“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”
“เอ่อ…”
“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”
อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย
“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"
“หา อะไรนะ นี่…”
“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”
“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก”
“โธ่ ทำไมเจ้าไม่บอกแม่เล่า ให้ข้าเข้าใจท่านหญิงผิด ข้า…”
“อย่าคิดมากเลยตอนนี้ท่านก็เข้าใจข้าแล้วนี่ ทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล ในเมื่อไม่มีอะไรแล้วให้ข้าซื้อผักได้หรือยัง”
ว่านเยว่เฟยหันไปยิ้มให้กับสองแม่ลูกที่ยิ้มกลับมาด้วยความตื้นตันที่นางทั้งไม่เอาเรื่องและยังขอซื้อผักทั้งหมดกลับไปที่จวนเพื่อไม่ให้แม่ของอี้เหนียงต้องยืนตากแดดขายอีก
“ยานั่นกินหลังอาหาร ท่านต้องพักผ่อนให้มากจากนี้อย่าได้กังวล ผักที่ท่านปลูกหากขายไม่ได้ ก็นำไปส่งที่จวนเสนาบดีข้าจะรับเอาไว้ทั้งหมด คนในจวนข้ามีหลายครัวแค่ผักของท่านไม่พอเลี้ยงหรอกส่งไปได้เลย”
“ท่านหญิงพูดจริงหรือเจ้าคะ”
“ผักของท่านมองดูก็รู้ว่าปลูกเอง ทั้งสดและใหม่อีกอย่างดูได้จากสีของมะเขือเทศนี่ ข้าคิดว่าผักของท่านคุณภาพดีมากเลยล่ะ ข้ารับซื้อทั้งหมด”
สีหน้าของแม่ค้าขายผักยิ้มทั้งน้ำตาพร้อมกับสายตาที่เปลี่ยนไปทันทีเมื่อมองมาที่ว่านเยว่เฟยอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านหญิงเจ้าค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ”
“อี้เหนียงจากนี้เจ้าดูแลแม่เจ้าให้ดี คนชั่วนั้นออกจากชีวิตไปถือว่าสวรรค์ให้โอกาสเจ้าเริ่มต้นใหม่ขอให้เจ้าพบคนที่ดี อ้อ แล้วยานั่นหากว่าหมดก็ส่งคนมาบอกข้าจะนำมาเพิ่มให้ เสี่ยวชิงเจ้าจัดการด้วย”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าไปก่อนนะ”
“ช้าก่อนท่านหญิงเจ้าคะ”
“อะไรหรือ”
สตรีสูงวัยยื่นผ้าสะอาด แม้ว่ามันจะดูมอมไปสักหน่อยแต่ก็สะอาดที่สุดที่นางมีแล้วยื่นมาให้นาง
“ข้าขอโทษท่านหญิงจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้ามันโง่มองคนเพียงแค่ตาเห็น ท่านโปรดเช็ดหน้าของท่านเสียก่อน แต่หากว่าท่านหญิงรังเกียจ…”
เยว่เฟยหยิบผ้านั้นมาและเช็ดไปที่ใบหน้าของนางทันที ผู้ที่ได้พบเห็นต่างเริ่มพูดกันไปต่าง ๆ นานา ถึงความเปลี่ยนไปของท่านหญิงว่าผู้นี้
“กลิ่นหอมจริง ท่านป้าท่านใช้สิ่งใดอบผ้านี้งั้นหรือ”
“หาได้ไม่เจ้าค่ะ นี่คือกลิ่นดอกไม้ที่ข้านำมาตากแห้งและใช้อบผ้าเจ้าค่ะก็เลย…”
“ท่านป้าข้าชอบกลิ่นนี้ยิ่งนัก หากเป็นไปได้ท่านช่วยชี้แนะและสอนข้าได้หรือไม่ ข้าอยากทำมาขาย”
“จริงหรือเจ้าคะท่านหญิง หากว่าท่านหญิงกล่าวเช่นนั้นข้าย่อมยินดีอย่างยิ่ง ท่านหญิงท่านช่าง…”
“พอแล้ว ๆ เช่นนั้นข้าจะหาเวลาไปเรียนวิธีอบผ้ากับท่าน หากว่าท่านไม่รังเกียจ”
“ไม่เจ้าค่ะ ไม่รังเกียจ ข้ารู้สึก ฮือ…. อี้เหนียงเราได้พบทางสว่างแล้วจริง ๆ ฮือ”
“ขอบคุณท่านหญิงว่านเจ้าค่ะ"
“เอาล่ะ ๆ เจ้าก็จัดการเรื่องผักนี่เถอะ ข้ากลับล่ะอี้ฝูอย่าลืมจ่ายเงินให้พวกนางด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ”
ผู้คนเริ่มแหวกทางให้ว่านเยว่เฟยเดินออกมาพร้อมกับเสียงชื่นชมที่ไม่ขาดปาก เรื่องนี้คงเป็นที่พูดถึงไปทั่วเมืองหลวงอีกนานหลังจากนี้ไป แม้แต่ผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์เงียบ ๆ อยู่บนชั้นสองของโรงน้ำชาชื่อดังก็ต้องแปลกใจกับท่าทางที่แปลกไปเช่นนี้ของผู้ที่เขาเคยนึกรังเกียจและเป็นสตรีที่เขาไม่อยากพบเจอมากที่สุด
“เป็นไปได้เช่นไร เจ้ามีแผนการอันใดกันแน่ว่านเยว่เฟย”
“องค์ชาย ดูเหมือนว่าผู้คนจะชื่นชมท่านหญิงไม่น้อยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปเถอะ”
“ไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ว่านเยว่เฟยเดินออกมาพร้อมกับผ้าที่เช็ดและดมไปอีกครั้ง นางรู้สึกดีที่ได้ดมกลิ่นหอมนี้เพราะกลิ่นคล้ายดอกมะลิที่นางชื่นชอบ
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจะกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม กลับเลยก็ได้ตัวเปื้อนเช่นนี้คงจะเดินลำบากแล้วล่ะ”
“ท่านก็ยังอุตส่าห์ซื้อของนางอีกนะเจ้าคะ”
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดนี่ เอ๊ะ แต่ว่าไม่ได้เปื้อนมาก เราก็แค่ไปซื้อชุดใหม่ก็พอแล้วนี่ รู้จักร้านหรือไม่”
“รู้เจ้าค่ะ ทางนี้เจ้าค่ะ”
พวกนางเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าและโชคดีที่ทางร้านมีห้องให้เปลี่ยน เยว่เฟยจึงสามารถทำความสะอาดร่างกายได้ เมื่อเปลี่ยนชุดออกมาและเลือกซื้อชุดอีกสามสี่ชุดให้ร้านไปส่งที่จวน สาวใช้ต่างก็ลงความเห็นว่าชุดที่นางเลือกแม้ว่าสีจะไม่จัดจ้านเหมือนเคยแต่พอสวมแล้วก็งดงามยิ่งนัก
“คุณหนู ไม่คิดเลยว่าท่านสวมชุดเรียบ ๆ เช่นนี้ก็ดูน่านับถือไม่ต่างกับเหล่าสตรีในวังหลวงเลยนะเจ้าคะ”
“งั้นหรือ ชุดที่มีอยู่ก็สวยมากนะข้าเองก็ชอบแต่ก็อยากเปลี่ยนบ้างจะได้ไม่ซ้ำซาก ไปดื่มชากันสักหน่อยเถอะ”
“เจ้าค่ะ ทางนี้เจ้าค่ะ”
พวกนางเดินออกมาจากร้านตัดชุด สายตาของบุรุษหนุ่มต่างมองไปที่นางทั้งสิ้นเพราะความงามของว่านเยว่เฟยเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้อีกทั้งในยามนี้ที่นางพูดคุยกับสาวใช้ของนางยิ่งชวนให้นางน่ามองมากกว่าท่านหญิงที่เอาแต่เดินชายตามองบุรุษไปทั่วเหมือนเช่นเคย
“นั่นท่านหญิงว่านมิใช่หรือ”
“ใช่ ๆ แต่เหตุใดวันนี้นางเดินไม่มองผู้คนเลยเล่า”
“เจ้าไม่รู้อะไร เมื่อครู่นี้….”
เรื่องที่นางช่วยสองแม่ลูกเอาไว้และอธิบายเกี่ยวกับชายหนุ่มมากรักที่หักหลังบุตรสาวของแม่เฒ่าขายผักร่ำลือกันทั้งตลาด ความสามารถและน้ำใจที่ท่านหญิงมอบทั้งยาและซื้อผักของพวกนางอีกทั้งยังขอให้แม่เฒ่าผู้นั้นสอนนางเป็นเรื่องที่ชวนเหลือเชื่อที่ควรจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงแห่งนี้
“อะไรนะคนอย่างท่านหญิงว่านเยว่เฟยน่ะหรือ ยอมก้มหัวให้ชาวบ้านต่ำต้อยให้สอนนาง”
“องค์ชาย เหตุใดหลังจากท่านหญิงว่านหายป่วยก็ดูเหมือนว่า…”
“เจ้าก็คิดเช่นเดียวกับข้าสินะจางจิ้ง ข้าก็คิดว่านางแปลกไปแต่ข้ามิอาจไว้ใจเล่ห์เหลี่ยมมารยาสตรีเช่นนาง ข้าเชื่อว่านางก็ยังเป็นว่านเยว่เฟยคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
จวนแม่ทัพลู่
“เจ้าต้องฟังผิดแน่”
“ไม่ผิดเจ้าค่ะคุณหนู ตอนนี้ข่าวลือที่ว่าท่านหญิงว่านเยว่เฟยเปลี่ยนไปราวกับเป็นนางฟ้าแพร่ไปทั่วเมืองหลวงเลยเจ้าค่ะ”
“เจ็บใจนัก!! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“ลู่ชิงอัน” บุตรีแม่ทัพใหญ่กององครักษ์ในวังโมโหอยู่ในจวนจนไม่เป็นอันทำสิ่งใดเมื่อได้ยินข่าวจากสาวใช้ที่ออกไปรับของนอกจวนมาถึงเรื่องราวของว่านเยว่เฟย
“ข่าวนี้ไปถึงในวังหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ คาดว่าคงอีกไม่นาน แต่ว่าที่นั่นอยู่ใกล้โรงน้ำชาต้าเหลียงที่องค์ชายแปดชอบแวะไปนะเจ้าคะ”
“เหอะ ข้านึกแล้วเชียว นี่ก็คงเป็นหนึ่งในแผนการของนางที่จะเรียกร้องความสนใจจากองค์ชายแปดเท่านั้นเอง เจ้าให้คนไปสืบมาว่าผู้ที่นางคุยด้วยเป็นคนที่นางว่าจ้างมาให้แสดงละครหรือไม่ หากว่ามีพิรุธข้าจะใช้เรื่องนี้เล่นงานนาง”
“เจ้าค่ะ”
ท้ายตลาด
“ที่นี่ขนมเยอะเสียจริง เอ๋…สุดทางนั่นคือที่ใดหรือ เราไป…”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ทำไม มีอะไรอี้ฝูเจ้าดึงข้าทำไม”
“ที่นั่นเป็นค่ายอพยพจากเมืองเฉินตูที่พึ่งมีสงครามไปเจ้าค่ะ หากท่านไปในตอนนี้เกรงว่าจะไม่ดีนัก”
"ค่ายผู้อพยพงั้นหรือ"
“คุณหนู หรือว่าท่านกำลังคิดจะช่วยเหลือผู้อพยพหรือเจ้าคะ”
“ข้าหรือ”
“เจ้าค่ะ บ่าวเห็นท่านช่วยสองแม่ลูกเมื่อครู่นี้ก็เลยคิดว่า…”
“ไม่ เหตุใดข้าต้องช่วยด้วยล่ะเรื่องแบบนั้นมันเกินกำลังพวกเรามากเกินไปไม่ใช่หน้าที่อย่าหาเรื่องเลยรีบกลับกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสามเดินกลับไปยังรถม้าของสกุลว่านทันที เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไป ผู้ที่ยืนอยู่ที่มุมถนนก็เดินออกมา
“ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรจางจิ้ง ว่านางไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลย สิ่งที่นางทำก็แค่เสแสร้งเพื่อตบตาผู้อื่นเท่านั้น แต่นางหาได้ตบตาข้าได้ไม่”
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
จวนสกุลว่าน“เยว่เฟยเจ้าเองก็หายดีแล้วฝ่าบาททรงถามพ่อหลายคราแล้ว ถ้าอย่างไรเจ้าก็หาโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์สักหน่อย ฝ่่าบาทจะได้ลดความกังวลลง”“ฝ่าบาทหรือเจ้าคะท่านพ่อ”“ใช่ เจ้าแปลกใจอันใด เดิมทีเจ้าก็เป็นหลานรักของฝ่าบาทมีผู้ใดในต้าหยวนนี้จะมิรู้บ้าง”“เจ้าค่ะ”ห้องของเยว่เฟย“เข้าเฝ้างั้นหรือ เช่นนั้นต้องทำอย่างไรบ้างต้องถอนสายบัวหรือไม่”“คุณหนูจะนำสายบัวไปถวายฝ่าบาทด้วยเหตุใดเจ้าคะ พระองค์คงไม่โปรดนักหรอกเจ้าค่ะ”“ไม่ใช่เสี่ยวชิง เฮ้อ…ข้า คือว่าเจ้าเคยเข้าเฝ้าหรือไม่ ข้าลืมวิธีถวายบังคมไปสิ้นแล้ว”""หา อะไรนะเจ้าคะ""ทั้งเสี่ยวชิงและอี้ฝูต่างก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำกล่าวของคุณหนูที่เอ่ยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับสารภาพผิด“เสี่ยวชิง สอนข้าหน่อยสิ”“สะ สอนหรือเจ้าคะ”“ใช่ สอนข้าทีสิ เวลาเข้าเฝ้าข้าจะได้ไม่ทำผิดพลาดจนถูกสั่งทำโทษ”“ท่านเป็นถึงท่านหญิงเชียวนะนะเจ้าคะคุณหนู ให้บ่าวสอนเช่นนี้...”“ตกลงจะไม่สอนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะไปฟ้องแม่นม”“อ๊ะ!! สอนเจ้าค่ะ สอน…”เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและทำให้คนทั้งจวนงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมที่แปลกไปของท่านหญิงเพราะก่อนเข้าเฝ้าเพียงสองวันนางไม่ออกไปเที
“นางก็พูดถูกนะ นั่นสินางก็พูดถูก”“เอ่อ…”“ท่านป้า หากว่าข้าเพียงพูดคุยกับลูกเขยท่านไม่กี่คำแล้วเขาถึงกับเลิกรากับบุตรสาวท่าน นั่นแสดงว่าเขาไม่จริงใจกับลูกสาวท่านตั้งแต่แรก เป็นโชคดีของนางที่มิได้มีบุตรกับคนใจโลเลเช่นนั้น อีกอย่างท่านคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นเฉพาะกับข้างั้นหรือ ต่อให้มิใช่ข้าเชื่อได้เลยว่าสันดานของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยน”อี้เหนียงเริ่มร้องไห้ออกมา และเดินมาตรงหน้าว่านเยว่เฟย“ท่านหญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลังจากที่เขาใช้ท่านเป็นข้ออ้างเพื่อเลิกกับข้า เพราะคำว่า "ท่านหญิง" ทำให้ข้าไม่กล้าห้ามเขา แต่ข้ากลับไปจับได้ทีหลังว่าเขาแอบนอกใจข้ามานานแล้วและยังมีผู้หญิงอีกหลายคน ข้าไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับท่านแม่เกรงว่าอาการของท่านแม่จะทรุดก็เลย…. ได้แต่เงียบเอาไว้และให้ท่านแม่เข้าใจว่าเขาถูกท่านหญิงแย่งสามีไป นางจะได้ไม่ต้องถามมากความอีกคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะมาที่นี่"“หา อะไรนะ นี่…”“อีเหนียงเจ้าพูดจริงงั้นหรือแล้วเจ้าบ้านั่นทิ้งเจ้าไปไม่เกี่ยวกับนางจริง ๆ หรือ”“ท่านแม่... ข้าขอโทษเจ้าค่ะในตอนนั้นข้าจำเป็นต้องโกหกเพราะอาการของท่านไม่ดีขึ้นก็เลยไม่อยากให้ท่านคิดมาก” “โธ่ ทำไมเจ้าไม
“มิน่าล่ะ เป็นแบบนี้นี่เอง”“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะข้าจะยกสำรับเข้ามาให้”“พอพูดแล้วก็รู้สึกเลยองค์ชายนั่นกลับไปแล้วใช่หรือไม่”“คุณหนูเรียกขานเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ องค์ชายแปดเจ้าค่ะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องผู้ชายเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้หิวข้าวแล้ว”“เจ้าค่ะ ๆ อี้ฝูไปยกสำรับมาเร็ว ๆ เข้า ข้าจะไปดูยาที่ต้มว่าเสร็จหรือยัง”หลังจากการมาเยือนขององค์ชายแปดในวันนั้น อีกราว ๆ สามวันฝ่าบาทก็พระราชทานอาหารบำรุงกำลังมาให้ที่จวนเสนาบดีมากมาย ว่านเยว่เฟยพักจนหายดีแล้ว นางมักจะเรียกเสี่ยวชิงมาเล่าเรื่องของเจ้าของร่างให้ฟัง นางเป็นบุตรคนโตของเสนาบดีว่านและองค์หญิงหยางเนี่ยเฟย น้องสาวของฮ่องเต้ หลังจากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ “ซูหลิง” ซึ่งเป็นอนุก็ให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนที่อายุน้อยกว่าเยว่เฟยสามปี “ว่านหนิงลี่” ซึ่งทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเยว่เฟยมาตลอด แม้ว่าซูหลิงจะไม่เคยสู้เยว่เฟยได้แต่ก็มักจะหาเรื่องทำร้ายนางมีเหตุผลในการเอาตัวรอดไปได้เสมอ“แล้วท่านพ่อไม่เชื่อข้าหรือ”“อนุซูมีข้ออ้างว่าสั่งสอนเจ้าค่ะ นายท่านก็เลยไม่ได้ใส่ใจ”“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเพราะเหตุใด ท่านพ่อละเลยถึงได้เป็นเช่นนี้”“
“นี่เจ้า!! ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้างั้นหรือ”“จะลองไหมเล่า ก็มาสิวะ!!”“หยาบคาย ไร้มารยาท สิ้นคิด!!”“ก็เหมือนกันละวะใครใช้ให้หาเรื่องก่อนล่ะ หรือจะลองเอาไหมล่ะแม่จะอัดด้วยมวยไทยแค่ครึ่งยกก็หมอบแล้ว วางท่าใหญ่โตโธ่เอ๊ย!! คิดว่ากลัวหรืออย่างไร!!”ฮ่าวจื่อหรงโกรธจนตัวสั่น พระพักตร์แดงจัดเพราะฟังคำด่านางไม่ทัน ส่วนที่ฟังทันก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกนั่นทำให้เขาโมโหจนลมแทบจับและอยากจะบีบคอนางเสียเหลือเกินหากไม่ติดว่านางเป็นสตรีแล้วล่ะก็….“ว่านเยว่เฟย…. เอาป้ายหยกของข้าคืนมา”“หยกอะไร ป้ายอะไร!!”“ป้ายหยกที่เจ้าแอบขโมยมันมาจากตำหนักข้าแล้วนำไปแอบอ้างไปทั่วเมืองว่า….”“ว่าอันใด”“เอาเป็นว่า คืนป้ายหยกข้ามา”“แล้วหน้าตามันเป็นเช่นไรไอ้ป้ายที่ว่านั่นน่ะ”ฮ่าวจื่อหรงไม่เคยโกรธผู้ใดจนสติขาดผึงมากถึงเพียงนี้มาก่อน เขาเดินเข้าไปจนชิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางกลัวเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าสายตาจะเกรงกลัวแต่นางก็กำหมัดแน่นและจ้องตอบเขากลับ ท่าทีเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอ ต่อให้เป็นสตรีทั้งเมืองหลวงก็เถอะ“แม้ว่าจะเป็นถึงท่านหญิงแต่เจ้าก็ไม่ควรจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ข้าขอเตือนเจ้า….”“ร
ว่านเยว่เฟยรู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่าสองคนที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องนี้มิได้หวังดีกับเจ้าของร่าง อีกทั้งยังเห็นนางเป็นศัตรูอีกด้วย แม้จะไม่บอกก็รู้ว่านางคือผู้ใดในจวนแห่งนี้เพราะสังเกตจากท่าทีของสาวใช้ที่เกรงใจนาง“เอาล่ะ ๆ ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วก็นั่งเถอะอย่าพึ่งพูดมากเลย ไม่เห็นหรือว่าเยว่เฟยพึ่งจะฟื้น”“ท่านพ่อ ลูกไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะเพียงแค่ยังรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น”“ก็แน่ละสิ เจ้านอนโอบเมืองไปเสียหลายวันเลยนี่หากไม่ฟื้นวันนี้ข้าก็คงคิดว่า...”“ซูหลิง!! ข้าบอกให้เจ้าหยุด”“นายท่าน!!”“หากเจ้าไม่รู้จะพูดสิ่งใดก็พาลี่เอ๋อร์ออกไปก่อนเถอะให้นางได้พักผ่อน”“ท่านพ่อเจ้าคะ”สตรีอ่อนวัยกว่านางราว ๆ สามถึงสี่ปีเดินออกมาพร้อมกับสีหน้าละห้อย ว่านเยว่เฟยที่หันไปมองก็รู้สึกว่านางน่ารักแต่ก็เพียงเท่านั้นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากนางหลังจากนั้น….“ท่านแม่เป็นห่วงพี่ใหญ่จริง ๆ เจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะสั่งให้ท่านหมอมาดูอาการนางอย่างใกล้ชิดหรือเจ้าคะ อีกอย่างยารักษาอาการที่แพง ๆ ดี ๆ ท่านแม่ก็ล้วนเป็นผู้จัดหามาให้ทั้งนั้นท่านพ่อพูดเช่นนี้ไม่รักษาน้ำใจท่านแม่ไม่เกรงว่าผู้อื่นจะหาว่าท่านลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่
จวนสกุลว่าน“เร็ว ๆ เข้ารีบไปเอาผ้าห่มมาเพิ่มอีก”ท่านหญิง “ว่านเยว่เฟย” บุตรีคนโตของเสนาบดี “ว่านตง” พลัดตกน้ำในสระหลังจวนในตอนหัวค่ำของวันพระจันทร์เต็มดวง วุ่นวายถึงหมอหลวงในวังที่ต้องรีบมาทำการตรวจรักษาถึงสามคนตามพระบัญชาของฮ่องเต้“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”“ท่านเสนาบดี… อาการท่านหญิงค่อนข้างจะวิกฤติ นางตกลงไปในน้ำนานเกินไปจึงทำให้ขาดอากาศหายใจ ข้าน้อยคิดว่าท่านควรจะ….”“แคก แคก…. เฮือก!!”“เยว่เฟย!!”เสนาบดีว่านรีบวิ่งไปยังข้างเตียงของบุตรสาวในทันที หมอหลวงเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าท่านหญิงที่พึ่งตกน้ำ เขามั่นใจว่านางนอนหายใจรวยรินอยู่อาการนั้นคงไม่รอดพ้นคืนนี้ไปได้แต่บัดนี้นางกลับลุกขึ้นมาไอและพ่นน้ำออกมา“เร็วเข้าท่านหมอ รีบเข้ามาดูอาการนางหน่อย”“ขอรับ!”คนที่พึ่งฟื้นมิได้พูดสิ่งใด สายตานางพร่าเบลอจนมิอาจจำสิ่งใดได้ “หวังเยว่เฟย” แอร์โฮสเตสสาวที่พึ่งได้เข้าทำงานเพียงครึ่งเดือน เธอจำได้ว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ห้องเครื่องทำให้เครื่องบินทั้งลำดิ่งลงก้นมหาสมุทรแปซิฟิก “แคก แคก…อะไรกันเนี่ย…. เฮือก!!”นางพยายามหายใจราวกับต้องการอากาศอย่างถึงที่สุด เพียงสามถึงสี่ครั้งและก็ล้มตั