลือกคู่อภิเษกเจ้าค่ะ”
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั