เมืองหลวง ณ สกุลจ้าว
ท่านมหาอำมาตย์จ้าวหยางจงนั่งใบหน้าเรียบตึง เมื่อบุตรชายคนโต ดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาสั่งการ
“ข้าแสร้งหูหนวกตาบอด ยอมผัดผ่อนเรื่องนี้มานานหลายปี เจ้าเป็นบุรุษมันอาจไม่เสียหายอันใด แต่คุณหนูหยวนเล่านางเป็นสตรี ไยจะต้องมานั่งรอคู่หมั้นไม่เอาไหนเยี่ยงเจ้าอยู่เช่นนี้ด้วย มันถูกต้องแล้วหรือ”
“จ่ายชดเชยนางไป และท่านพ่อก็ช่วยหาสามีที่ดีให้แก่นาง เท่านี้นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างไม่คิดจะแยแสต่อความรู้สึกของคู่หมั้น เพราะสตรีที่เลยวัยออกเรือน ทั้งยังมีฐานะธรรมดา เงินทองย่อมล้ำค่ากว่าสามีที่ไม่เคยมอบใจให้นางมาก่อนเลย
“ชดเชยเช่นนั้นรึ! เจ้าคิดว่าชีวิตของข้ากับมารดาของเจ้า มีค่าแค่เงินไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้นรึ! เจ้าเป็นถึงแม่ทัพ! ย่อมน่าจะรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปในทันที เมื่อสิ่งที่บิดาเอ่ยมานั้น ไม่มีเรื่องใดที่ผิดเลย เขายืดเวลาในการแต่งงานออกมานานหลายปี แต่แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้ เมื่อบิดายื่นคำขาดเรื่องการแต่งงานที่ยืดเยื้อมานาน
เมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่พ่อแม่ของเขากลับจากชายแดน และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้ เป็นเขาเองที่รับปากว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวของผู้มีพระคุณ ทว่านั่นมันเมื่อก่อน เวลานี้ทั้งหน้าที่การงานและหัวใจ ล้วนไม่อาจเปิดรับคู่หมั้นเข้ามาร่วมใช้ชีวิตด้วยได้
“หากช่วงที่นางมาอยู่ที่นี่ เพื่อทำความคุ้นเคยกัน แล้ว...เราไม่อาจเข้ากันได้ ข้าหวังว่าท่านพ่อท่านแม่จะเข้าใจข้านะขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา พร้อมยื่นข้อเสนอใหม่เสียด้วยเลย เพราะถ้าเขายังไม่ตอบตกลง เห็นทีวันนี้คงถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่
“ฮึ! เกิดเป็นบุรุษอย่าได้หัดที่จะตระบัดสัตย์”
เอ่ยจบท่านมหาอำมาตย์ได้ลุกขึ้น ก้าวออกจากห้องไปในทันที เป็นเขาเองที่เอ่ยปากขอหมั้นหมายบุตรสาวของผู้มีพระคุณ นั่นเพราะเขามองเห็นความสามารถของคู่แฝด
อายุเพียงเท่านั้นกลับสามารถปรุงยาได้ ทั้งคำพูดฉะฉานเกินกว่าบุตรสาวชาวบ้านโดยทั่วไป นับว่าเป็นอัญมณีล้ำค่า แม้มิได้พบกันนานหลายปี เขายังเชื่อมั่นว่ามองคู่แฝดไม่ผิด เพราะความสำเร็จของพวกนาง นับว่าเหนือกว่าบุตรสาวบ้านใดในเมืองหลวงหลายเท่านัก แต่เขาจะไม่มีวันบอกเรื่องนี้กับบุตรชาย
เพราะถ้าเขาบอกบุตรชายไปก่อน ถึงการใช้ชีวิตปัจจุบันของคู่แฝด มีหวังบุตรชายตัวดี คงวิ่งวุ่นหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานให้ปวดหัวอีก ไหนจะขยันสร้างข้อเสนอมิรู้จบสิ้น สู้ให้รู้ด้วยตัวเองชนิดที่เรียกว่าหน้าแหกกันไปเลย จะได้รู้ว่าคนเหนือชั้นมันเป็นเช่นไร
“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ลู่เชียน! และแม่อยากให้เจ้าได้พบกับโลกที่นอกเหนือกองทัพบ้าง”
เอ่ยจบจ้าวฮูหยินได้เดินจากไปเช่นกัน ทั้งที่ใจจริงนางอยากบอกแก่บุตรชาย ว่านางต้องการให้เขาพบกับหญิงสาวคนอื่น ที่นอกเหนือจากบุตรสาวสกุลชู
เพราะบุตรชายของนางอยู่แค่เพียงในกองทัพ ร้อยเล่ห์สตรียากนักที่จะได้พบเห็น นักรบมักพ่ายต่อมารยาทหญิง ด้วยมิรู้จักเปิดดวงตาให้กว้าง ทะนงตนว่าฉลาดล้ำ ทว่าขาดความเฉลียว
แม่ทัพหนุ่มทำเพียงลุกขึ้นเดินออกไปยังห้องหนังสือ ด้วยความรู้สึกระอาใจ เขาจะทำให้การแต่งงานยุติ นี่ถือว่าเขาให้เกียรติบุตรสาวสกุลหยวนมากแล้ว ดีกว่าแต่งงานกันไป สุดท้ายแล้วก็ต้องหย่าขาด ระหว่างเสียหน้าเพียงครั้ง กับการเป็นสตรีหม้ายไปชั่วชีวิต เขามั่นใจว่านางจะเลือกอย่างแรกแน่นอน
สองเดือนต่อมา เมืองหลวง ณ จวนสกุลจ้าว
รถม้าคันใหญ่ได้มาหยุดอยู่หน้าจวนสกุลจ้าว ความโออ่าของคณะเดินทาง บอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้มาเยือน ฐานะคงไม่ธรรมดา ดูจากการแต่งกายของคนในคณะ ล้วนสวมใส่ไหมชั้นดี เทียบเท่าผู้มั่งคั่งในเมืองเลยทีเดียว
ซึ่งมันคือภาพชินตาของชาวเมืองชายแดน แต่มันแปลกตาแปลกใจสำหรับคนในเมืองหลวง เพราะจะมีใครกันที่ให้บ่าวไพร่สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดี แทบจะเทียบเท่านายเช่นนี้ เพราะนอกจากจะราคาแพงแล้ว ยังดูโอ่อ่าเกินหน้าเกินตานาย
ยิ่งคนในคณะที่ยืนเรียงกันอยู่ในตอนนี้ ล้วนมีใบหน้าที่หล่อเหลาและงดงาม ทั้งสะอาดสะอานเป็นระเบียบ สาวใช้ยังได้สวมเครื่องประดับมีราคา แม้จะชิ้นน้อย ๆ แต่ราคานั้นคงไม่น้อยเช่นขนาดของเครื่องประดับ
หยวนไป่หลิงยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ ที่เอ่ยเบา ๆ พอให้ได้ยินมาจากด้านนอก นางคือคนทำการค้า แน่นอนว่าต้องดูดีทั้งนายบ่าว เพื่อความน่าเชื่อถือและให้เกียรติคู่ค้า
และนี่คือขวัญกำลังใจที่นางมอบให้ผู้ติดตาม เราสุขคนของเราก็ต้องสุข เราอิ่มคนของเราก็ต้องอิ่ม ถึงจะเป็นนายที่บ่าวภักดีอย่างจริงใจ หากกดขี่บ่าวไพร่จนเกินไป จะได้เพียงงาน แต่มิได้ใจที่ซื่อตรง มันคือกลยุทธ์ที่นางเลือกใช้แทนการวางอำนาจ
ทางด้านหน้าประตูจวน ท่านมหาอำมาตย์จ้าว พร้อมจ้าวฮูหยิน ได้ออกมาต้อนรับว่าที่สะใภ้ด้วยตนเอง ทำให้รถม้าอีกคันที่มาเยือนจวนจ้าว จำต้องจอดห่างออกไปพอสมควร แน่นอนว่าเจ้าของรถม้าที่ต้องจอดอยู่ไกลจากหน้าจวน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
หยวนไป่หลิงก้าวลงจากรถม้า โดยมีองครักษ์คนสนิทกระซิบบอก ว่าผู้ที่ยืนรออยู่นั้นคือใคร! แน่นอนว่าก่อนที่นางจะมาเยือน ย่อมต้องมีการตรวจสอบสกุลจ้าวเป็นการล่วงหน้าแล้ว
หญิงสาวเดินตรงไปหาเจ้าของจวน ที่ออกมารอรับนาง ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว มิจำเป็นเลยสักนิด ที่ผู้อาวุโสจะต้องออกมารอรับผู้น้อยเช่นนี้
“หยวนไป่หลิง คารวะท่านมหาอำมาตย์ จ้าวฮูหยิน”
“ไม่ต้อมากพิธีหลิงเอ๋อร์ มิได้พบกันเสียนานเจ้างดงามยิ่งนัก”
สิ่งที่ท่านอำมาตย์พูดนั้นไม่เกินจริงเลยสักนิด ในตอนที่เขาพบกับคู่แฝดนั้น พวกนางยังมิทันถึงวัยปักปิ่น ก็ว่างดงามมากแล้ว แต่ทว่าเมื่อเติบโตความงามนั้นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านัก
ยิ่งเมื่อเห็นความก้าวหน้าของว่าที่สะใภ้ เขายิ่งรู้สึกว่าวันนั้นคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้น ไหนจะคู่แฝดของนางที่ยืนในตำแหน่งทัดเทียมบุตรชายของเขาในตอนนี้ มันยิ่งตอกย้ำว่าสตรีหม้ายผู้นั้น ยอดเยี่ยมเพียงใดในการเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง
“ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิงยิ้มน้อย ๆ ทำตามแบบฉบับของสตรีในหอห้อง นับว่านางลดวามเย็นชาทางสีหน้าลงหลายส่วน เพื่อมิให้ผู้ใดติฉินนินทาหรือตำหนิไปถึงมารดาได้ “เรียกท่านพ่อท่านแม่จะดีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” จ้าวฮูหยินเอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้าประคองว่าที่สะใภ้ นับว่าสามีของนางตาแหลมนัก มิว่าท่าทีหรือความงาม หยวนไป่หลิงจัดอยู่ในหญิงงามที่หาตัวจับยากเลยทีเดียวแต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องดูถึงความสามารถอื่น ๆ ของหญิงสาวอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บุตรชายตัวดี นำมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธการแต่งงานได้ ซึ่งจากที่นางรู้เกี่ยวกับหยวนไป่หลิงมานั้น ยากนักที่บุตรชายตัวดีของนางจะหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานอย่างที่ใจหวังแม้ความรักบังคับใจกันไม่ได้ แต่สำหรับชีวิตของคนที่เกิดในสกุลขุนนาง ยากนักจะเลือกเส้นทางหัวใจได้เองทั้งหมด มิเว้นแม่แต่ผู้ครองแผ่นดินการที่สามีของนางเลือกบุตรสาวสกุลหยวนมาเป็นสะใภ้ ล้วนมีเหตุผลอื่นแอบแฝง นอกเหนือจากคำว่าบุญคุณ ชีวิตของขุนนางล้วนมีปลายดาบจ่อลำคอทั้งสิ้น ถ้าวันใดเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นมา สายเลือดของพวกเขาจะยังคงอยู่ แม้จะในฐานะชา
ชายแดนแคว้นฉู่-แคว้นเว่ย รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว เสียหลักหลุดออกนอกเส้นทาง ชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก คนด้านในใช้มือข้างหนึ่งยันกายเอาไว้ อีกข้างกอดกระชับห่อผ้าสีทองเอาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ เป็นอันใดไหมขอรับ” ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถม้า พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นนาย “ท่านพี่ชุน โปรดช่วยข้าสักครั้งเถิด พาเขาไป! อย่าให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของเขา จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม อึก!” หญิงสาวเอ่ยร้องขอชายหนุ่ม ก่อนกล่ำกลืนเลือดที่เกือบจะพุ่งออกมา กลับลงคอไปอย่างยากลำบาก “เราจะไปด้วยกันขอรับ” เชียวอิงขยับห่อผ้าสีทองออกห่างกายเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองยังช่วงท้องของนาง ชุนหานจงถึงกับใบหน้าถอดสี บาดแผลนี้นางปกปิดเอาไว้นานเท่าใดแล้ว “ได้โปรดท่านพี่ชุน ชีวิตของข้าหากแลกกับเขาได้ข้ายินดี” ชุนหานจงไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ ศัตรูไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด เวลาในการตัดสินใจย่อมมีไม่มาก มือที่แดงชานไปด้วยเลือดของศัตรู ยื่นออกไปรับห่อผ้าสีทองมาไว้ในอ้อมแขน “ท่านแม่ทัพโปรดถนอมตัวด้วย” ร่างสูงขบกรามแน่น เพื่อข่
หยวนไป่หลิงลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะน้ำชา ซึ่งมีกาสุราหวานวางอยู่ หญิงสาวรินน้ำสีอำพันในลงจอก ก่อนจะยกดื่มเพื่อดับความคับแค้น ที่มันกำลังจะครอบงำนางจากความฝันเมื่อครู่ชีวิตใหม่ของนางควรจะราบเรียบ ทว่าเมื่อตอนอายุได้ห้าขวบ ความทรงจำอันคุ้นเคยได้หลังไหลเข้ามาราวสายน้ำ ทั้งสุขทุกข์ฉายชัดอยู่ในหัว เหมือนมันจะบอกแก่นางแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะเดินกลับไปเพื่อแก้แค้น หรือจะก้าวต่อไปในชีวิตที่สงบสุข ซึ่งอันที่จริงมันก็มิได้สงบสุขอันใด ออกจากลำบากเสียมากกว่า และนางเลือกที่จะใช้ความทรงจำนั้น สร้างอนาคตให้ตนเองกับครอบครัวต่อให้ก้าวกลับไปเพื่อทวงแค้น มันจะมีประโยชน์อันใดถ้าไร้เงินทองและอำนาจ หากจะใช้เรือนร่างเข้าแลก เพื่อการแก้แค้นมันไม่คุ้มเอาเสียเลย เพราะมันมีค่าเกินกว่าจะไปพลีให้ใคร เพียงเพื่อปีนป่ายในสิ่งที่ต้องการความแค้นยังคงมี แต่มันอยู่ที่นางจะเลือกมองมันแบบใด หากโชคชะตาต้องการให้นางทวงความเป็นธรรม มิช้ามันจะนำพานางกลับไปเอง ส่วนเรื่องลูกนั้น นางสุขใจที่เห็นเขาเติบโตอยู่ในที่ปลอดภัยใช่ว่านางไม่คิดถึงเขา แต่นางไม่อาจไปยืนตรงหน้าเขา แล้วบอกว่านี่คือแม่ได้ นางในตอนนี้คือหญิงสาววัยไล่เ
หยวนไป่หลีรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้บุตรสาวต้องลำบากใจ เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่กิจการของนางเริ่มไปได้ดี ในวันที่นางกำลังออกไปตรวจดูสินค้านอกเมืองพร้อมบุตรสาวทั้งสอง ได้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก และในตอนนั้นบุตรสาวคนเล็กที่รอบรู้เรื่องสมุนไพรต่าง ๆ ได้นำมันมาให้นางช่วยชีวิตของทั้งคู่เอาไว้ได้ ใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่าสองสามีภรรยาจะอาการดีขึ้น เมื่อทั้งคู่หายเป็นปกติ ก่อนจะจากไปได้เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวหนึ่งในสองคนของนางให้เป็นสะใภ้เอก ด้วยอารามตกใจกับคำขอของอีกฝ่าย นางตอบรับไปทั้งที่ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่จนเวลาผ่านมาหลายปี ใต้เท้าผู้นั้นก็เงียบหายไป บุตรสาวสองคนต่างเลยวัยออกเรือนมามาก ก็ยังคงไร้วี่แววของคนที่เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวของนางทว่าหยกที่สองสามีภรรยามอบให้ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันการหมั้น เป็นเสมือนสิ่งที่ค้ำคอนางเอาไว้ มิอาจเอ่ยปากให้บุตรสาวคนใดออกเรือนกับผู้อื่นได้จนเมื่อครึ่งเดือนก่อน นางได้รับจดหมายจากทางเมืองหลวง พร้อมการแจกแจงเรื่องการแต่งงาน และความเป็นไปของบุตรชาย เพียงอ่านถึงตำแหน่งของชายหนุ่ม นางก็รู้ได้ในทันที ว