“ใต้เท้ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
หยวนไป่หลิงยิ้มน้อย ๆ ทำตามแบบฉบับของสตรีในหอห้อง นับว่านางลดวามเย็นชาทางสีหน้าลงหลายส่วน เพื่อมิให้ผู้ใดติฉินนินทาหรือตำหนิไปถึงมารดาได้
“เรียกท่านพ่อท่านแม่จะดีกว่า เราคือครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
จ้าวฮูหยินเอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้าประคองว่าที่สะใภ้ นับว่าสามีของนางตาแหลมนัก มิว่าท่าทีหรือความงาม หยวนไป่หลิงจัดอยู่ในหญิงงามที่หาตัวจับยากเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องดูถึงความสามารถอื่น ๆ ของหญิงสาวอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บุตรชายตัวดี นำมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธการแต่งงานได้ ซึ่งจากที่นางรู้เกี่ยวกับหยวนไป่หลิงมานั้น ยากนักที่บุตรชายตัวดีของนางจะหาข้ออ้างยกเลิกการแต่งงานอย่างที่ใจหวัง
แม้ความรักบังคับใจกันไม่ได้ แต่สำหรับชีวิตของคนที่เกิดในสกุลขุนนาง ยากนักจะเลือกเส้นทางหัวใจได้เองทั้งหมด มิเว้นแม่แต่ผู้ครองแผ่นดิน
การที่สามีของนางเลือกบุตรสาวสกุลหยวนมาเป็นสะใภ้ ล้วนมีเหตุผลอื่นแอบแฝง นอกเหนือจากคำว่าบุญคุณ ชีวิตของขุนนางล้วนมีปลายดาบจ่อลำคอทั้งสิ้น ถ้าวันใดเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้นมา สายเลือดของพวกเขาจะยังคงอยู่ แม้จะในฐานะชาวบ้านทั่วไปก็ตามที
“ชูเยี่ยน คารวะท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ”
เสียงจากด้านหลัง ทำให้ทุกคนหันไปมอง คุณหนูชูเยี่ยนบุตรสาวคนโตของท่านเสนาบดีชูถงนั่นเอง ชูเยี่ยนถึงกับมือชื้นเหงื่อ เมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของรถม้าอันโอ่อ่า หญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ดูเหมือนว่าจะยังเทียบไม่ได้กับความงามของคนตรงหน้า
“คุณหนูชู”
จ้าวฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่อการมาของหญิงสาวเท่าใดนัก
“เยี่ยนเอ๋อร์ได้ยินมาว่าท่านพี่ลู่เชียนไม่ค่อยสบาย วันนี้จึงได้ตุ๋นน้ำแกงมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
ชูเยี่ยนรีบบอกถึงจุดประสงค์ที่มาเยือน ทั้งยังแสร้งมองข้ามสายตาไม่ชอบใจของมารดาแม่ทัพหนุ่มไปเสีย
“ลู่เชียนแค่เป็นหวัดเล็กน้อยเท่านั้น อ่อ...ข้าลืมแนะนำ นี่คือคุณหนูหยวนไป่หลิง คู่หมั้นของลู่เชียน หลิงเอ๋อร์ นางคือคุณหนูใหญ่สกุลชูจ๊ะ!”
จ้าวฮูหยินไม่เปิดโอกาสให้ชูเยี่ยนได้เอ่ยถาม ว่าหญิงสาวข้างกายนางคือใคร ทว่านางกลับชิงแนะนำว่าที่สะใภ้ในทันที ท่านมหาอำมาตย์จ้าวแสร้งมองไปยังทิศทางอื่น แม้ภรรยาของเขาจะยังคงรักษามารยาท ทว่าแววตาและน้ำเสียง มันบ่งบอกชัดถึงความไม่ชอบในตัวของชูเยี่ยน
“ชูเยี่ยนคารวะ พี่หญิงไป่หลิง”
“ยินดีที่ได้รู้จัก คุณหนูชู” หยวนไป่หลิงตอบรับตามมารยาท
“ด้านนอกลมแรง เราเข้าไปข้างในกันดีกว่านะ เอ๊ะ! นั่น!”
จ้าวฮูหยินที่เอ่ยตัดบท เพื่อพาว่าที่สะใภ้เข้าจวน ทว่าก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดต่อจนจบประโยค นางจำต้องอุทานขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นรถม้าของจวนสกุลสายรอง มาหยุดอยู่ถัดจากรถม้าของหยวนไป่หลิง
“ท่านอารองกับฮูหยินทั้งสามของเขานี่! เจ้าคะ” จ้าวฮูหยินพูดกับสามี ก่อนจะลอบถอนหายใจด้วยรู้ถึงนิสัยผู้อาของสามี
“พวกเจ้าต้องให้ข้าที่เป็นอา ทักทายก่อนเช่นนั้นรึ! อ่อ...ใช่สิ! ข้ามันแค่ขุนนางเล็ก ๆ ไหนเลยจะได้รับสายตาจากท่านมหาอำมาตย์ได้”
เพียงก้าวพ้นประตูรถม้าลงมายืนบนพื้น วาจาจิกกัดเหมือนจะเริ่มทำงานได้อย่างรวดเร็วทันใจ จ้าวฮูหยินเข้าใจในทันที ว่าทำไมชูเยี่ยนถึงมาที่นี่ ทั้งที่นางมั่นใจว่าไม่เคยบอกใครเรื่องบุตรชายป่วย
“คารวะท่านอา ท่านอาสะใภ้ทั้งสาม”
จ้าวหยางจงจำต้องทำความเคารพตามฐานะอาวุโส มิเอ่ยถึงตำแหน่งในราชสำนัก ดูเหมือนว่าในจวนของเขาจะมีเกลือเป็นหนอนกระมัง หาไม่แล้วท่านอาของเขา มีหรือจะรู้ถึงการมาของว่าที่สะใภ้และการเจ็บป่วยของบุตรชาย
“หรูเหลียน คารวะท่านอา ท่านอาสะใภ้” จ้าวฮูหยินย่อกายอย่างจำใจยิ่งนัก
“ชูเยี่ยนคารวะท่านปู่ ท่านย่าทั้งสามเจ้าค่ะ”
“หยวนไป่หลินคารวะใต้เท้า ฮูหยิน”
ทุกสายตาจากสกุลสายรอง ต่างจับจ้องมาที่หญิงสาวแปลกหน้าเป็นตาเดียว สายของพวกเขาได้รายงานว่าคู่หมั้นของจ้าวลู่เชียน จะเดินทางมาถึงในวันนี้
“บุตรสาวสตรีหม้าย ทั้งยังมาจากบ้านนอก ใบหน้างดงามแต่ไร้การศึกษา เป็นได้เพียงอนุข้าว่ามันเหมาะสมที่สุดแล้ว”
คำพูดไม่ไว้หน้าใครของชายชรา ไม่ได้ทำให้สีหน้านิ่งเรียบของหญิงสาวแปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทว่ากลับมีรอยยิ้มที่มุมปากบิดขึ้นแต่พองาม
ก่อนมาถึงนางย่อมรู้ลึกตื้นหนาบางของคนที่ดีเป็นอย่างดี ท่านอารองของท่านหมาอำมาตย์ ได้เป็นขุนนางเพราะบารมีบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว บุตรชายของชายชราผู้นี้ ทำการค้าแต่ก็แทบจะขาดทุนมากกว่าได้ผลกำไร โดยรวมแล้วสกุลสายรอง ไม่มีสิ่งใดเทียบกับสกุลสายหลัก หรือแม้แต่กับตัวนางด้วยซ้ำ
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นบุตรสาวสตรีหม้าย และมาจากเมืองชายแดน ส่วนเรื่องการศึกษามีหรือไม่นั้น วาจาคือสิ่งบ่งชี้เจ้าค่ะ”
“สามหาว! เจ้ากำลังด่าข้าเช่นนั้นรึ!”
“ท่านอา! หากจะมาเพื่อยุ่งเรื่องของครอบครัวข้า เช่นนั้นข้าอาจต้องเสียมารยาทต่อท่านนะขอรับ”
“จ้าวหยางจง! นี่เจ้าเห็นคนนอกดีกว่าครอบครัวเช่นนั้นรึ!”
“ท่านอาและตัวข้าต่างก็เป็นขุนนางในราชสำนัก ทว่ากลับมาโต้เถียงกันอยู่ถนนหน้าบ้าน มิรู้อับอายต่อผู้คนบ้างหรือขอรับ”
“หยางจง! สิ่งที่ท่านพี่พูดมา ล้วนเพื่อปกป้องเจ้าและสกุลจ้าวของเรานะ สตรีไร้หัวนอนปลายเท้า มารดาทำเสื่อมเสียอันใดก็มิรู้ ถึงได้กลายเป็นหม้ายสามีหย่า เช่นนี้แล้วนางคือความน่าอับอายที่แท้จริง”
ฮูหยินสายรองเอ่ยขึ้น พร้อมกับจิกสายตาไปยังหญิงสาวแปลกหน้า ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นสูง ด้วยรู้สึกริษยาในตัวของหญิงสาว มิเพียงใบหน้างดงาม ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่นั้น ล้วนชั้นเลิศราคาของทั้งชุด ยังมากกว่าเงินเดือนสามีของนางเสียอีก
“หลิงเอ๋อร์ แม่ต้องขอโทษเจ้ายิ่งนักที่ทำให้มิสบายใจ”
“ท่านแม่โปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้านั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับคำพูดที่หาความจริงมิได้ จริงอยู่มารดาของข้าได้หย่าขาดจาดบิดา นั่นเพราะสตรีเราไยต้องทนให้บุรุษมักมากเอาเปรียบด้วย หากเป็นเพียงหนึ่งไม่ได้ สู้อยู่เพียงลำพังเสียจะยังดีกว่าว่าไหมเจ้าคะ”
ชายแดนแคว้นฉู่-แคว้นเว่ย รถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว เสียหลักหลุดออกนอกเส้นทาง ชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก คนด้านในใช้มือข้างหนึ่งยันกายเอาไว้ อีกข้างกอดกระชับห่อผ้าสีทองเอาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ เป็นอันใดไหมขอรับ” ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถม้า พร้อมเอ่ยถามผู้เป็นนาย “ท่านพี่ชุน โปรดช่วยข้าสักครั้งเถิด พาเขาไป! อย่าให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของเขา จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสม อึก!” หญิงสาวเอ่ยร้องขอชายหนุ่ม ก่อนกล่ำกลืนเลือดที่เกือบจะพุ่งออกมา กลับลงคอไปอย่างยากลำบาก “เราจะไปด้วยกันขอรับ” เชียวอิงขยับห่อผ้าสีทองออกห่างกายเล็กน้อย ก่อนจะก้มมองยังช่วงท้องของนาง ชุนหานจงถึงกับใบหน้าถอดสี บาดแผลนี้นางปกปิดเอาไว้นานเท่าใดแล้ว “ได้โปรดท่านพี่ชุน ชีวิตของข้าหากแลกกับเขาได้ข้ายินดี” ชุนหานจงไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ ศัตรูไล่หลังมาอย่างกระชั้นชิด เวลาในการตัดสินใจย่อมมีไม่มาก มือที่แดงชานไปด้วยเลือดของศัตรู ยื่นออกไปรับห่อผ้าสีทองมาไว้ในอ้อมแขน “ท่านแม่ทัพโปรดถนอมตัวด้วย” ร่างสูงขบกรามแน่น เพื่อข่
หยวนไป่หลิงลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะน้ำชา ซึ่งมีกาสุราหวานวางอยู่ หญิงสาวรินน้ำสีอำพันในลงจอก ก่อนจะยกดื่มเพื่อดับความคับแค้น ที่มันกำลังจะครอบงำนางจากความฝันเมื่อครู่ชีวิตใหม่ของนางควรจะราบเรียบ ทว่าเมื่อตอนอายุได้ห้าขวบ ความทรงจำอันคุ้นเคยได้หลังไหลเข้ามาราวสายน้ำ ทั้งสุขทุกข์ฉายชัดอยู่ในหัว เหมือนมันจะบอกแก่นางแล้วว่าถึงเวลาที่ต้องเลือกว่าจะเดินกลับไปเพื่อแก้แค้น หรือจะก้าวต่อไปในชีวิตที่สงบสุข ซึ่งอันที่จริงมันก็มิได้สงบสุขอันใด ออกจากลำบากเสียมากกว่า และนางเลือกที่จะใช้ความทรงจำนั้น สร้างอนาคตให้ตนเองกับครอบครัวต่อให้ก้าวกลับไปเพื่อทวงแค้น มันจะมีประโยชน์อันใดถ้าไร้เงินทองและอำนาจ หากจะใช้เรือนร่างเข้าแลก เพื่อการแก้แค้นมันไม่คุ้มเอาเสียเลย เพราะมันมีค่าเกินกว่าจะไปพลีให้ใคร เพียงเพื่อปีนป่ายในสิ่งที่ต้องการความแค้นยังคงมี แต่มันอยู่ที่นางจะเลือกมองมันแบบใด หากโชคชะตาต้องการให้นางทวงความเป็นธรรม มิช้ามันจะนำพานางกลับไปเอง ส่วนเรื่องลูกนั้น นางสุขใจที่เห็นเขาเติบโตอยู่ในที่ปลอดภัยใช่ว่านางไม่คิดถึงเขา แต่นางไม่อาจไปยืนตรงหน้าเขา แล้วบอกว่านี่คือแม่ได้ นางในตอนนี้คือหญิงสาววัยไล่เ
หยวนไป่หลีรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้บุตรสาวต้องลำบากใจ เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่กิจการของนางเริ่มไปได้ดี ในวันที่นางกำลังออกไปตรวจดูสินค้านอกเมืองพร้อมบุตรสาวทั้งสอง ได้มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก และในตอนนั้นบุตรสาวคนเล็กที่รอบรู้เรื่องสมุนไพรต่าง ๆ ได้นำมันมาให้นางช่วยชีวิตของทั้งคู่เอาไว้ได้ ใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่าสองสามีภรรยาจะอาการดีขึ้น เมื่อทั้งคู่หายเป็นปกติ ก่อนจะจากไปได้เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวหนึ่งในสองคนของนางให้เป็นสะใภ้เอก ด้วยอารามตกใจกับคำขอของอีกฝ่าย นางตอบรับไปทั้งที่ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่จนเวลาผ่านมาหลายปี ใต้เท้าผู้นั้นก็เงียบหายไป บุตรสาวสองคนต่างเลยวัยออกเรือนมามาก ก็ยังคงไร้วี่แววของคนที่เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรสาวของนางทว่าหยกที่สองสามีภรรยามอบให้ เพื่อเป็นสิ่งยืนยันการหมั้น เป็นเสมือนสิ่งที่ค้ำคอนางเอาไว้ มิอาจเอ่ยปากให้บุตรสาวคนใดออกเรือนกับผู้อื่นได้จนเมื่อครึ่งเดือนก่อน นางได้รับจดหมายจากทางเมืองหลวง พร้อมการแจกแจงเรื่องการแต่งงาน และความเป็นไปของบุตรชาย เพียงอ่านถึงตำแหน่งของชายหนุ่ม นางก็รู้ได้ในทันที ว
เมืองหลวง ณ สกุลจ้าว ท่านมหาอำมาตย์จ้าวหยางจงนั่งใบหน้าเรียบตึง เมื่อบุตรชายคนโต ดูจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาสั่งการ “ข้าแสร้งหูหนวกตาบอด ยอมผัดผ่อนเรื่องนี้มานานหลายปี เจ้าเป็นบุรุษมันอาจไม่เสียหายอันใด แต่คุณหนูหยวนเล่านางเป็นสตรี ไยจะต้องมานั่งรอคู่หมั้นไม่เอาไหนเยี่ยงเจ้าอยู่เช่นนี้ด้วย มันถูกต้องแล้วหรือ” “จ่ายชดเชยนางไป และท่านพ่อก็ช่วยหาสามีที่ดีให้แก่นาง เท่านี้นางก็ดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างไม่คิดจะแยแสต่อความรู้สึกของคู่หมั้น เพราะสตรีที่เลยวัยออกเรือน ทั้งยังมีฐานะธรรมดา เงินทองย่อมล้ำค่ากว่าสามีที่ไม่เคยมอบใจให้นางมาก่อนเลย “ชดเชยเช่นนั้นรึ! เจ้าคิดว่าชีวิตของข้ากับมารดาของเจ้า มีค่าแค่เงินไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้นรึ! เจ้าเป็นถึงแม่ทัพ! ย่อมน่าจะรู้ดีว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร” แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไปในทันที เมื่อสิ่งที่บิดาเอ่ยมานั้น ไม่มีเรื่องใดที่ผิดเลย เขายืดเวลาในการแต่งงานออกมานานหลายปี แต่แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้ เมื่อบิดายื่นคำขาดเรื่องการแต่งงานที่ยืดเยื้อมานานเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่พ่อแม่ของ