เมืองหลวง ณ สกุลจ้าว
ท่านมหาอำมาตย์จ้าวหยางจงนั่งใบหน้าเรียบตึง เมื่อบุตรชายคนโต ดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาสั่งการ
“ข้าแสร้งหูหนวกตาบอด ยอมผัดผ่อนเรื่องนี้มานานหลายปี เจ้าเป็นบุรุษมันอาจไม่เสียหายอันใด แต่คุณหนูหยวนเล่านางเป็นสตรี ไยจะต้องมานั่งรอคู่หมั้นไม่เอาไหนเยี่ยงเจ้าอยู่เช่นนี้ด้วย มันถูกต้องแล้วหรือ”
“จ่ายชดเชยนางไป และท่านพ่อก็ช่วยหาสามีที่ดีให้แก่นาง เท่านี้นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างไม่คิดจะแยแสต่อความรู้สึกของคู่หมั้น เพราะสตรีที่เลยวัยออกเรือน ทั้งยังมีฐานะธรรมดา เงินทองย่อมล้ำค่ากว่าสามีที่ไม่เคยมอบใจให้นางมาก่อนเลย
“ชดเชยเช่นนั้นรึ! เจ้าคิดว่าชีวิตของข้ากับมารดาของเจ้า มีค่าแค่เงินไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้นรึ! เจ้าเป็นถึงแม่ทัพ! ย่อมน่าจะรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปในทันที เมื่อสิ่งที่บิดาเอ่ยมานั้น ไม่มีเรื่องใดที่ผิดเลย เขายืดเวลาในการแต่งงานออกมานานหลายปี แต่แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้ เมื่อบิดายื่นคำขาดเรื่องการแต่งงานที่ยืดเยื้อมานาน
เมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่พ่อแม่ของเขากลับจากชายแดน และบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้รับรู้ เป็นเขาเองที่รับปากว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวของผู้มีพระคุณ ทว่านั่นมันเมื่อก่อน เวลานี้ทั้งหน้าที่การงานและหัวใจ ล้วนไม่อาจเปิดรับคู่หมั้นเข้ามาร่วมใช้ชีวิตด้วยได้
“หากช่วงที่นางมาอยู่ที่นี่ เพื่อทำความคุ้นเคยกัน แล้ว...เราไม่อาจเข้ากันได้ ข้าหวังว่าท่านพ่อท่านแม่จะเข้าใจข้านะขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อตัดปัญหา พร้อมยื่นข้อเสนอใหม่เสียด้วยเลย เพราะถ้าเขายังไม่ตอบตกลง เห็นทีวันนี้คงถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่
“ฮึ! เกิดเป็นบุรุษอย่าได้หัดที่จะตระบัดสัตย์”
เอ่ยจบท่านมหาอำมาตย์ได้ลุกขึ้น ก้าวออกจากห้องไปในทันที เป็นเขาเองที่เอ่ยปากขอหมั้นหมายบุตรสาวของผู้มีพระคุณ นั่นเพราะเขามองเห็นความสามารถของคู่แฝด
อายุเพียงเท่านั้นกลับสามารถปรุงยาได้ ทั้งคำพูดฉะฉานเกินกว่าบุตรสาวชาวบ้านโดยทั่วไป นับว่าเป็นอัญมณีล้ำค่า แม้มิได้พบกันนานหลายปี เขายังเชื่อมั่นว่ามองคู่แฝดไม่ผิด เพราะความสำเร็จของพวกนาง นับว่าเหนือกว่าบุตรสาวบ้านใดในเมืองหลวงหลายเท่านัก แต่เขาจะไม่มีวันบอกเรื่องนี้กับบุตรชาย
เพราะถ้าเขาบอกบุตรชายไปก่อน ถึงการใช้ชีวิตปัจจุบันของคู่แฝด มีหวังบุตรชายตัวดี คงวิ่งวุ่นหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานให้ปวดหัวอีก ไหนจะขยันสร้างข้อเสนอมิรู้จบสิ้น สู้ให้รู้ด้วยตัวเองชนิดที่เรียกว่าหน้าแหกกันไปเลย จะได้รู้ว่าคนเหนือชั้นมันเป็นเช่นไร
“ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ลู่เชียน! และแม่อยากให้เจ้าได้พบกับโลกที่นอกเหนือกองทัพบ้าง”
เอ่ยจบจ้าวฮูหยินได้เดินจากไปเช่นกัน ทั้งที่ใจจริงนางอยากบอกแก่บุตรชาย ว่านางต้องการให้เขาพบกับหญิงสาวคนอื่น ที่นอกเหนือจากบุตรสาวสกุลชู
เพราะบุตรชายของนางอยู่แค่เพียงในกองทัพ ร้อยเล่ห์สตรียากนักที่จะได้พบเห็น นักรบมักพ่ายต่อมารยาทหญิง ด้วยมิรู้จักเปิดดวงตาให้กว้าง ทะนงตนว่าฉลาดล้ำ ทว่าขาดความเฉลียว
แม่ทัพหนุ่มทำเพียงลุกขึ้นเดินออกไปยังห้องหนังสือ ด้วยความรู้สึกระอาใจ เขาจะทำให้การแต่งงานยุติ นี่ถือว่าเขาให้เกียรติบุตรสาวสกุลหยวนมากแล้ว ดีกว่าแต่งงานกันไป สุดท้ายแล้วก็ต้องหย่าขาด ระหว่างเสียหน้าเพียงครั้ง กับการเป็นสตรีหม้ายไปชั่วชีวิต เขามั่นใจว่านางจะเลือกอย่างแรกแน่นอน
สองเดือนต่อมา เมืองหลวง ณ จวนสกุลจ้าว
รถม้าคันใหญ่ได้มาหยุดอยู่หน้าจวนสกุลจ้าว ความโออ่าของคณะเดินทาง บอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้มาเยือน ฐานะคงไม่ธรรมดา ดูจากการแต่งกายของคนในคณะ ล้วนสวมใส่ไหมชั้นดี เทียบเท่าผู้มั่งคั่งในเมืองเลยทีเดียว
ซึ่งมันคือภาพชินตาของชาวเมืองชายแดน แต่มันแปลกตาแปลกใจสำหรับคนในเมืองหลวง เพราะจะมีใครกันที่ให้บ่าวไพร่สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อดี แทบจะเทียบเท่านายเช่นนี้ เพราะนอกจากจะราคาแพงแล้ว ยังดูโอ่อ่าเกินหน้าเกินตานาย
ยิ่งคนในคณะที่ยืนเรียงกันอยู่ในตอนนี้ ล้วนมีใบหน้าที่หล่อเหลาและงดงาม ทั้งสะอาดสะอานเป็นระเบียบ สาวใช้ยังได้สวมเครื่องประดับมีราคา แม้จะชิ้นน้อย ๆ แต่ราคานั้นคงไม่น้อยเช่นขนาดของเครื่องประดับ
หยวนไป่หลิงยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำพูดขององครักษ์ ที่เอ่ยเบา ๆ พอให้ได้ยินมาจากด้านนอก นางคือคนทำการค้า แน่นอนว่าต้องดูดีทั้งนายบ่าว เพื่อความน่าเชื่อถือและให้เกียรติคู่ค้า
และนี่คือขวัญกำลังใจที่นางมอบให้ผู้ติดตาม เราสุขคนของเราก็ต้องสุข เราอิ่มคนของเราก็ต้องอิ่ม ถึงจะเป็นนายที่บ่าวภักดีอย่างจริงใจ หากกดขี่บ่าวไพร่จนเกินไป จะได้เพียงงาน แต่มิได้ใจที่ซื่อตรง มันคือกลยุทธ์ที่นางเลือกใช้แทนการวางอำนาจ
ทางด้านหน้าประตูจวน ท่านมหาอำมาตย์จ้าว พร้อมจ้าวฮูหยิน ได้ออกมาต้อนรับว่าที่สะใภ้ด้วยตนเอง ทำให้รถม้าอีกคันที่มาเยือนจวนจ้าว จำต้องจอดห่างออกไปพอสมควร แน่นอนว่าเจ้าของรถม้าที่ต้องจอดอยู่ไกลจากหน้าจวน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขุ่นเคือง
หยวนไป่หลิงก้าวลงจากรถม้า โดยมีองครักษ์คนสนิทกระซิบบอก ว่าผู้ที่ยืนรออยู่นั้นคือใคร! แน่นอนว่าก่อนที่นางจะมาเยือน ย่อมต้องมีการตรวจสอบสกุลจ้าวเป็นการล่วงหน้าแล้ว
หญิงสาวเดินตรงไปหาเจ้าของจวน ที่ออกมารอรับนาง ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้ว มิจำเป็นเลยสักนิด ที่ผู้อาวุโสจะต้องออกมารอรับผู้น้อยเช่นนี้
“หยวนไป่หลิง คารวะท่านมหาอำมาตย์ จ้าวฮูหยิน”
“ไม่ต้อมากพิธีหลิงเอ๋อร์ มิได้พบกันเสียนานเจ้างดงามยิ่งนัก”
สิ่งที่ท่านอำมาตย์พูดนั้นไม่เกินจริงเลยสักนิด ในตอนที่เขาพบกับคู่แฝดนั้น พวกนางยังมิทันถึงวัยปักปิ่น ก็ว่างดงามมากแล้ว แต่ทว่าเมื่อเติบโตความงามนั้นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านัก
ยิ่งเมื่อเห็นความก้าวหน้าของว่าที่สะใภ้ เขายิ่งรู้สึกว่าวันนั้นคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่เอ่ยปากออกไปเช่นนั้น ไหนจะคู่แฝดของนางที่ยืนในตำแหน่งทัดเทียมบุตรชายของเขาในตอนนี้ มันยิ่งตอกย้ำว่าสตรีหม้ายผู้นั้น ยอดเยี่ยมเพียงใดในการเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง
“ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิงยิ้มน้อย ๆ ทำตามแบบฉบับของสตรีในหอห้อง นับว่านางลดวามเย็นชาทางสีหน้าลงหลายส่วน เพื่อมิให้ผู้ใดติฉินนินทาหรือตำหนิไปถึงมารดาได้ “เรียกท่านพ่อท่านแม่จะดีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” จ้าวฮูหยินเอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้าประคองว่าที่สะใภ้ นับว่าสามีของนางตาแหลมนัก มิว่าท่าทีหรือความงาม หยวนไป่หลิงจัดอยู่ในหญิงงามที่หาตัวจับยากเลยทีเดียวแต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องดูถึงความสามารถอื่น ๆ ของหญิงสาวอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บุตรชายตัวดี นำมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธการแต่งงานได้ ซึ่งจากที่นางรู้เกี่ยวกับหยวนไป่หลิงมานั้น ยากนักที่บุตรชายตัวดีของนางจะหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานอย่างที่ใจหวังแม้ความรักบังคับใจกันไม่ได้ แต่สำหรับชีวิตของคนที่เกิดในสกุลขุนนาง ยากนักจะเลือกเส้นทางหัวใจได้เองทั้งหมด มิเว้นแม่แต่ผู้ครองแผ่นดินการที่สามีของนางเลือกบุตรสาวสกุลหยวนมาเป็นสะใภ้ ล้วนมีเหตุผลอื่นแอบแฝง นอกเหนือจากคำว่าบุญคุณ ชีวิตของขุนนางล้วนมีปลายดาบจ่อลำคอทั้งสิ้น ถ้าวันใดเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นมา สายเลือดของพวกเขาจะยังคงอยู่ แม้จะในฐานะชา
ฮูหยินสายรองทั้งสาม ต่างเบนหน้าไปทางอื่น ด้วยคำพูดนั้นของหญิงสาว แม้จะไม่เอ่ยถึงใคร แต่ความหมายนั้นยิ่งกว่าเอามีดมากรีดกลางใจ ใช่ว่าพวกนางไม่อยากมีทางเลือก แต่เพราะพวกนางนั้นมิรู้ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร หากต้องออกจากบ้านสามี เพื่อไปเผชิญโลกภายนอกเพียงลำพัง “พี่หญิงไป่หลิง ช่างรู้จักการพูด เพื่อให้ตนเองดูดีขึ้นมาได้มากทีเดียวนะเจ้าคะ” “สตรีที่รู้คุณค่าของตนเอง ย่อมรู้จุดยืนและเป้าหมาย จะสตรีหม้ายหรือยังอยู่ร่วมกับสามี ก็ต้องรู้จักการทำมาหากิน มิเช่นนั้นสักวันที่ไร้ปีกของคนเลี้ยงดูคุ้มภัย จะอยู่บนโลกใบนี้ลำบากเอาได้ และข้าต้องขออภัยทุกท่าน ที่มิอาจแจกแจงเรื่องของครอบครัวให้คนนอกรู้ได้ เพราะข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องภายใน ไม่ควรนำออกมาป่าวประกาศ และข้าไม่คิดจะเก็บเรื่องไร้สาระภายนอกเข้าบ้านเช่นกันเจ้าค่ะ” คำพูดโดยรวมที่ไม่เจาะจงว่าเป็นคำตอบ ทำให้ชูเยี่ยนถึงกับหน้าม่านไปเลยทีเดียว ส่วนจ้าวฮูหยินนั้นยิ้มไม่หุบ เมื่อว่าที่สะใภ้พูดได้ถูกใจนางนัก ด้วยตัวนางคือสะใภ้สกุลจ้าว จะเอ่ยสิ่งใดย่อมต้องคิดให้มาก “เราเข้าบ้านกันเถอะนะ” จ้าวฮูหยินพูด
“ไร้มารยาท! เจ้าเห็นไหมว่านางไร้การศึกษา ชั้นต่ำเพียงใด!”“ฮึ! นี่หรือขุนนางในราชสำนัก ข้ามิแปลกใจเลยว่าอายุปูนนี้แล้ว ตำแหน่งยังมิก้าวหน้าไปจากจุดเดิมเลย”เสียงจากด้านหน้าประตู เรียกให้ทุกสายตาหันกลับไปมองเป็นจุดเดียว ร่างสูงสง่าในชุดของกองทัพ ดวงตาที่ดุดันภายใต้หน้ากากสีเข้มเช่นเดียวกับชุด บอกชัดถึงความจริงจังในคำพูด“หยวนไป่หลินแม่ทัพเหนือ คารวะท่านมหาอำมาตย์ ฮูหยิน ข้าต้องขออภัยที่สอดแทรกการสนทนา แต่ข้ายืนรออยู่ด้านหน้าสักครู่แล้วเจ้าค่ะ”“แม่ทัพแดนเหนือ!”ทุกคนอุทานขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ร่างสูงกว่าสตรีทั่วไปก้าวไปยืนเคียงข้างพี่สาว ที่นั่งจิบชาอย่างใจเย็น หากคนแถวนี้ไม่ใช้วาจาจาบจ้วงมารดาของนาง นางก็ไม่คิดที่จะสอดแทรกการสนทนาของผู้ใดแม้แต่น้อย“เจ้าเป็นอันใดกับนาง!”ชายชราเอ่ยถามด้วยสีหน้าแตกตื่น คำว่าแม่ทัพเหนือและเป็นสตรี มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าตำแหน่งของอีกฝ่าย เหนือกว่าเขาหลายเท่านัก“ใต้เท้าคิดว่า....ข้าสองคนเป็นอะไรกันเล่าเจ้าคะ”มือหยาบเยี่ยงบุรุษปลดหน้ากากออกช้า ๆ ทุกสายตาต่างเบิกกว้าง เมื่อเห็นใบหน้าสีน้ำผึ้งนั้น ซึ้งมันเหมือนกับหยวนไป่หลิงไม่มีผิ
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว เหลือเพียงคนในครอบครัว แม่ทัพหนุ่มได้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งอีกฝั่ง เพื่อจะได้เห็นสายตาของคู่แฝดอย่างชัดเจน “มิทันแต่งเข้าจวนข้า เจ้าก็กล้าที่จะหยาบคายต่อคนสกุลจ้าวเสียแล้ว” “หึ ๆ ข้าหรือหยาบคาย คนเราย่อมต้องรู้จักที่จะตอบโต้บ้าง หากสิ่งที่ถูกกระทำมันล้ำเส้นจนเกินไป ยิ่งกับคนที่มิรู้จักคำว่ามารยาท เราก็ไม่ควรที่จะทนจนเกินจำเป็น” “ข้ายังทนฟังเจ้าโต้เถียงผู้อื่นได้เลย” “นั่นเพราะไม่มีผู้ใดด่าทอมารดาของท่าน ครั้งแรกข้าเงียบ ครั้งต่อ ๆ มาข้าก็ยังนิ่งเงียบ แต่การให้โอกาสคนนั้น มิควรมากจนอีกฝ่ายมิเกรงใจเรา ถึงข้าจะเป็นเพียงหญิงบ้านนอกแล้วอย่างไร ไม่มีใครในโลกนี้ควรถูกหยามเกียรติทั้งสิ้น ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นเพียงคนวิปลาสหรือยาจกข้างถนนก็ตามที” “หึ ๆ เจ้าช่างมากด้วยเล่ห์มารยาเสียจริง เจ้ากลัวไปไยว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้าจะไม่รับเจ้าเป็นสะใภ้ ในเมื่อทุกคำของข้าพวกท่านยังมิใคร่ใส่ใจ เจ้าไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมาเสแสร้งพูดให้สวยหรูหรอก” “นั่นคือปัญหาทางความคิดของท่าน มิใช่ปัญหาที่ข้าต้องนำมาคิด
“ท่านแม่อุ้มท้องเราสองคน และเลี้ยงเรามาจนโตได้ขนาดนี้ เจ้าคิดว่าท่านแม่จะอ่อนไหวกับเรื่องเพียงแค่นี้หรือ เมื่อมีหน้าที่ต้องทำก็ทำมันให้ดี สมกับเส้นทางที่เจ้าเลือก ยามที่สุดเส้นทางแล้วเหนื่อยเมื่อไหร่ บ้านเรายังคงเปิดรอเจ้ากลับมาเสมอ” สิ่งที่ผู้เป็นพี่กล่าวมันคือคำยืนยัน ว่าครอบครัวของนางจะจับมือกันฝ่าฟันต่อทุกเส้นทางที่เลือก แม่ทัพสาวคลี่ยิ้มออกมาได้ เมื่อสบเข้ากับแววตารักใคร่ของคู่แฝด “ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านต้องผิดหวังเจ้าค่ะ” หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นางรู้ดีว่ามารดานั้นห่วงนางสองพี่น้องมากแค่ไหน แต่มิว่านางสองคนจะเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตแบบใด มารดามักจะบอกเพียงว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ พร้อมอ้าแขนรับในทุกคราที่ลูก ๆ เหน็ดเหนื่อย ในอดีตนางไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวเข้ากองทัพ แต่เพราะความรู้ดั้งเดิมทำให้นางอดช่วยเหลือทหารบาดเจ็บไม่ได้ ความที่ท่านแม่ทัพชราและเหล่าขุนพลเมตตา จึงคอยสอนการต่อสู้ และให้นางเป็นผู้ช่วยหมอในกองทัพ และวันที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้มาถึง เมื่อท่านแม่ทัพชราตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรู พร้อมอาการบาดเ
หญิงสาวเอ่ยชวนสาวใช้ ก่อนจะมองเลยไปอีกด้าน ที่มีร่างสูงของคนที่อยู่ร่วมเรือนกันมาถึงสองเดือน เขาและนางราวกับคนแปลกหน้ามากกว่า ว่าที่สามีภรรยาจ้าวลู่เชียนหมุนกายเดินกลับเข้าไปภายในงาน เพราะมั่นใจว่าคู่หมั้นของเขา มิได้อยู่ภายในสวนอย่างที่คิดไว้ในทีแรก แม่ทัพหนุ่มก้าวเดินคล้ายคนละเมอ ด้วยไม่คิดว่าหญิงสาวที่เขาหลงรัก จะมีนิสัยที่แตกต่างกับเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้“ท่านพี่ลู่เชียน”เสียงเรียกจากด้านหลัง ทำให้แม่ทัพหนุ่มตื่นจากภวังค์ เขาเดินเลยแขกมาได้อย่างไรกัน ซึ่งมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย สำหรับคนเป็นทหารเช่นเขา“คุณหนูชู”“พี่ลู่เชียน!” หญิงสาวอุทานเบา ๆ เมื่อการเรียกขานของแม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนไป“เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือไม่”“ข้าจะมาชวนพี่ลู่เชียนไปขี่ม้าเจ้าค่ะ”“ข้าคงมิค่อยสะดวกเท่าไหร่”แม่ทัพหนุ่มปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เขาไม่สะดวกใจนักที่จะเข้าใกล้นาง ในเมื่อชีวิตกำเนิดมาได้ด้วยพ่อแม่ ฉะนั้นสิ่งที่ท่านทั้งสองเลือกให้ ย่อมต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี“เอ่อ...เช่นนั้นข้าพอที่จะอยู่ดื่มชากับพี่ลู่เชียนสักครู่ ได้หรือไม่เจ้าคะ”เมื่อถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ หญิงสาวจึง
ยามค่ำคืนจวนสกุลชู ชูเยี่ยนได้สั่งการให้บ่าวไพร่กลับไปพักผ่อน เพื่อมิให้ใครล่วงรู้ความเป็นส่วนตัวของนาง หมับ! ร่างอิ่มถูกรวบกอดจากด้านหลัง ก่อนที่ใบหน้าของหญิงสาวจะแดงระเรื่อ เมื่อจมูกคมกดลงที่ลำคอหอมกรุ่น คืนนี้นางตั้งใจที่จะใช้น้ำหอมตัวใหม่เพื่อเขาโดยเฉพาะ นี่คือเหตุผลที่นางปฏิเสธบุรุษทุกคน เพียงเพื่อรอเวลาให้ความรักของนางและเขาสามารถประกาศต่อหน้าทุกคนได้ “ท่านทำเยี่ยงข้าเป็นสตรีไร้ราคา”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เมื่อมือหนาของชายหนุ่มเลื่อนไปตามร่างงาม “เจ้าก็รู้ว่าเราต้องได้ในสิ่งนั้นเสียก่อน ไม่ต้องห่วงตำแหน่งอันดับหนึ่งคือของเจ้าแต่ผู้เดียว” ชายหนุ่มกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อื้อ...ข้าไม่อยากรอแล้วนี่เจ้าคะ” “ขอแค่จ้าวลู่เชียนและสกุลจ้าวหายไป แผนการของเราก็จะง่ายขึ้นอีกหลายเท่าตัว” “แต่คู่หมั้นของเขาคือนายหญิงแห่งมวลเมฆา มันไม่ง่ายที่จะล้มสกุลจ้าวนะเจ้าคะ” “อย่าห่วงเลย ไม่ช้าสกุลจ้าวและมวลเมฆาจะมิหลงเหลือแม้แต่ชื่อ ที่ดีไปกว่านั้น เจ้าไม่ต้องเข้าหาเขาแล้ว แต่เจ้าต้
ร่างที่กำลังโรมรันอยู่กับคนชุดดำจำนวนมาก คือคู่หมั้นของเขานั่นเอง แม่ทัพหนุ่มไม่รีรอให้เสียเวลา ร่างสูงพุ่งเข้าสู่การต่อสู้ในทันที ก่อนที่ดวงตาจะหันไปเห็นคนของเขาได้รับบาดเจ็บ โดยมีสาวใช้ของคู่หมั้นปกป้องอย่างสุดกำลัง “ตื่นมาทำไมกัน มิพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเล่า” “เจ้าประชดข้ารึ!” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อแผ่นหลังของทั้งคู่ชิดกัน “ข้าพูดจริง ท่านแม่ทัพเหนื่อยมาหลายวันแล้ว แค่นี้ว่าที่ภรรยาเยี่ยงข้ารับมือได้สบายมาก” หญิงสาวไม่ได้แสดงออกถึงอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่เลือกที่จะเบนความสนใจของชายหนุ่มโดยการหยอกเย้า นางคืออดีตนักรบย่อมรู้จุดอ่อนแข็งของเหล่าแม่ทัพดี ในสยามรบดุดันราวพยัคฆ์ ทว่าถ้าเกิดเรื่องกับคนในบ้านจะอ่อนไหวราวลูกแมว เพราะนางก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน “ข้าคือสามี ย่อมต้องปกป้องภรรยาและครอบครัว” การต่อสู้เป็นไปอย่างหนักหน่วง เมื่อศัตรูไม่มีทีท่าว่าจะถอย คงเพราะเรือนของเขาอยู่ไกลจากเรือนหลังอื่น ทหารยามจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แม่ทัพหนุ่มพยายามปลอบใจตนเอง ว่ามันจะไม่เกิดเรื่องกับพ่อแม่และน้องชายหญิง
“เหนื่อยหรือไม่ลูกรัก”หยวนไป่หลีเดินเข้ามาหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้างามของมารดามิเคยจืดจางรอยยิ้มเลย แม้ในยามที่เหน็ดเหนื่อย สองพี่น้องเดินเข้าโอบประคองผู้เป็นแม่คนละข้าง“แค่ท่านแม่มีความสุข แค่นี้นับว่าน้อยมากเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิง ซบใบหน้าลงกับไหล่ของมารดาด้วยความรักใคร่ หยวนไป่หลียกมือขึ้นวางบนแก้มของบุตรสาวทั้งสอง“เจ้าสองพี่น้องล้วนคือความสุขของแม่ รวมถึงเจ้าตัวเล็กของแม่ทุกคนด้วย”หยวนไป่หลีมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะมีวันนี้นางสามแม่ลูก ล้วนผ่านการเสียน้ำตากันมาไม่น้อยเลย“ข้ารักท่านแม่เจ้าค่ะ”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน หากวันนั้นที่บิดาทอดทิ้ง มารดามิคิดถึงพวกนางที่อยู่ในท้อง ป่านนี้คงไร้ลมหายใจตั้งแต่มิทันลืมตาดูโลก“ท่านแม่ต้องกลับชายแดนเหนือกับข้านะเจ้าคะ คู่แฝดนั่นกำลังซุกซนนัก บิดาพวกนางล้วนมิเคยขัดใจลูกสักครั้ง”หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เพราะพี่สาวที่ใกล้คลอดมีแม่สามีอยู่เคียงข้างแล้ว แต่นางที่ต้องออกทำหน้าที่รักษาชายแดน ย่อมไม่มีเวลาที่จะดูแลคู่แฝดได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยให้สามีของนางเลี้ยงลูกลำพัง เห็นที่จะไร้ความเป็นสตรีอ
เป็นคำอวยพรของสหายทั้งหลาย ก่อนจะผลักร่างเมามายของเจ้าบ่าวเข้าภายในห้อง พร้อมปิดประตูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากประตูปิดลงร่างสูงพลันยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม สุราแค่นี้หรือจะทำอันใดเขาได้ แม่ทัพหนุ่มหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างภรรยา ก่อนจะค่อย ๆ เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก รอยยิ้มละมุนคือสิ่งที่เขาปรารถนาได้เห็นมันมาตลอดทั้งวัน “หิวหรือไม่!” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นเราไปกินข้าวกัน” แม่ทัพหนุ่มประคองภรรยาให้เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่มีการจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอท่าแล้ว โดยมีเตาอุ่นสำหรับทำให้อาหารยังคงความร้อน คู่สามีภรรยาต่างสบตากัน เมื่อสุรามงคลได้ถูกแลกเปลี่ยนแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากเมื่อแรกพบหน้า เรื่องราวที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย “จะอยู่ตรงนี้กันทั้งคืนเลยรึ! ดึกแล้วมิรู้จักกลับบ้านไปหลับนอน” แม่ทัพสาวเอ่ยถามสหาย ที่พากันแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้หน้าห้องหอ เสียงของนางไม่ได้เบาเลยสักนิด ป่านนี้คนด้านในคงได้ยินกันหมดแล้ว
สองวันถัดมาการเดินทางของคนจากชายแดน ได้แยกเป็นสองคณะ ซึ่งแขกคนสำคัญล้วนอยู่ในขบวนสินค้าจากชายแดน ส่วนในคณะจะเป็นคนของมวลเมฆา ที่ปลอมตัวเป็นคณะของแขกต่างแคว้น การเดินทางทั้งสองคณะนั้นจะแยกไปคนละเส้นทาง และจากสาสน์ลับที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคณะต่างเร่งเดินทางชนิดที่เรียกได้ว่ามิได้หลับนอนกันเลยทีเดียว เพราะหากล่าช้า อาจเกิดการสูญเสียที่ยากจะกู้คืนมาได้ หยวนไป่หลิงพยายามป้อนยาให้แก่จ้าวลู่เชียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาอาการไข้ของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผลคงมาจากความมั่นใจ ว่าตนเองทนไหวต่อการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนมันลุกลามเป็นหนักขึ้น “กินยาสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเราอาจต้องทิ้งท่านไว้ระหว่างทาง” หมับ! แม่ทัพหนุ่มรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะพยายามลืมตามองใบหน้าของสตรีใจร้าย ที่คิดจะทิ้งเขาเอาไว้กลางทาง นางช่างไม่มีหัวใจเอาเสียเลย “เจ้ากล้ารึ!” “ท่านเคยเห็นข้าขู่ใครหรือไม่เล่า” “แต่มันขม!” หยวนไป่หลิงได้แต่อมยิ้ม เมื่อคนตัวโตแสร้งเว้าวอนราวเด็กสิบขว
“โหวปู้หยา ข้ารู้จักเจ้าและอำนาจที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามันได้เป็นอย่างดี แค่ความคิดที่เจ้าจะแตะต้องเขา ข้าก็พร้อมที่จะปลิดลมหายใจเจ้าอย่างไม่คิดที่จะลังเล”หยวนไป่หลิงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน โหวปู้หยาขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว คนที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ‘เชียวอิง’อึก! หยวนไป่หลิงดันดาบในมือจนมิดด้าม มือบางอีกข้างที่ลูบยังลำคอของชินอ๋อง มันทำให้เขารู้สึกราวแมวข่วนเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างในครรลองสายตาจะพร่าเลือน“ตอนท่านสังหารสามีข้า แม้ความปราณีสักนิดก็ไม่มี การที่ข้าทำเยี่ยงนี้ใช่เมตตาต่อท่าน แต่ข้ามิอยากให้ลูกของข้าเห็นภาพที่ไม่ชวนมอง”หยวนไป่หลิงเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหมุนกายเดินกลับไปหาจ้าวลู่เชียน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มเองก็รีบถลามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกแล้วจับร่างงามหมุนไปมา เพื่อดูให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก่อนจะรวบกอดหญิงสาวอีกครั้ง“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ พวกท่านทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาข้าเป็นถึงโอรสฮ่องเต้นะ”ท่านหญิงโหวถลาเข้าสวมกอดร่างอ่อนแรงของบิดา ที่ตอนนี้มีลมหายใจเหลือเ
“หากเจ้ายังคิดขวางทางข้า เกิดอะไรขึ้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน” “เช่นนั้นรึ!” หยวนไป่หลิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเปิดทาง ในเมื่อวันนี้มาถึงนางก็จะจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม่ทัพหนุ่มคิดที่จะห้ามปราม ทว่าท่านชายลั่วกลับรั้งเขาเอาไว้ แววตาเชื่อมั่นของผู้เป็นนาย ที่มีต่อคู่หมั้นของเขา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นอยู่ในใจ เกรงว่าคู่แข่งทางหัวใจจะมาเหนือความคาดหมาย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอาไว้จบเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ลั่วหยางเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ ตอนที่ไม่เคยรักใคร่ ปากก็มีแต่จะถอนหมั้น แต่มาดูตอนนี้สิน่า! แทบจะสิงร่างของหยวนไป่หลิงแล้ว ทุกคนเดินออกมายืนอยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าเรือน เพื่อดูการต่อสู้ระหว่างฮูหยินแม่ทัพแคว้นเยี่ย กับอดีตองค์รัชทายาทจากแคว้นฉู่ หยวนไป่หลิงส่งสัญญาณให้อู่หรง นำอาวุธมามอบแก่โหวปู้หยา “จ้าวฮูหยิน เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนชำระความเองได้หรือไม่” เว่ยหลงก้าวเข้ามาเอ่ยขอต่อหญิงสาว “บิดาเจ้ายังตายใต้คมดาบของข้า เจ้าจะ...อ๊ะ!” ปลายกระบี
เสียงของบิดาที่ก้าวผ่าน ทำให้คนที่นอนน้ำตานองหน้า อยากที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แม้จะมิเสียกายแต่เมื่อใครมาเห็นนางในสภาพนี้ ชื่อเสียงของนางย่อมป่นปี้จะมีบุรุษสูงศักดิ์ใดเล่าจะต้องการนางอีก เกิดมามิเคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน หญิงสาวทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ ด้วยความบอบช้ำจนยากจะเยียวยาภายในห้องนอนแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น ทั้งคู่ต่างนั่งจ้องตากัน คล้ายกับว่าใครหลบสายตาก่อน ผู้นั้นพ่ายแพ้ในทันที“ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเจ้าคะ”“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าหมางใจ”หยวนไป่หลิงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าภายในใจของนางกำลังขำขัน เรื่องที่นางลงมือต่อท่านชายจากฉู่ คงทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วกระมัง“ที่ข้าทำเช่นนั้น เพื่อตัดทุกวงจรความมิรู้พอของเขา หากเขายังมีมันอยู่ มิแคล้ววนเวียนทำร้ายสตรีไปทั่ว โดยมิสนลูกใครเมียใครเจ้าค่ะ”“ข้าไม่คิดที่จะใช้มันพร่ำเพรื่อกับผู้ใด นอกจากภรรยา”แม่ทัพหนุ่มยังคงไม่วายกังวล เกรงว่าตนเองอาจเป็นรายต่อไป หากมีสตรีใดเข้าใกล้เขา เช่นที่ท่านหญิงแคว้นฉู่ได้ทำกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก
ร่างสูงถูกพาหายไปยังอีกด้านของมุมถนน ก่อนที่จะพากันแนบกายเข้ากับกำแพง แล้วมองกลับไปยังถนนที่เพิ่งจากมา องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วจนชิด เมื่อเห็นร่างของคนที่เขาเพิ่งร่วมดื่มสุรา กำลังมองหาใครสักคน ซึ่งเดาได้ว่าเป็นตัวเขา “ท่านพ่อมาได้อย่างไรขอรับ” หลังจากลับร่างขององค์รัชทายาทจากฉู่ไปแล้ว ชายหนุ่มได้หันกลับมาถามบิดา ยิ่งเห็นการแต่งกายที่ผิดแผกไปจากเดิม ความสงสัยยิ่งมากขึ้นนับเท่าทวีคูณ “ฟังให้ดี! เจ้าจะต้องไม่เข้าใกล้คนผู้นั้นอีก หากเลี่ยงไม่ได้ก็ระวังตัวให้มาก” “ท่านพ่อพูดเหมือนเขาคิดจะทำร้ายข้า” “ใช่!” “ข้าจะระวังตัวขอรับ”แม้จะสงสัยในคำของบิดา แต่เพื่อมิให้บิดาต้องเป็นกังวล ชายหนุ่มจึงได้รับปากในทันที โดยไม่คิดที่จะซักถามถึงเหตุผล “เจ้ากลับไปพักได้แล้ว การมาในครั้งนี้ของเจ้า แม้ว่าพ่อจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่มันคือเส้นทางที่เจ้าเลือก พ่อจะคอยปกป้องเจ้าเอง” “ข้าโตแล้วนะขอรับ” “ตราบใดที่ข้ายังหายใจ เจ้าจะเป็นเด็กอยู่เสมอ แม่ของเจ้าคงตำหนิพ่อแน่ หากเจ้าเป็นอันใดไป”
“ปล่อยข้านะ! เจ้ากล้าดีเยี่ยงไรถึงได้เข้ามาในเรือนของข้า” “เรือนเจ้าแต่เป็นจวนของพี่สะใภ้ข้า ฉะนั้นข้าในฐานะน้องสามีของนาง สามารถไปได้ทุกที่ที่ข้าต้องการ” “เจ้าน่าจะรู้นะว่าทำเช่นนี้ จะเกิดสิ่งใดตามมา” “หึ ๆ ระหว่างข้าที่ปกป้องเกียรติของพี่ชาย กับเจ้าที่เป็นสตรีไร้ยางอาย เจ้าคิดว่าใครต้องอยู่อย่างอดสูกว่ากัน” “ฮ่า ๆ พี่สะใภ้ของเจ้าตอนนี้จะเป็น...” “เป็นอย่างไรรึ!” เสียงจากด้านหน้าประตู ทำให้คนพูดถึงกับชาหนึบไปทั้งร่าง เป็นไปไม่ได้ที่หยวนไป่หลิงจะอยู่ที่นี่ แล้วพี่ชายของนางเล่าอยู่ที่ใดกัน อ๊ะ! ร่างงามถูกลากลงจากเตียง “เป็นไม่ได้! เจ้ามาได้อย่างไร!” “ท่านพี่! รีบลุกไปอาบน้ำให้สะอาดเดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วข้าจะให้ท่านนอนข้างนอก” ร่างสูงที่นอนไร้สติอยู่เมื่อครู พลันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรีบลงจากเตียงเดินหายออกจากห้องไป ราวกับเมื่อครู่ที่ผ่านมา เขามิได้มึนงงด้วยฤทธิ์ยาที่ใส่ลงในจอกสุราของเขา หยวนไป่หลิงมองคนที่นั่งกองอยู่กับพื้น ด้วยสภาพน่าอเนจอนาถ ใบหน้าซีดขาวข
กลิ่นสุราที่เป่าราดรดบนใบหน้า ทำให้หยวนไป่หลิงจำต้องเบือนหน้าหนี ด้วยกลิ่นสุรารสแรงบวกกับกลิ่นกาย ทำให้หญิงสาวแทบอาเจียนออกมาเสียให้ได้ “ข้าจะเก็บเจ้าไว้เป็นของเล่นนาน ๆ หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ ตำแหน่งอนุในจวนข้าจะมอบมันแก่เจ้า” “หึ ๆ อย่างนั้นรึ!” ร่างสูงของโหวซือหยงถึงกับผงะ เมื่อน้ำเสียงที่เคยอ้อแอ้ บัดนี้มันกลับแปรเปลี่ยนเป็นปกติ “จะ...เจ้า!” ใบหน้าที่ตื่นตกใจเมื่อครู่ กลายเป็นบิดเบี้ยวราวคนวิปลาส ก่อนจะวางมือบนลำคอของหญิงสาว พร้อมออกแรงบีบ อึก! ลำคอของเขาเองก็ถูกรวบจากมือบอบบางนั้นเช่นกัน ดวงตาราวคนวิปลาสเริ่มเบิกกว้าง เมื่อแรงของเขาที่เพิ่มในการบีบลำคอของหญิงสาว มันดูไร้น้ำหนักไปเสียอย่างนั้น ทว่ากลับเป็นมือของนางที่แข็งราวกับเหล็กกล้า ทั้งที่คนใต้ร่างเป็นเพียงสตรีบอบบางเท่านั้น “บิดาเจ้าไม่เคยสอนหรือ ว่าส่วนใดบ้างของร่างกาย ที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง” ปึก! ร่างสูงถูกถีบจนกระเด็นลงจากเตียง หยวนไป่หลิงบนเตียงลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะก้าวลงจากเตียงมาหยุดยืน อยู่ไม่ห่างจากท่านชายจากฉู่