“ช่วยด้วย!!! ใครก็ได้…..ฮืออ…..”“คุณหนู!! ไหนคนร้ายเจ้าคะ เร็ว ๆ เข้ารีบตามหา คุณหนูท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”“เสี่ยวชิง….”เยว่เฟยหันไปคว้าตัวเสี่ยวชิงเอาไว้และกอดสาวใช้เอาไว้แน่น นางเริ่มร้องไห้ทันที องครักษ์สกุลว่านวิ่งไปทั่วจวนแต่กลับไม่พบผู้ใดที่น่าสงสัย“คุณหนูเจ้าคะ”“ข้า…. เข้ามาเห็นว่าห้องโดนรื้อก็เลย…”“เฮ้อ โชคดีนะเจ้าคะที่มันไม่ได้ทำร้ายท่าน….”“เสี่ยวชิง พาข้ากลับไปที่ห้อง”“เจ้าค่ะ ๆ ค่อย ๆ ลุกนะเจ้าคะ อี้ฝูมาเร็วมาช่วยกันหน่อย”“คุณหนูเจ้าคะ มาเจ้าค่ะ”ว่านเยว่เฟยไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่านางทนให้ผู้คนยืนด่า ทนให้ป้าจางโยนผักใส่หน้าได้อย่างหน้าตาเฉยและยังสามารถอธิบายทำความเข้าใจได้ แต่กลับฮ่าวจื่อหรงเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของเขากลับทำให้นางร้องไห้ได้เช่นนี้“คุณหนู ท่านทันเห็นตัวคนร้ายหรือไม่เจ้าคะ วันนี้นายท่านอยู่ในวังไม่ได้กลับจวน”“ไม่เห็น ช่างเถอะอาจจะเป็นหนูก็ได้ ในห้องนั้นยังไม่ได้วางกับดัก ข้าเข้าไปแล้วเห็นห้องที่ของตกก็เลยตกใจไปน่ะ ซูหลิงและหนิงลี่ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่”“คุณหนู แม้จะรู้แต่พวกนางก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่าพวกนางอยากให้
ฮ่าวจื่อหรงหันไปมององครักษ์ของเขาแต่ก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกไปเพราะเขาหลุดพูดชื่อของนางออกมาเอง ไม่ทันที่จะได้กล่าวสิ่งใด หมัวมัวของตำหนักบูรพาก็เดินนำขบวนสาวใช้เข้ามา“ถวายบังคมองค์ชายแปดเพคะ”“กุ้ยหมัวมัว มีธุระอันใดหรือ”“ทูลองค์ชายแปด องค์รัชทายาทให้นำฉลองพระองค์ชุดใหม่สำหรับงานเลี้ยงมาส่งให้พระองค์เพคะ”“งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพเสด็จพ่อ ข้าเกือบลืมไปเลยขอบใจหมัวมัว จางจิ้ง”“พ่ะย่ะค่ะ เชิญพวกท่านตามข้ามาเถิดขอรับ”เหล่าขบวนสาวใช้เดินตามจางจิ้งเพื่อนำชุดไปเก็บ จื่อหรงเดินวนอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักซึ่งเป็นสวนเล็ก ๆ พร้อมกับเผยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน“งานเลี้ยงงั้นหรือ หึ ดีล่ะ”จวนเสนาบดีว่าน “คุณหนู ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะสวมชุดนี้ไป ท่านบอกว่าเลิกสวมชุดสีสดเช่นนี้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”“ทำไมเล่าก็ข้าชอบ เอาเครื่องประดับนั่นเอาหรูหราที่สุดกำไลข้อมือหยกนี่ด้วย ใช่แบบนั้นแหละ”“คุณหนูเจ้าคะ สวมหมดนี่มันออกจะมากเกินไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”“อืม ออกจะมากไปจริง ๆ เสี่ยวชิง ตามที่เจ้าเคยจัดเตรียมชุดสวมเข้าวังเวลามีงานเลี้ยงแต่เดิม พวกเจ้าทำเช่นไรไหนลองจัดให้ข้าดูหน่อยสิ”“เจ้
“อะไรนะ!! น้องแปดไม่มีทางกล่าววาจาเหลวไหลเช่นนั้นเป็นอันขาด”“องค์ชายห้า พอเถอะเพคะ”เมื่อได้ยินเพียงนามของเขาเยว่เฟยก็รู้สึกจุกที่อกมากกว่าที่จะอยากรับรู้เรื่องราวต่อไป นางรู้แล้วว่าสิ่งที่ผุดขึ้นมาเป็นเรื่องที่เจ้าของร่างคงต้องการเตือนความจำนางเมื่อเยว่เฟยกวาดตามองจึงได้เห็นว่า “ลู่ชิงอัน” สวมชุดสีฉูดฉาดและประโคมเครื่องประดับเกือบจะทั้งตัว ไม่ต่างกับที่สาวใช้ของนางเตรียมให้ในจวนก่อนที่นางจะสั่งให้ถอดเลยสักนิด เยว่เฟยจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้“ขอโทษทีเจ้าคงเข้าใจผิดแล้ว น้ำในสระนั่นมิได้ทำอันตรายข้าหรอก ข้าหายดีแล้วแต่ที่เมื่อครู่นี้เผลอสะดุดไปเพราะแสงของเครื่องประดับบนกายเจ้ามันสะท้อนเข้าตาข้ามากเกินไป ข้าไม่คิดว่าจะมีผู้ใดบ้าสมบัติจนไม่เก็บเอาไว้ในจวนและหอบมันมาสวมบนร่างกายได้มากเท่านี้มาก่อนจึงตกใจน่ะ”องค์ชายห้ากลั้นหัวเราะเมื่อสิ่งที่เยว่เฟยพูดมานั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย ลู่ชิงอันเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเพราะนางเองก็ทั้งหนักและเดินได้ช้าเพราะเครื่องประดับเหล่านี้แต่ที่นางแต่งตัวเช่นนี้ก็เพราะต้องการแข่งกับว่านเยว่เฟยเพราะนางมักจะชอบสวมเครื่องประดับมาก ๆ มาอวดผู้คน นางก็เลยทำบ้าง
ว่านเยว่เฟยถึงกับตกใจและต้องรีบเดินถอยออกไปเล็กน้อย เขามาจาก “สกุลลู่” ของลู่ชิงอันหรอกหรือ เช่นนั้นนางเองก็ต้องระวังตัวเล็กน้อยแต่ว่า….“ขออภัยที่เข้ามาโดยพลการ กระหม่อมเพียงจะมาทักทายเท่านั้น ท่านหญิงได้ข่าวว่าท่านตกน้ำครั้งก่อนไม่ทราบว่าตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วหรือยังขอรับ”“ท่านรองแม่ทัพขอบคุณที่ถามไถ่ตัวข้านั้นสบายดีหายแล้ว เช่นนั้นเรารีบเข้าไปข้างในโถงงานเลี้ยงก่อนดีหรือไม่ ฝ่าบาทจะเสด็จแล้วข้าจะกลับเข้าไปพอดี”“เอ่อ เช่นนั้นข้าน้อย…”“ไปเถอะ รีบไปตอนนี้เลยขอตัวนะเพคะองค์ชาย”ว่านเยว่เฟยเดินสะบัดหน้าหนีเขาไปทันที ฮ่าวจื่อหรงได้แต่มองนางด้วยท่าทีตกใจและโกรธเล็กน้อย เดิมทีไม่ได้อยากจะมาหาเรื่องนางแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเพียงแค่เห็นนางปากก็พลันเผลอพูดจาแย่ ๆ ออกไปเสมอ ทั้ง ๆ ที่เขาเห็นนางในวันนี้ก็รู้สึกใจเต้นแรงไม่ต่างกับในคืนนั้น..“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“เชิญท่านรองแม่ทัพ"“ลู่อี้เทียน” เดินตามว่านเยว่เฟยเข้าไปในโถงงานเลี้ยงแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่ในวันนี้เมื่อเขาเห็นว่าทั้งคู่เดินและพูดคุยกันเข้าไปในโถงงานเลี้ยงถึงได้รู้สึกหงุดหงิดจนไม่อยากอยู่ร่วมในงานเลี้ยงครั้
""เยว่เฟย""เยว่เฟยเดิมทีไม่นึกอยากจะแข่งขันเท่าใดเพราะนางอยากจะเป็นว่านเยว่เฟยคนเดิมที่ไม่เอาไหน แต่เพราะคำพูดนั้นขององค์ชายแปดที่ไม่ต่างกับการดูถูกนางว่าไม่กล้าแข่งจึงทำให้นางตัดสินใจเดิมพันในการแข่งขันครั้งนี้“เยว่เฟยเจ้าจะไหวแน่หรือ เจ้าดีดพิณไม่เป็นนี่”“นั่นสิอย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่าเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิณนั่นมีกี่สายแล้วเจ้าจะดีดได้เช่นไรกัน นั่งลงเถอะให้น้องแปดจัดการไป”“ไม่!! ในเมื่อกล้าท้าเช่นนั้นข้าก็กล้ารับคำท้า มาสิเอาเลยว่าแต่ผู้ชนะได้เงินรางวัล แล้วผู้แพ้เล่าจะทำเช่นไร”ลู่ชิงอันเดินออกมาจากที่นั่งพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นต่อแต่สงวนท่าทางได้อย่างน่าหมั่นไส้เมื่อเดินมาประชันหน้ากับว่านเยว่เฟยที่ยืนนิ่งอยู่กลางโถงงานเลี้ยง“ตำแหน่งยอดหญิงแห่งต้าหยวน พร้อมกับคุกเข่าขอโทษผู้ชนะ”“อะไรนะ! เอาตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งมาเดิมพันงั้นหรือ การประลองครั้งนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”องค์ชายแปดส่ายศีรษะช้า ๆ ให้กับความใจร้อนของเยว่เฟยที่ถูกลู่ชิงอันยั่วอารมณ์โกรธจนเสียท่า เขาพยายามจะช่วยนางแต่ว่านางกลับพาตัวเองกระโดดเข้ากองเพลิงด้วยตัวเอง“ช่างเป็นสตรีที่โง่ยิ่งนัก”“จื่อหรง ทำเช่นไรเล่าทีนี้”
เมื่อกงกงเริ่มเทตัวหมากออกมาจากไหก็แทบจะไม่ต้องนับให้เสียเวลาเลยด้วยซ้ำเพราะว่าหมากสีขาวนั้นมีมากจนหาสีดำแทบไม่เจอ“อะไรกันนี่!!”“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ”สองพ่อลูกสกุลลู่รู้สึกอับอายจนแทบอยากจะหายตัวออกจากงานเลี้ยงในวันนี้ มีเพียงสองอันเท่านั้นที่เป็นหมากสีดำ นอกนั้นเกือบทั้งหมดเป็นหมากสีขาว ฝ่าบาทพอพระทัยยิ่งนักเมื่อผลการเลือกออกมาเป็นเช่นนี้แม้ว่าพระองค์จะทราบดีอยู่แล้วจากฝีมือในการดีดพิณของเยว่เฟยแต่เพื่อตอกกลับสองพ่อลูกสกุลลู่ที่บังอาจลองดีกับพระราชอำนาจและหลอกใช้พระองค์เพื่อแก้แค้นส่วนตัว นี่คือรางวัลที่พระองค์จะมอบให้สกุลลู่“ยอดเยี่ยม แบบนี้เรียกว่า…”“ชนะอย่างใสสะอาดพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ยินดีกับสตรีอันดับหนึ่งของต้าหยวนคนใหม่ท่านหญิงว่านเยว่เฟย"""ยินดีด้วยท่านหญิงว่าน""ว่านเยว่ชิงคุกเข่าเพื่อขอบพระทัยฝ่าบาท ลู่ชิงอันโกรธจนทนอยู่ในห้องโถงไม่ได้ นางรีบหันกลับเพื่อจะเดินออกไป องค์ชายแปดทันเห็นพอดีจึงหันไปสั่งให้ทหารกักตัวนาง เมื่อดาบของทหารยกขึ้นมาขวางคนในงานก็หันไปสนใจที่ลู่ชิงอันอีกครั้ง“คุณหนูลู่ จะรีบไปไหนงั้นหรือ”“อะ องค์ชายแปด หม่อมฉันเพียงแค่….”“ข้าจำได้ว่าเจ้าเอ่ยคำ
“หากท่านรอท่านหมอ พิษได้เข้าหัวใจท่านเป็นแน่ อยู่เฉย ๆ!!”“เยว่เฟย…. อย่า!!…”เยว่เฟยก้มลงดูดพิษที่บาดแผลขององค์ชายแปดในทันทีโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากผู้อื่น ฮ่าวจื่อหรงทำตัวไม่ถูกแต่ริมฝีปากที่ดูดเลือดพิษออกจากแผลของเขานั้นช่างนิ่มนวลและทำให้เขารู้สึกบางอย่างที่ห่างไกลกับคำว่า “รังเกียจ” เมื่อเห็นนางที่ไม่ห่วงชีวิตของตัวเองและกำลังดูดพิษออกจากบาดแผลของเขา“คายออกมานี่เยว่เฟย”องค์ชายหกยื่นกระโถนให้นางคายเลือดพิษสีดำออกมา ไม่นานนางก็ดูพิษออกจนหมดและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมององค์ชายแปดอีกครั้งด้วยลมหายใจที่เริ่มหอบถี่และโรยแรงลง“พิษออกมา…หมดแล้ว”“เยว่เฟยเจ้าไม่ควร…เยว่เฟย!! เร็วเข้าพี่ห้า พี่หกท่านหมอมาหรือยัง!!”""เยว่เฟย!!""ฮ่าวจื่อหรงพยุงนางและดึงเยว่เฟยเข้ามากอดเอาไว้แน่น เขาไม่คิดว่านางจะโง่ถึงเพียงนี้ กล้าแม้แต่จะดูดพิษออกจากบาดแผลของเขาทั้ง ๆ ที่ตัวนางอาจจะโดนพิษไปด้วยแต่กลับไม่สนใจ เมื่อเขาหันไปเห็นแผลที่แขนของนางก็เริ่มตกใจมากกว่าเดิม“พี่ห้า พี่หกเร็วเข้า เยว่เฟยก็ถูกลูกดอกนั่นด้วย นางถูกพิษ!!”“อะไรนะ!!”“พี่ห้าท่านหมอมาแล้ว เร็ว ๆ เข้าท่านหมอดูอาการให้…”“ดูอาการให้เยว่เฟยก่อน
องค์ชายแปดค่อย ๆ เอนกายของนางลงไปที่เตียงช้า ๆ และห่มผ้าให้นางตามเดิม เขาเดินออกมาและให้องครักษ์ส่งคนไปแจ้งข่าวให้เสนาบดีว่านมาดูอาการนางได้แล้ว ส่วนตัวเขากลับไปที่ตำหนักจวนสกุลว่าน “คุณหนู ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ”“ที่นี่…ข้ากลับมาได้เช่นไรกัน องค์ชายแปดเล่าพิษของเขา…”“คุณหนูเจ้าคะท่านใจเย็น ๆ ก่อนเจ้าค่ะ ท่านปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ องค์ชายแปดเองก็ปลอดภัยเช่นกัน พระองค์ยังส่งยาบำรุงและยาสำหรับดื่มหลังจากที่ท่านฟื้นสั่งกำชับมากับท่านหมอว่าให้ท่านดื่มทันทีที่ฟื้นเจ้าค่ะ”อี้ฝูยกยาที่พึ่งเทจากเตาต้มมาให้ว่านเยว่เฟยดื่ม นางค่อย ๆ เป่าและดื่มจนหมดในทันทีแม้ว่าจะร้อนเพราะนางรู้ว่ายาโบราณเหล่านี้หากปล่อยให้เย็นจะดื่มยากมากและรสชาติขมเฝื่อน“ขอน้ำหน่อยสิ โอ๊ย!!”“คุณหนูเจ้าคะ แขนของท่านยังมีแผลอยู่อย่าพึ่งจับอะไรรุนแรงเลยเจ้าค่ะ”เยว่เฟยพึ่งจะสังเกตว่าแขนของนางถูกพันด้วยผ้าพันแผล “ข้านึกออกแล้วในตอนนั้นข้ายกถาดเงินขึ้นมาบังฝ่าบาทเอาไว้ก็เลยโดนอาวุธนั่นเข้า แล้วผู้ใดทำแผลแล้วเอาพิษออกให้ข้ากันล่ะ”“นายท่านบอกว่าหมอหลวงเป็นผู้รักษาให้ท่านเจ้าค่ะ”“งั้นหรือ นั่นสินะจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่า”“คุณหน
“ลู่หนิงลี่” ผลักประตูเข้ามาโดยพลการ หมอฮ่าวและเยว่เฟยที่อยู่ในห้องหันมาและจื่อหรงก็ดึงคู่หมั้นของเขามาใกล้ ๆ ทันที“หนิงลี่ เธอมาทำอะไรที่นี่ พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าหากไม่มีธุระก็ไม่ต้องมา”“พี่จื่อหรง พี่จะแต่งงานกับ...เธองั้นเหรอ”“ใช่ มีอะไรน่าตกใจกันล่ะ”“แล้วฉันล่ะ ฉันละคะพี่เอาฉันไปไว้ที่ไหนพี่จื่อหรงทั้ง ๆ ที่คุณพ่อของพี่ก็บอกว่าเรา…”“แต่พี่ก็บอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ พูดต่อหน้าเธอด้วยและวันนั้นเราก็คุยกันจบแล้ว คุณพ่อเธอก็รับรู้แล้วคุณพ่อพี่ก็เช่นกันดังนั้นระหว่างเราไม่มีอะไรเกินกว่าคำว่าคนรู้จัก”“แต่ว่าฉันรักพี่นะคะ”“ตายจริงใครมาวิ่งตามผู้ชายถึงที่นี่ล่ะเนี่ยเสียงดังออกไปถึงข้างนอก อ้อ เธออีกแล้วเหรอหนิงลี่”“พี่ชิงอัน!! ฉันเป็นน้องพี่นะ”ชื่อที่ถูกเรียกทำให้ว่านเยว่เฟยหันไปมองทันที “ลู่ชิงอัน” ในชุดกาวน์สีขาวเดินมามองหน้าผู้หญิงอีกคนที่ยืนหน้าประตูและหันเอาแฟ้มมาวางที่โต๊ะของจื่อหรง“พี่หรงนี่รายงานที่ขอไปวันก่อน ไม่มีอะไรผิดปกติวางใจได้ เธอคือ…ว่าที่พี่สะใภ้ของน้องเหรอ”“ใช่แล้วชิงอัน จริงสิเยว่เฟยนี่ลู่ชิงอัน เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ในโรงพยาบาลนี้”“อะไรนะ
คอนโดเยว่เฟย “คุณพักที่นี่เหรอ”“ค่ะ ฉันซื้อเอาไว้ตอนที่แม่เสียเมื่อหลายปีก่อน”“หรูจริง ๆ ด้วยแฮะ”“คุณหมอคงไม่รังเกียจคนว่างงานที่เอาแต่เขียนนิยายอย่างฉันหรอกใช่ไหมคะ”“คุณเคยเป็นหมอมาก่อนนี่ หมอศัลยกรรมสมองคนเก่งของโรงพยาบาลชื่อดังเสียด้วยทำไมคุณถึงลาออกล่ะ”“คุณสืบประวัติฉันเหรอคะ อยากโดนลงโทษเหรอคะคุณหมอ”“ไม่ใช่นะ ผมก็แค่… คุ้นชื่อคุณก็เลยไปสืบดูเท่านั้น ทำไมคุณถึงลาออกแล้วไปเป็นแอร์โฮสเตสละครับ”“อืม คงเพราะอยากจะพบคุณมั้งคะ สวรรค์คงจะกำหนดเอาไว้แบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”“เยว่เฟย คำพูดของคุณทำไมดูโบราณจังเลยล่ะ”“อะไรนะ โบราณงั้นเหรอคะ”“ใช่ ผมว่าจะถามมานานแล้วแต่…”“เจ้าคือบุปผาในฤดู…”“เดี๋ยว!! อย่าพึ่งพูด”“หมอคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”“เปล่า แต่ผมเคยได้ยินประโยคนี้”“อะไรนะคะ”ว่านเยว่เฟยมองดูฮ่าวจื่อหรงที่ยืนขึ้นและจับเธอเอาไว้พร้อมกับสบตาเธออีกครั้ง“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ เยว่เฟยของข้า”ว่านเยว่เฟยยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อมองไปที่เขาอีกครั้ง ฮ่าวจื่อหรงเองก็เผลอร้องไห้ออกมาเช่นกันโดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจแต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้ควรจะพูดตอนนี้กับเธอคนนี้เพียงคนเดียว“
เธอขยับหนีเขาไม่ได้ ราวกับร่างกายถูกสะกดเอาไว้ให้หยุดนิ่งและเมื่อเขาเริ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอตัวยื่นหน้าขึ้นไปรับสัมผัสที่คุ้นเคยเพราะในชาติก่อนว่านเยว่เฟยและท่านอ๋องฮ่าวจื่อหรงมักจะแสดงความรักต่อกันตลอดเวลาที่มีโอกาส ตลอดเวลาที่แต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกันมาเกือบหกสิบปี พวกเขารักกันจนลมหายใจสุดท้ายจริง ๆ“อือ…อ๊ะ หมอคะ”แทนที่เขาจะหยุดแต่กลับเลือกที่จะดันตัวเธอเข้าไปในห้องข้างในและเริ่มยกตัวเธอเข้าไปวางที่เตียงของเขา เสียงหายใจหอบถี่เพราะความตื่นเต้นจนเธอเองก็รู้สึกได้เพราะเธอเองก็เป็นเหมือนกับเขา“ว่านเยว่เฟย คุณเป็นแม่มดเหรอ”“คะ? คุณหมอคุณพูดอะไรนะคะ ฉัน…อื้อ”เธอกำต้นแขนเขาแน่น หมอฮ่าวยังสวมชุดกาวน์สีขาวอยู่ตอนที่วิ่งตามเธอออกมาจากโรงพยาบาลและตอนนี้ก็กำลังจูบเธออย่างกระหายและกำลังซึมซับบางอย่างพร้อมกับความสับสนของเขาที่เริ่มคลี่คลายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง“เยว่เฟย”“จื่อหรง…”“คุณต้องการผมหรือเปล่า”“ฉัน…”“เยว่เฟย ผมถามคุณว่า….”“อย่าถามอีกเลยค่ะ ฉันเป็นของคุณ… มาโดยตลอด”เสื้อกาวน์สีขาวและเสื้อโค้ชของเธอถูกโยนทิ้งไปคนละทาง ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เ
ว่านเยว่เฟยมองสบตาเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอจึงขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว ฮ่าวจื่อหรงเองก็ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนกับคนไข้ของตัวเอง เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ทาบปิดกันสนิทและเริ่มขยับเข้าหากันอย่างเผลอตัว ภาพในหัวก็เกิดขึ้นในสมองของหมอฮ่าวทันที“เจ้าคือบุปผาในฤดูใบไม้ผลิสำหรับข้าเสมอ… เยว่เฟยของข้า”“อ๊ะ!!”ว่านเยว่เฟยตกใจเมื่อคุณหมอฮ่าวถอยออกและกึ่งผลักเธอออกมาทันทีด้วยท่าทางที่ตกใจเมื่อหันมามองหน้าเธอชัด ๆ อีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและทำไมถึงได้เห็นภาพแบบนั้นในหัวเวลาที่เขาจูบเธอ และนี่เป็นสิ่งที่หมอไม่ควรทำกับคนไข้ของตัวเอง“ผม… ผมขอโทษ ขอตัวก่อน”“คุณ…”เยว่เฟยไม่ร้องตามเขาแม้ว่าอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สัมผัสจากริมฝีปากนั้นคุ้นเคยจนทำให้เธอร้องไห้ออกมาอีกครั้ง คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่จดจำเขาได้ไม่มีวันลืม“จื่อหรง… ท่านช่างใจร้ายนัก เหตุใดต้องปล่อยข้าเอาไว้เช่นนี้ หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ข้าไม่ตามท่านมาหรอกคนใจร้าย ฮือ…”“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!”ฮ่าวจื่อหรงยืนหน้าแดงอยู่ที่หน้าห้องคนไข้พิเศษของเขา สิ่งที่เขาเห็นตอน
แววตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตาทันที ไม่ใช่เพราะยังปรับแสงไม่ได้แต่เพราะชื่อที่พึ่งจะได้ยิน เธอพยายามลุกขึ้นมาและมองเขาใกล้ ๆ ชัด ๆ อีกครั้ง คุณหมอเห็นว่าเธอพยายามจะลุกขึ้นมาซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดที่คนไข้จะสามารถลุกขึ้นมาได้ทั้ง ๆ ที่หมดสติไปหลายวันอีกทั้งเธอยังบาดเจ็บตามตัวอยู่หลายแห่ง“คุณค่อย ๆ ลุกอย่าพึ่งรีบร้อน…คนไข้ครับ นี่คุณทำอะไร”“จะ…จื่อ…คุณ…. ชื่อ….”สายตาที่หันมามองสบตาเธอนั้นนิ่งไป และเมื่อทั้งคู่สบตากันก็เหมือนจะมีบางอย่างทำให้คุณหมอฮ่าวหยุดนิ่งไปเช่นกัน ทำไมเขาถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแบบนี้ และรู้สึกเหมือนกับเคยรู้จักเธอมาก่อนทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเจอเธอแน่ ๆ“ตอนนี้คนไข้รู้สึกยังไงบ้างครับ”“จื่อ.... หรง”หมอฮ่าวชะงักไปเมื่อเธอเรียกชื่อเขาเฉย ๆ อย่างคนคุ้นเคย เขาหันไปขมวดคิ้วและมองเธออีกครั้งด้วยความแปลกใจกึ่งสงสัย สีหน้าของเธอซีดเซียวแต่ยังคงสวยมาก ๆ เพราะเธอเป็นแอร์โฮสเตสละมั้งถึงได้มีหน้าตาที่สวยแม้แต่ตอนที่ป่วยก็ยังดูสวยอยู่“คุณ รู้จักผมเหรอครับ”เพียงคำถามนั้นก็ทำเอาเธอปากสั่นและน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุดจนเขาตกใจ กล่องทิชชูถูกยกมาวางที่ตรงหน้าและเขาก็รี
โรงพยาบาล ติ๊ด ติ๊ด….. เสียงของใครคนหนึ่งที่คุยกับคนอีกหนึ่งหรือสองคนไม่แน่ใจเพราะสติที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เสียงที่ดังขึ้นมาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้แม้ว่าหูจะเริ่มได้ยินเสียงที่ชัดขึ้นแต่ร่างกายกลับยังไม่ตอบสนองอย่างที่ต้องการ เมื่อค่อย ๆ เริ่มหายใจ ลมเย็น ๆ ที่อยู่ปลายจมูกก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามขนาดนั้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นตัวคนพูดแต่เสียงที่เริ่มชัดขึ้นก็ทำให้ร่างที่นอนอยู่ค่อย ๆ กะพริบตาขึ้น ราวกับหลับไปนานแสนนานและแสงที่เริ่มไม่คุ้นเคยนี้ก็ทำให้ “ว่านเยว่เฟย” หลับตาลงไปอีกครั้ง “ข้าอยู่ที่ไหน เกิดใหม่อีกแล้วงั้นหรือ ท่านพี่ท่านพาข้ามาที่ใดข้าไม่อยากจากท่านไป นานเหลือเกินแล้วที่เราจากกัน แม้จะเพียงแค่ปีเดียวที่ท่านด่วนจากไปแต่ข้าไม่มีทางลืมท่าน จื่อหรง…พาข้าไปกับท่านด้วย” “เยว่เฟยยอดรักของข้า อีกไม่นานเราจะได้พบกัน…อีกครั้ง” “อย่าไปเพคะท่านพี่ รอข้าก่อนฮ่าวจื่อหรง อย่าไป!! รอข้าก่อน” “รอ…รอก่อน…หรง…จื่อหรง” เสียงงึมงำนั้นเรียกความสนใจของพยาบาลสาวที่กำลังปรับเครื่องช่วยหายใจอยู่ เมื่อคนไข้มีการตอบสนองเธอจึงเรียกคุณหมอทันที “คุณหมอคะ ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีการตอบสนอ
เยว่เฟยไม่รอช้าเพราะนางเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นางผลักเขาลงไปและเริ่มใช้ลิ้นกับองค์ชายทันที อกแน่น ๆ ที่นางเฝ้าฝันว่าสักวันจะกัดจนเขาต้องร้องขอความเห็นใจ กล้ามท้องที่เป็นลอนทุกครั้งที่กระแทกเข้าออก ทั้งหมดนี้เป็นของนางเพียงคนเดียว“อ๊าา จื่อหรง อื้อ…”"เยว่เฟยเจ้างดงามยิ่งนัก เมื่อมองเช่นนี้แล้วข้าจะ…เริ่มทนไม่ไหว"“ท่าน…จะทนได้กี่ครั้งกันนะท่านพี่”“เจ้ายั่วข้าเช่นนี้ อย่าหวังว่าคืนนี้จะได้พัก”“อ๊าา ข้าเอง ข้าขยับเองเพคะ อ๊าา ท่านพี่ เสียวมาก อื้อ…”จื่อหรงเองก็เริ่มเกร็งหน้าท้องระหว่างที่นางขย่มเขาอยู่ด้านบน ทั้งท่วงท่าและลีลาที่ยั่วยวนนี้มีหรือเขาจะทนไหว ไม่นานเขาก็แตะทางสวรรค์จนนางสั่งให้เขาเป็นผู้ทำบ้างเพราะนางไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่จื่อหรงรู้สึกว่าเยว่เฟยร้องขอเรื่องแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เพียงแค่สามรอบนางก็เริ่มอยากจะพักแล้ว“อ๊าา แน่นดีจัง โอ๊วว ท่านพี่ เสียวมาก ลึกมาก อ๊าา…”“รอบนี้จบเราควรจะพักได้แล้ว เจ้าต้องพักแล้วเยว่เฟย”“อื้อ ก็ได้เพคะ อ๊าา เร่งอีกนิดจะ…ไม่ไหวแล้วว อ๊าา”กว่าพายุรักจะสงบลงก็เกือบจะรุ่งสาง คู่บ่าวสาวที่พึ่งเข้าพิธีส่งตัวนอนซุกในอกของกันและกันบนเตี
“อย่ามัวแต่พูด เข้ามาเสียทีข้ารอนานแล้ว อ๊าา….”สิ้นเสียงเรียกร้องนั้นเขาก็ตอบสนองนางทันทีเพราะตัวเขาเองก็อดทนรอเวลานี้มาแสนนานแล้วเช่นกัน หลายวันที่เกิดเรื่องขึ้นพวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนเลยแม้ว่าจะอยู่ในห้องเดียวกันก็มิอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้เพราะเกรงคนจะสงสัย“อาา แน่นมาก...”แรงกระแทกและเสียงครางดังกว่าทุกครั้งและความต้องการของทั้งสองคนก็มีมากเช่นเดียวกัน“อ๊าา ลึกอีกเพคะ อ๊าา เสียวมากเลย อื้อ…”“เยว่เฟยข้าจะทนไม่ไหว ขอแก้ตัวอีกรอบนะไม่ไหวแล้ว อาา…”ไม่นานหลังจากนั้นองค์ชายแปดก็เกร็งตัวขึ้นมา เยว่เฟยเองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะถึงสวรรค์เร็วเช่นนี้ ดูท่าคืนนี้นางคงต้องเหนื่อยอย่างที่เขาพูดเอาไว้จริง ๆ เพราะองค์ชายแปดอัดอั้นมานานหลายวัน คืนนี้คงไม่ปล่อยในนางนอนกอดเขาอย่างเดียวดังเช่นหลายคืนที่ผ่านมาเป็นแน่“จื่อหรง ข้าขอพัก อ๊ะ!! อย่าพึ่งเข้ามา ข้า อ๊าา จื่อหรง”“อีกทีนะ ไม่นานหรอกรอบนี้… เยว่เฟยเจ้ารัดข้าแน่นเกินไปแล้ว”“ก็บอกแล้วว่าขอพักก่อนท่านก็ไม่ยอม อ๊าา ต้องโดนเช่นนี้แหละ”“เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสามี ไม่กลัวว่าข้าจะเอาคืนหรือ อาา เยว่เฟยทนไม่ไหวแล้วข้า…อาา!!”“แฮก แฮก…”“ข้ายังไม่เหนื่อ
“ชิงอัน… ชิงอัน!! ไม่นะ”องค์ชายแปดจับชีพจรของลู่ชิงอันและค่อย ๆ จับไหล่ของลู่อี้เทียนเป็นเชิงปลอบ เขารู้ทันทีว่านางจะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว ลู่อี้เทียนกอดร่างน้องสาวเอาไว้แน่น ร่างของซูหลิงถูกยกออกมานอกห้อง บัดนี้เรื่องราวและคดีที่ต้องไขกระจ่างจนหมดสิ้นอีกทั้งตัวผู้บงการ ฆาตกรก็ล้วนแต่จบชีวิตลงที่นี่ในวันนี้จนหมดสิ้น“เยว่เฟย… เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”“จื่อหรง…”“มันจบแล้วเยว่เฟย มันจบแล้ว”“ข้าส่งนางไปได้แล้ว…”ฮ่าวจื่อหรงกอดเยว่เฟยเอาไว้แน่น นางตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะไม่เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนในชีวิตนี้หรือแม้แต่ชีวิตก่อนหน้านี้เองก็ตาม หลังจากข่าวการตายของซูหลิงแพร่ออกไปราวกับว่านหนิงลี่เองก็จะรับรู้ ไม่นานหลังจากนั้นนางเองก็จากไปอย่างสงบเช่นกันเพราะพิษที่นางได้รับนั้นกัดกินภายในจนมิอาจช่วยได้ อีกอย่างเมื่อไม่มีซูหลิงหนิงลี่ก็ไม่ต่างกับผู้ที่ไร้หลักยึด นางจึงไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อ “ท่านพ่อเจ้าคะ”“พ่อดีใจที่จนถึงตอนนี้ พ่อไม่เคยทำผิดต่อท่านแม่ของเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนหน้านั้นพ่อรู้สึกผิดกับท่านแม่ของเจ้าและเจ้ามาโดยตลอด”“ท่านพ่อ เรื่องทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้วนะเจ้าคะ ท่านก็อย่า