ชายแดนแคว้นฉู่-แคว้นเว่ย
รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว เสียหลักหลุดออกนอกเส้นทาง ชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก คนด้านในใช้มือข้างหนึ่งยันกายเอาไว้ อีกข้างกอดกระชับห่อผ้าสีทองเอาไว้แน่น
“ท่านแม่ทัพ เป็นอันใดไหมขอรับ” ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถม้า พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“ท่านพี่ชุน โปรดช่วยข้าสักครั้งเถิด พาเขาไป! อย่าให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของเขา จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม อึก!”
หญิงสาวเอ่ยร้องขอชายหนุ่ม ก่อนกล่ำกลืนเลือดที่เกือบจะพุ่งออกมา กลับลงคอไปอย่างยากลำบาก
“เราจะไปด้วยกันขอรับ”
เชียวอิงขยับห่อผ้าสีทองออกห่างกายเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองยังช่วงท้องของนาง ชุนหานจงถึงกับใบหน้าถอดสี บาดแผลนี้นางปกปิดเอาไว้นานเท่าใดแล้ว
“ได้โปรดท่านพี่ชุน ชีวิตของข้าหากแลกกับเขาได้ข้ายินดี”
ชุนหานจงไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ ศัตรูไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด เวลาในการตัดสินใจย่อมมีไม่มาก มือที่แดงชานไปด้วยเลือดของศัตรู ยื่นออกไปรับห่อผ้าสีทองมาไว้ในอ้อมแขน
“ท่านแม่ทัพโปรดถนอมตัวด้วย”
ร่างสูงขบกรามแน่น เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ให้ลึกสุด ก่อนจะกระชับห่อผ้าที่มีทารกน้อยเอาไว้แนบกาย ชายหนุ่มปลดม้าออกจากรถม้า ก่อนจะเหวี่ยงกายขึ้นนั่งแล้วควบออกจากตรงนั้น โดยมิคิดหันกลับไปมองเบื้องหลัง ที่มีนายหญิงน้อยผู้เติบใหญ่มาด้วยกัน อยู่เผชิญมันเพียงลำพัง
มิใช่เขาไม่ห่วงใย แต่เพราะจำต้องตัดใจ เพื่อทำตามประสงค์ของผู้เป็นทั้งนายและสหาย เขาไม่คิดมาก่อนว่าการมาเยี่ยมเยียนนาง จะเป็นการจากลาที่มิอาจได้พบหน้ากันชั่วชีวิต
เมื่อบุตรชายจากไปพร้อมคนที่นางวางใจ หญิงสาวได้ก้าวลงจากรถม้า พร้อมดาบคู่ใจ นานแค่ไหนแล้วที่นางมิได้จับมัน นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่แคว้นฉู่ ในฐานะพระชายาขององค์รัชทายาท
ด้วยนางเป็นสตรีต่างแคว้น การกำเนิดพระโอรส จึงทำให้ขุนนางหลายฝ่ายคิดกำจัด แต่พระสวามีก็ยังคงยืนเป็นเกราะกำบังให้แก่นางและลูกเสมอมา
จนในวันนี้ตำแหน่งของสามีถูกปล้นชิง แม้ลมหายใจยังมิอาจรักษา ขอเพียงโอรสน้อยได้มีชีวิตอยู่ต่อ เท่านี้นางกับสวามีก็ไม่เสียใจเลย ที่จะมอบมันเพื่อปกป้องเขา
“หากมารดาเจ้ายังมีวาสนาต่อเจ้า เราจะได้กลับมาพบกันอีกเพื่อเกื้อหนุน มิว่าฐานะใดก็ตาม เว่ยหลง!”
หญิงสาวรำพันกับตนเองเบา ๆ เสียงม้ากำลังควบตะบึงมาจากด้านหลัง ไม่ได้ทำให้ขุนพลเช่นนางสะท้านไหว ดวงตาคู่งามปิดลงพร้อมสูดอากาศอันบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนที่นางจะไม่ได้รับรู้ความสดชื่นนี้อีก
“พระชายา มิน่าทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกข้าผิดอันใด!”
“ผิด! ที่เขามิใช่สายเลือดบริสุทธิ์อย่างไรเล่า”
“ท่านเอาสิ่งใดมาตัดสินกันท่านราชครู หรือเพราะบุตรสาวของท่านมิอาจต้องใจสวามีข้า จนทำให้โอรสของข้ากับองค์รัชทายาทคือหนามทิ่มแทงใจท่าน”
“จะคิดเช่นนั้นก็ไม่ผิด และต่อให้พระชายาจะเป็นเชื้อพระวงศ์จากเว่ย แต่การจะให้สายเลือดต่างแคว้นได้ครองบัลลังก์ มันทำให้ฉู่เราแปดเปื้อน”
“มันเป็นแผนการของท่านแต่แรกแล้ว การกำจัดองค์รัชทายาท จะง่ายขึ้นถ้าเขาแต่งแก่สตรีต่างแคว้นสินะ!”
“พระชายาเองก็มิได้ขลาดเขลาจนเกินไป”
“หมากกระดานนี้ ท่านคงคำนวณมาอย่างดีแล้วสินะ! วันนี้มันอาจเป็นท่านที่กำชัย แต่ภายหน้าท่านจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าเมล็ดพันธ์ที่ข้าหว่านไว้มันจะไม่เติบโต”
หญิงสาวหันกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรู บุตรสาวของท่านราชครูในตอนนี้ คือพระชายาอ๋องหก หากไร้สวามีของนาง ผู้ที่จะก้าวมาแทนที่ ย่อมเป็นท่านอ๋องหก
ฮ่องเต้ฉู่เลือดเย็นนัก เพื่อโอรสที่กำเนิดจากชายารักจะได้ครองตำแหน่งที่ตั้งใจมอบให้ แต่เพราะสวามีของนางกำเนิดจากฮองเฮา จึงทำให้ไม่อาจข้ามหน้าสกุลฮองเฮาไปได้
แผนการนี้มิเพียงเล่นกับใจคน ยังหมายกำจัดฮองเฮาและสกุลให้สิ้นซากเสียในคราเดียว กบฏคำนี้มีกี่ชีวิตก็ต้องจบสิ้น แล้วอย่างไรทำไมนางต้องยินยอมให้ลูกของนางต้องตาย ทั้งที่เขามิได้ผิดอันใด รวมถึงทุกคนที่ถูกใส่ความ
สวามีของนางคือองค์รัชทายาท ไม่ว่าช้าหรือเร็วเขาก็คือฮ่องเต้คนต่อไปอยู่แล้ว จะคิดกบฏไปทำไม ต่อให้ขุนนางและประชาชนบางส่วนรู้ดีถึงข้อนี้ แต่ก็ยากนักที่จะโต้แย้งคำของคนเบื้องสูง
“เมล็ดพันธ์ของเจ้าสองผัวเมีย มันจะไม่มีโอกาสได้เติบใหญ่ จัดการนางซะ แล้วเข้าไปเอาเด็กนั้นมาสังหารต่อหน้าข้า”
เชียวอิงที่ยืนขวางระหว่างรถม้ากับคนของท่านราชครู กระชับดาบเอาไว้แน่น แม้ว่าเลือดที่บาดแผลจะไหลออกมามิหยุด นางจะยืนตรงนี้ถ่วงเวลาให้กับคนที่จากไปให้ได้นานที่สุด
เชร้ง! ร่างระหงของอดีตแม่ทัพเซถอยไปหลายก้าว ก่อนจะตวัดดาบเข้ารับการโจมตีอย่างไม่คิดถอยให้แก่คู่ต่อสู้ นางเพิ่งผ่านการคลอดลูกมาได้มิทันถึงสองเดือน ทั้งยังหายจากการฝึกฝนแรมปี ย่อมไม่แปลกเลยที่จะเป็นฝ่ายพ่าย
ฉึก! ร่างงามกางแขนออกบังประตูรถม้า ดวงตาที่อ่อนแรงหลับลง ทว่าเรียวปากกลับคลี่ยิ้ม แรงที่มีเฮือกสุดท้าย นางจะมอบมันให้แก่ดวงใจเพียงหนึ่ง ที่ตอนนี้น่าจะข้ามผ่านชายแดนสู่แผ่นดินมารดาแล้ว
“ลากนางออกมา!”
ท่านราชครูสั่งการเสียงกร้าว เพื่อที่เขาจะได้นำหนามอันสุดท้ายออกมากำจัดเสีย หากเด็กคนนี้ยังอยู่อาจเป็นภัยในภายหน้า
“หึ ๆ ข้าคือแม่ทัพ ฮ่า ๆ ข้าคือขุนพลที่ไม่เคยกลัวตาย”
ฉึก! ครานี้ดาบของศัตรูปักอยู่กลางอก ทว่าไร้เสียงร้องเจ็บปวดของหญิงสาว มีเพียงใบหน้าที่ก้มต่ำ และลมหายใจที่เริ่มขาดห้วง ทว่าสองมือยังคงกำขอบรถม้าเอาไว้แน่น
เฮือก! ร่างที่กำลังหลับอยู่ สะดุ้งตื่นสุดตัวก่อนจะพยายามสูดอากาศเข้าให้เต็มปอด เหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า บอกถึงความรู้สึกที่ยากนักจะหายไปจากความทรงจำ
ไม่รู้ว่าสวรรค์เมตตาหรือมันเป็นคำสาปกันแน่ เกิดใหม่และมีชีวิตใหม่ ทว่าความทรงจำกลับไม่เคยหายไปตามลมหายใจที่สิ้นสุด หลายค่ำคืนที่นางต้องฝันเห็นภาพเหล่านั้น เสมือนภูตผีที่คอยหลอกหลอน
หยวนไป่หลิงลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะน้ำชา ซึ่งมีกาสุราหวานวางอยู่ หญิงสาวรินน้ำสีอำพันในลงจอก ก่อนจะยกดื่มเพื่อดับความคับแค้น ที่มันกำลังจะครอบงำนางจากความฝันเมื่อครู่ชีวิตใหม่ของนางควรจะราบเรียบ ทว่าเมื่อตอนอายุได้ห้าขวบ ความทรงจำอันคุ้นเคยได้หลังไหลเข้ามาราวสายน้ำ ทั้งสุขทุกข์ฉายชัดอยู่ในหัว เหมือนมันจะบอกแก่นางแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะเดินกลับไปเพื่อแก้แค้น หรือจะก้าวต่อไปในชีวิตที่สงบสุข ซึ่งอันที่จริงมันก็มิได้สงบสุขอันใด ออกจากลำบากเสียมากกว่า และนางเลือกที่จะใช้ความทรงจำนั้น สร้างอนาคตให้ตนเองกับครอบครัวต่อให้ก้าวกลับไปเพื่อทวงแค้น มันจะมีประโยชน์อันใดถ้าไร้เงินทองและอำนาจ หากจะใช้เรือนร่างเข้าแลก เพื่อการแก้แค้นมันไม่คุ้มเอาเสียเลย เพราะมันมีค่าเกินกว่าจะไปพลีให้ใคร เพียงเพื่อปีนป่ายในสิ่งที่ต้องการความแค้นยังคงมี แต่มันอยู่ที่นางจะเลือกมองมันแบบใด หากโชคชะตาต้องการให้นางทวงความเป็นธรรม มิช้ามันจะนำพานางกลับไปเอง ส่วนเรื่องลูกนั้น นางสุขใจที่เห็นเขาเติบโตอยู่ในที่ปลอดภัยใช่ว่านางไม่คิดถึงเขา แต่นางไม่อาจไปยืนตรงหน้าเขา แล้วบอกว่านี่คือแม่ได้ นางในตอนนี้คือหญิงสาววัยไล่เ
หยวนไป่หลีรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้บุตรสาวต้องลำบากใจ เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่กิจการของนางเริ่มไปได้ดี ในวันที่นางกำลังออกไปตรวจดูสินค้านอกเมืองพร้อมบุตรสาวทั้งสอง ได้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก และในตอนนั้นบุตรสาวคนเล็กที่รอบรู้เรื่องสมุนไพรต่าง ๆ ได้นำมันมาให้นางช่วยชีวิตของทั้งคู่เอาไว้ได้ ใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่าสองสามีภรรยาจะอาการดีขึ้น เมื่อทั้งคู่หายเป็นปกติ ก่อนจะจากไปได้เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวหนึ่งในสองคนของนางให้เป็นสะใภ้เอก ด้วยอารามตกใจกับคำขอของอีกฝ่าย นางตอบรับไปทั้งที่ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่จนเวลาผ่านมาหลายปี ใต้เท้าผู้นั้นก็เงียบหายไป บุตรสาวสองคนต่างเลยวัยออกเรือนมามาก ก็ยังคงไร้วี่แววของคนที่เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวของนางทว่าหยกที่สองสามีภรรยามอบให้ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันการหมั้น เป็นเสมือนสิ่งที่ค้ำคอนางเอาไว้ มิอาจเอ่ยปากให้บุตรสาวคนใดออกเรือนกับผู้อื่นได้จนเมื่อครึ่งเดือนก่อน นางได้รับจดหมายจากทางเมืองหลวง พร้อมการแจกแจงเรื่องการแต่งงาน และความเป็นไปของบุตรชาย เพียงอ่านถึงตำแหน่งของชายหนุ่ม นางก็รู้ได้ในทันที ว
เมืองหลวง ณ สกุลจ้าว ท่านมหาอำมาตย์จ้าวหยางจงนั่งใบหน้าเรียบตึง เมื่อบุตรชายคนโต ดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาสั่งการ “ข้าแสร้งหูหนวกตาบอด ยอมผัดผ่อนเรื่องนี้มานานหลายปี เจ้าเป็นบุรุษมันอาจไม่เสียหายอันใด แต่คุณหนูหยวนเล่านางเป็นสตรี ไยจะต้องมานั่งรอคู่หมั้นไม่เอาไหนเยี่ยงเจ้าอยู่เช่นนี้ด้วย มันถูกต้องแล้วหรือ” “จ่ายชดเชยนางไป และท่านพ่อก็ช่วยหาสามีที่ดีให้แก่นาง เท่านี้นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างไม่คิดจะแยแสต่อความรู้สึกของคู่หมั้น เพราะสตรีที่เลยวัยออกเรือน ทั้งยังมีฐานะธรรมดา เงินทองย่อมล้ำค่ากว่าสามีที่ไม่เคยมอบใจให้นางมาก่อนเลย “ชดเชยเช่นนั้นรึ! เจ้าคิดว่าชีวิตของข้ากับมารดาของเจ้า มีค่าแค่เงินไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้นรึ! เจ้าเป็นถึงแม่ทัพ! ย่อมน่าจะรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร” แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปในทันที เมื่อสิ่งที่บิดาเอ่ยมานั้น ไม่มีเรื่องใดที่ผิดเลย เขายืดเวลาในการแต่งงานออกมานานหลายปี แต่แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้ เมื่อบิดายื่นคำขาดเรื่องการแต่งงานที่ยืดเยื้อมานานเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่พ่อแม่ของ
“ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิงยิ้มน้อย ๆ ทำตามแบบฉบับของสตรีในหอห้อง นับว่านางลดวามเย็นชาทางสีหน้าลงหลายส่วน เพื่อมิให้ผู้ใดติฉินนินทาหรือตำหนิไปถึงมารดาได้ “เรียกท่านพ่อท่านแม่จะดีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” จ้าวฮูหยินเอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้าประคองว่าที่สะใภ้ นับว่าสามีของนางตาแหลมนัก มิว่าท่าทีหรือความงาม หยวนไป่หลิงจัดอยู่ในหญิงงามที่หาตัวจับยากเลยทีเดียวแต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องดูถึงความสามารถอื่น ๆ ของหญิงสาวอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บุตรชายตัวดี นำมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธการแต่งงานได้ ซึ่งจากที่นางรู้เกี่ยวกับหยวนไป่หลิงมานั้น ยากนักที่บุตรชายตัวดีของนางจะหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานอย่างที่ใจหวังแม้ความรักบังคับใจกันไม่ได้ แต่สำหรับชีวิตของคนที่เกิดในสกุลขุนนาง ยากนักจะเลือกเส้นทางหัวใจได้เองทั้งหมด มิเว้นแม่แต่ผู้ครองแผ่นดินการที่สามีของนางเลือกบุตรสาวสกุลหยวนมาเป็นสะใภ้ ล้วนมีเหตุผลอื่นแอบแฝง นอกเหนือจากคำว่าบุญคุณ ชีวิตของขุนนางล้วนมีปลายดาบจ่อลำคอทั้งสิ้น ถ้าวันใดเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นมา สายเลือดของพวกเขาจะยังคงอยู่ แม้จะในฐานะชา