จวนสกุลว่าน
“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”
“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”
“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”
“เจ้าค่ะ”
ห้องของเยว่เฟย
“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”
“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”
""หา อะไรนะเจ้าคะ""
ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด
“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”
“สะ สอนหรือเจ้าคะ”
“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”
“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”
“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”
“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที่ยวเล่นดังที่เคยเป็น หอคณิกาชายที่เคยไปบ่อย ๆ ก็ไม่เยื้องกรายเข้าไปใกล้ซึ่งถือเป็นสิ่งผิดปกติยิ่งนัก
และสิ่งที่ทำให้ซูหลิง อนุซูอยู่ไม่สุขอีกอย่างนั้นก็คือจู่ ๆ ว่านเยว่เฟยก็ลุกขึ้นมาเขียนหนังสืออ่านตำราและขลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือของจวนจนมืดทุกวัน
“ท่านแม่ ไหนท่านบอกว่าพี่ใหญ่นางเป็นคนไม่ได้เรื่องอย่างไรเล่าเจ้าคะ สองวันมานี้ข่าวลือของนางร่ำลือทั้งเมืองหลวงว่านางเปลี่ยนไปแล้ว นี่ยังจะสั่งซื้อของที่ทั้งถูกและคุณภาพดีมาให้ห้องเครื่องในจวนอีก ทุกคนต่างเริ่มชื่นชมนางเสียยกใหญ่แล้ว”
“เจ้าใจเย็น ๆ ก่อน นังอสรพิษน้อยนี่เข้าใจยากอยู่แล้วเราต้องใจเย็น ๆ สักหน่อย ตอนนี้นางยังไม่แผลงฤทธิ์กับเราก็ถือว่าดีเท่าใดแล้ว เจ้าก็อย่าพึ่งไปหาเรื่องนางเข้าก็แล้วกัน”
“ข้าน่ะหรือเจ้าคะทำเช่นนั้น นางต่างหากที่…นั่นสิท่านแม่ ตั้งแต่นางหายป่วยข้าเองก็พบปะนางน้อยมากเลยเจ้าค่ะ”
“นั่นแหละที่แม่รู้สึกแปลกใจจนน่ากลัวว่านางคงกำลังคิดแผนการร้ายอันใดอยู่กันแน่ เราต้องระวังเอาไว้เผื่อว่านางนึกอยากจะแก้แค้นขึ้นมา….”
“ท่านแม่!!”
“เอาเถอะ ๆ เจ้าไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้ท่านพ่อจะเข้าวังกับนางแต่เช้าแม่จะต้องเตรียมชุดให้พ่อเจ้า”
“เจ้าค่ะ
วังหลวง
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
ว่านเยว่เฟยเงยหน้าขึ้นมองโอรสสวรรค์ที่เคยได้อ่านแค่ในนิยายแต่บัดนี้ตรงหน้านางในตอนนี้คือฮ่องเต้แห่งต้าหยวน เยว่เฟยรู้สึกสั่นไปทั้งตัวเพราะความตื่นเต้น
“เยว่เฟยเจ้าลุกขึ้นเถอะ ยังไม่รีบจัดเก้าอี้ให้ท่านหญิงอีกงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เชิญเก้าอี้”
“เอ่อ…”
“อะไรกันเยว่เฟย นับตั้งแต่เจ้าหายป่วยดูท่าทางเจ้าเหมือนกับยังไม่ค่อยดีขึ้นเลยนะ เฉินกงกงเจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการท่านหญิงหน่อยเร็วเข้า”
“มะ ไม่ต้องเพคะฝ่าบาท คือว่าหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยแล้วก็…ตื่นเต้นเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ”
“องค์รัชทายาทเสด็จ”
เยว่เฟยถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินเสียงประกาศ นางตื่นตระหนกแม้แต่เฉินกงกงเองก็ยังแปลกใจซึ่งปกตินางกับองค์ชายรัชทายาทนั้นสนิทกันมากที่สุด
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
“รัชทายาท เจ้ารีบร้อนมาที่นี่มีเรื่องด่วนอันใดหรือ”
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ ลูกเพียงได้ยินว่าเยว่เฟยเข้าวังก็เลยรีบมาหานางเห็นน้องแปดบอกว่าวันก่อนอาการนางดีขึ้นมากแล้ว เยว่เฟยเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
“หมะ หม่อมฉันถวายบังคมองค์รัชทายาทเพคะ”
“หยางลั่ว” องค์รัชทายาทแห่งต้าหยวนถึงกับแปลกใจในท่าทีของเยว่เฟย เขาหันไปมองพระพักตร์ของฝ่าบาทที่แปลกใจไม่แพ้กัน
“อะไรกันญาติผู้น้องปกติเจ้าก็เพียงทักทายข้า ไม่เห็นจำเป็นต้องคำนับเต็มพิธีการเช่นนี้นี่ รีบลุกขึ้นมาเถอะเฉินกงกงเร็วเข้า”
องค์ชายสั่งให้เฉินกงกงพยุงนางลุกไปนั่งที่เก้าอี้ ท่าทางของเยว่เฟยแปลกไปจนทั้งคู่รู้สึกราวกับนางมิใช่ว่านเยว่เฟยที่มั่นใจและดื้อดึงคนเดิม
“อาการของเจ้าดีขึ้นแล้วงั้นหรือ”
“ทูล…เอ่อ…”
“เยว่เฟย เจ้ามักจะเรียกข้าว่าญาติผู้พี่ เรียกเช่นเดิมน่ะดีแล้วอย่าทำเช่นนี้เลยข้ารู้สึกไม่คุ้นชิน เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าหายดีแล้วจริง ๆ น่ะ”
“ญาติผู้พี่ หม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วเพคะขอบคุณที่ทรงไถ่ถาม”
“เสด็จพ่อ…”
องค์รัชทายาทหันไปขอความเห็นฝ่าบาทเพราะเขาเริ่มแปลกใจกับท่าทีที่แปลกไปของญาติผู้น้องตรงหน้าที่ประหม่าจนเริ่มทำตัวไม่ถูก หากเขามองไม่ผิดนางตัวสั่นนิด ๆ เมื่อคุยกับเขาซึ่งว่านเยว่เฟยไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
“อืม คงต้องใช้เวลาสักพักน่ะ เยว่เฟยเจ้าแน่ใจนะว่าจะไม่ให้ท่านหมอมาดูอาการหน่อย”
“ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ เพคะฝ่าบาท ที่หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าในวันนี้นอกจากรายงานเรื่องอาการป่วยแล้วยังมีอีกเรื่องที่อยากทูลพระองค์เพคะ”
“หืม ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”
เยว่เฟยใช้เวลาเข้าเฝ้าฝ่าบาทและองค์รัชทายาทอยู่ร่วมครึ่งชั่วยาม สิ่งที่นางพูดและปรึกษาเป็นเรื่องที่แม้แต่ฝ่าบาทก็ไม่คาดคิดว่าจะออกมาจากความคิดของนาง แม้แต่เฉินกงกงยังขยี้ตาบ่อย ๆ เพื่อมองให้ชัด ๆ ว่าผู้ที่กำลังพูดเรื่องสำคัญนี้คือ “ท่านหญิงว่าน” ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสตรีน่ารังเกียจผู้นั้นจริง ๆ
“ญาติผู้น้อง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใส่ใจรายละเอียดถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังคิดการรอบและป้องกันความวุ่นวายได้รอบด้าน เสด็จพ่อ ลูกเห็นด้วยกับวิธีที่เยว่เฟยเสนอมาพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม นับเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์เช่นนี้ เยว่เฟยเจ้าตกน้ำเกือบเอาชีวิตไม่รอดครั้งนี้คงได้รับพรจากสวรรค์มาสินะ”
“พระองค์ทรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้วเพคะ เป็นเพราะบารมีของฝ่าบาทและญาติผู้พี่ต่างหากเยว่เฟยจึงรอดปลอดภัยเพคะ”
“พูดได้ดี ฮ่า ๆ นี่สิถึงจะเหมือนเยว่เฟยของข้าหน่อย ไปเถอะออกไปเดินเล่นกัน รัชทายาทเจ้าก็ไปด้วยสิจะได้หารือเรื่องนี้และเริ่มทำได้เลย”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกรู้สึกตื่นเต้นและแทบจะทนรอไม่ไหวแล้วกับแผนการที่จะได้ลงมือทำพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเถอะ มาเยว่เฟย”
“เพคะฝ่าบาท”
อุทยานหลวง
“นับว่าสิ่งที่เจ้าร่ำเรียนมาไม่เสียหลาย ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ เหตุใดจึงยอมปล่อยให้ผู้อื่นดูถูกเจ้าอยู่นานเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เจ้ามิได้มีความรู้ที่ด้อยกว่าผู้อื่นเลย คิดว่าแม่ของเจ้าเอง ก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน”
“ฝ่าบาททรงประเมินหม่อมฉันสูงเกินไปเพคะ หม่อมฉันก็เพียงแค่นึกออกเท่านั้นมิได้ใช้วิชาใดเลย อีกทั้งญาติผู้พี่เองก็ทรงเก่งกาจและมีความสามารถสูง หม่อมฉันเพียงแค่เลียนแบบพระองค์เท่านั้น”
“ฮ่า ๆ เจ้านี่ยิ่งพูดยิ่งถูกใจข้านัก อ้าวนั่นจื่อหรงนี่!! เขาจะไปที่ใด กงกงเจ้าไปเรียกเขามาดื่มชาด้วยกันก่อนสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายแปดที่พึ่งกลับมาจากนอกวังหอบบางอย่างกลับมาพร้อมกับหมอหลวงของในวัง เขายืนสั่งการสักครู่และเดินมาที่ศาลากลางอุทยานหลวง ว่านเยว่เฟยมิใคร่อยากพบเขามากนักจึงรีบยกน้ำชาและดื่มโดยไม่มองหน้าเขา องค์รัชทายาทลอบสังเกตอาการของญาติผู้น้องจึงกระซิบถาม
“เยว่เฟยเจ้าเป็นอันใดไป ปกติเจ้าชอบอยู่ใกล้ ๆ จื่อหรงมิใช่หรือเหตุเอาแต่หลบหน้าเขาเล่า”
“ญาติผู้พี่ ช่วยข้าทีสิเพคะ”
“ช่วยอันใด”
“ฝ่าบาทหม่อมฉันรู้สึกปวดท้อง วันนี้คงต้องขอตัวทูลลาก่อนเอาไว้วันหลังหม่อมฉันจะแวะมาเยี่ยมพระองค์ใหม่นะเพคะ”
“อ้าว ข้าพึ่งจะเรียกจื่อหรงมาดื่มชาด้วยกันเหตุใดเจ้ารีบกลับเล่า นี่โอกาสดีเชียวนะเจ้าจะยอมพลาดหรือเยว่เฟย”
“หม่อมฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายจริง ๆ เพคะ ท่านหมอเองก็เตือนว่าช่วงนี้อย่าต้องลมมากนักเพราะสุขภาพยังไม่ค่อยแข็งแรง”
“เอ่อ ได้สิ รัชทายาทเช่นนั้นเจ้าก็ไปส่งนางเถอะ”
เยว่เฟยพยักหน้าเชิงขอร้องหยางลั่ว เขาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาพยุงนางและพาเดินออกไปทันที ฮ่าวจื่อหรงหลังจากสั่งงานหมอหลวงเสร็จแล้วจึงเดินมายังศาลาแต่เขาเห็นว่าว่านเยว่เฟยกับองค์รัชทายาทเดินกลับออกไปเสียแล้วจึงนึกแปลกใจ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
“มาสินั่งก่อน อ้อ นั่นเยว่เฟยนางรู้สึกไม่ค่อยสบายจึงให้ลั่วเอ๋อร์เดินไปส่งน่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จื่อหรงยืนมองเยว่เฟยที่รีบเดินกลับไปด้วยความรีบร้อนราวกับหนีบางอย่าง ซึ่งเขาลอบคิดในใจ
“คงมิได้จงใจหลบหน้าข้าหรอกกระมังว่านเยว่เฟย”
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั