บทที่ 3 ถึงเวลาแล้ว
“เจ็บ ข้าเจ็บเหลือเกิน นี่ข้าตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ? แต่หากข้าตายทำไมข้าถึงได้รู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้ล่ะ”
หนิงเซียนค่อย ๆ ลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งอย่างช้า ๆ สิ่งแรกที่นางเห็นคือขื่อของกระท่อมเก่าทรุดโทรม นางเริ่มกวาดสายตาจ้องมองไปทั่ว ๆ นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนางใกล้จะหมดลมหายใจอยู่ที่หน้าเรือนมิใช่หรือ? แล้วที่นี่ที่ไหนกัน นางต้องตายแล้วมิใช่หรือ? คำสั่งของหยางตงฉวนยังกึกก้องอยู่ในหูไม่จางหายเขาสั่งการให้บ่าวรับใช้จัดการกับนางและพาร่างของนางมาทิ้งมิใช่หรือ? แต่มิทันที่นางจะได้สงสัยอันใดต่อเสียงฝีเท้าได้ดังใกล้เข้ามาแม้อยากลุกหนีแต่ทว่าร่างกายของนางเจ็บปวดไปหมดมิอาจจะดิ้นได้ด้วยซ้ำ
“เจ้าฟื้นแล้วหรือ? อาจจะยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่อย่าพึ่งลุกเลย ข้าจะให้ลูกศิษย์ของข้ามาป้อนอาหารป้อนยาให้แก่เจ้า ระหว่างนี้ข้าจะช่วยเหลือจนกว่าเจ้าหายดีเอง” ชายชราใบหน้าแสดงถึงความดีใจเมื่อเห็นนางฟื้นเดินเข้ามาถามหนิงเซียน นางคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย
“ฮึ! เจ้าคงสงสัยสินะว่าข้าคือผู้ใดมิต้องกลัวข้า ข้าเป็นนักพรตที่เดินผ่านมาเห็นเจ้าได้รับบาดเจ็บจึงให้ลูกศิษย์ช่วยแบกเจ้ามาที่นี่และรักษาให้ นอนพักอีกสักหน่อยเถอะนะ” หนิงเซียนเริ่มเบาใจหรือนี่จะเป็นเพราะคำอ้อนวอนของนางที่อ้อนวอนต่อสวรรค์ให้นางมีชีวิตต่อเพื่อแก้แค้นสามีชั่วช้าและสหายที่คอยแว้งกัดนางจากด้านหลัง ยามนี้ร่างกายของนางยังอ่อนแอนักจึงพยักหน้ารับรู้และหลับตาลงพักผ่อนอย่างที่ท่านนักพรตบอก
วันเวลาที่รักษาร่างกายของหนิงเซียนได้ล่วงเลยมาสามฤดูช่วงแรก ๆ ไป๋ฉีไม่ชอบนางเลยเพราะเห็นว่านางทำให้การเดินทางของเขาคลาดเคลื่อน แต่เมื่อคอยดูแลนางก็เริ่มใจอ่อนขึ้นมากลายเป็นเอ็นดูนางมากกว่าเดิม ท่านนักพรตช่วยเหลือใช้พลังของตนทำให้นางกลับมาเดินได้ ระหว่างนั้นเขาได้ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่หนิงเซียนไม่อยากให้ผู้ใดรู้เบื้องหลงของตนเอง จึงแสร้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเองด้วยซ้ำ ไป๋ฉีจึงได้ตั้งชื่อให้นางใหม่มีนามว่า
เจียวเหมย มาจากกิริยาที่งดงามและอ่อนโยนของนาง หนิงเซียนพอใจในชื่อนี้มากแต่ละคืนวันที่ผ่านพ้นนางเฝ้าฝันถึงวันที่จะกลับไปแก้แค้นหยางตงฉวน สามีเก่าของนางป่านนี้คงมีความสุขนอนกกร่างของเยว่เผิงสตรีงูพิษนางนั้นอย่างสุขสบายกับสมบัติของตระกูลจางอยู่ ยิ่งคิดความแค้นยิ่งมีมากเพิ่มพูนทวี
ระหว่างที่ช่วยเหลือรักษาหนิงเซียนไป๋ฉีได้ทำการสอนการทำยาพิษและสอนให้นางรู้จักว่าหญ้าชนิดใดใช้กับอะไรและหญ้าชนิดใดที่สามารถถอนพิษได้ หนิงเซียนตั้งใจเรียนรู้เป็นอย่างดี จนวันนี้วันที่ร่างกายของนางหายดี นักพรตเห็นว่าเขาได้ช่วยเหลือให้นางรอดตายและช่วยเหลือตัวเองใช้ชีวิตต่อไปได้ เขาจึงจะออกเดินทางต่อไป
“บุญคุณครั้งนี้เจียวเหมยจะทดแทน หากวันข้างหน้าเจียวเหมยได้ดีและพบท่านนักพรตอีกครั้งข้าจะต้อนรับขับสู่เป็นอย่างดี ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ " ตั้งแต่ที่นางได้ชื่อใหม่นาง นางจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่จึงคิดว่าหนิงเซียนบุตรสาวตระกูลจางได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว นางก้มโค้งลงคารวะทั้งสอง ไป๋ฉีใบหน้าบูดบึ้งอย่างใจหาย ยามแรกไม่ชอบขี้หน้าแต่เมื่อจะจากกันเขากลับรู้สึกใจหวิวแปลก ๆ
"เจ้าเองรักษาตัวให้ดี ในเมื่อกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งจงรักตนเองให้มากกว่าผู้อื่น ข้าให้ชีวิตใหม่แก่เจ้าแล้วจากนี้ให้เจ้าเลือกเอาว่าจะเดินไปในทางใด ไป๋ฉีเดินทางกันเถอะ" คำพูดของนักพรตทำให้เจียวเหมยชะงักเล็กน้อยเสมือนว่านักพรตผู้นี้จะรู้ว่านางเป็นผู้ใดและเคยพบเจอเรื่องอะไรมา
"นี่เจียวเหมยข้าต้องออกเดินทางกับท่านอาจารย์แล้ว เจ้าจำสิ่งที่ข้าสอนเจ้าได้หรือไม่? จำเอาไว้ให้ดีมันอาจจะช่วยเจ้าได้ในยามคับขัน ที่ข้าสอนเจ้าไว้มิได้ให้เจ้าใช้ทำร้ายผู้อื่นแต่สอนเจ้าไว้ป้องกันตัวเองจากอันตราย เจ้าเป็นเพียงสตรีข้าชักเป็นห่วงแล้วสิ ท่านอาจารย์เราจับนางแต่งกายเป็นชายเดินทางตามเรามิได้หรือขอรับ ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง นางเสมือนเด็กที่พึ่งเกิดไม่นานนี่เองดูสายตาของนางสิอ่อนต่อโลกยิ่งนัก เมื่อเราหันหลังเดินจากไปมิใช่ว่าจะถูกทำร้ายอีกหรอกหรือ"
"พี่ไป๋ฉีวางใจเถอะเจ้าค่ะ ข้าดูแลตนเองได้หลังจากที่ท่านพี่และอาจารย์เดินทางจากไปข้าจะเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหางานทำและที่พักพิงใหม่ คงจะได้พบเจอกับคนใจดีเหมือนท่านพี่ไป๋ฉีก็ได้เจ้าค่ะ อย่ากังวลใจไปเลย เพียงเท่านี้ข้าก็ติดหนี้บุญคุณท่านทั้งสองมากพอแล้ว อย่าให้ข้าเดินทางตามพวกท่านให้คอยเป็นภาระเลย ข้าจดจำทุกอย่างที่พี่สอนข้าได้ดีไม่เว้นแม้กระทั่งการป้องกันตัว แม้ข้าจะจำเรื่องราวของตัวเองไม่ได้แต่ข้าเชื่อว่าข้าสามารถดูแลตนเองได้เจ้าค่ะ รีบออกเดินทางก่อนที่ฟ้าจะมืดเถิดเจ้าค่ะ นี่ห่อข้าวกับน้ำไว้ดื่มกินยามเดินทางนะเจ้าคะ หากพบกันคราวหน้าข้าจะตอบแทนท่านเป็นอย่างดี พี่ไป๋ฉีพี่ชายที่แสนดีของข้า" เจียวเหมยยิ้มกว้างพร้อมยื่นห่อข้าวให้แก่ไป๋ฉี เขารับมันไว้ก่อนจะใช้มือขยี้หัวนางอย่างเอ็นดูก่อนกล่าวลา
"ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีกครั้ง และหวังว่าการพบกันครั้งหน้าเจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นดั่งครั้งนี้อีกนะ ดูแลตนเองให้ดีเจ้าเองก็ออกเดินทางเถิดกว่าจะถึงหมู่บ้านหาที่พักใหม่อีก "
"เจ้าค่ะ "
หลังจากนั้นทั้งสามคนได้ร่ำลาพากันแยกย้ายไปตามทางของตน
เมื่อพ้นสายตาของไป๋ฉีกับท่านนักพรตสายตาอ่อนโยนไร้เดียงสา ของเจียงเหมยได้เปลี่ยนไป แววตาของนางแข็งกร้าวกลมโต กำมือแน่นจ้องมองไปยังด้านหน้า
"ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะกลับไปแก้แค้น ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ได้แก้แค้นพวกเจ้าทั้งสองข้าไม่หวั่นเกรง แม้จะต้องแลกด้วยร่างกายข้าก็ยอม " เจียงเหมยเอ่ยวาจาหนักแน่นสองเท้าก้าวเดินไปยังหมู่บ้านด้านหน้า เพื่อที่จะได้กลับไปที่เรือนตระกูลจางนางจะทำเดินทางไปหมู่บ้านข้างหน้าเพื่อสอบถาม
ฝั่งด้านหยางตงฉวนหลังจากที่เขาจัดการกับหนิงเซียนได้สำเร็จ ไว้ทุกข์ให้ฮูหยินของเขาเพียงสามวันเจ็ดวันก็แต่งตั้งฮูหยินคนใหม่ ชาวบ้านมิได้สงสัยการจากไปของหนิงเซียนเลยแม้แต่น้อยต่างพากันสงสารที่นางต้องมาตายด้วยวัยเพียงน้อยนิด และยังต้องมาตายเช่นดั่งบิดา น่าเวทนายิ่งนักในสายตาทุกคน
หยางตงฉวนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือแม้แต่หน้าที่ในวังหลวง เขามีทุกอย่างครบและมีฮูหยินที่เขารักมากคอยอยู่เคียงข้างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในเรือนหรือเรื่องบนเตียงนางไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
ในห้องนอน
"ท่านพี่ข้ามีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเราจะไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายอย่างนี้เสียอีก "ร่างบางนอนซบอยู่บนอ้อมกอดของบุรุษไร้ซึ้งอาภรณ์ที่ห่มกาย นอนแนบชิดกันบนเตียงหนานุ่มที่เคยใช้ร่วมหลับนอนกับฮูหยินคนก่อน
"ข้าคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าอย่างไรที่นี่ต้องเป็นของข้าในไม่ช้า และฮูหยินของข้าต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ทุกวันของข้ามีความสุขที่ลืมตาขึ้นมามีเจ้าคอยอยู่ข้างกาย ยามหลับนอนก็มีเจ้าคอยปรนนิบัติ ช่างแตกจต่างกับจางหนิงเซียนสตรีจืดชืดนางนั้นเหลือเกิน ยามข้าหลับนอนกับนางข้าต้องข่มใจจนไม่อยากจะลืมตาด้วยซ้ำ "
"ท่านพี่ข้าว่าเราอย่าเอ่ยถึงนางเลยเจ้าค่ะ ป่านนี้นางคงตกนรกไปแล้วหรือไม่ก็อาจจะไปเกิดแล้วก็ได้เจ้าค่ะ เรามาสนุกกันต่อเถอะนะเจ้าคะ ข้าพยายามมากเหลือที่เกินที่อยากมีบุตรชายให้ท่าน " มือเรียวของนางลูบไล้บนอกแกร่งยิ้มยั่วยวนเสียงเส่ากระซิบ หยางตงฉวนจับปลายคางมนให้เงยขึ้นก่อนจะก้มลงบดจูบริมฝีปากของนางอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
เยว์เผิงไม่ชอบใจเลยยามนี้เขาเอ่ยถึงจางหนิงเซียน เหมือนเขาเอานางไปเปรียบเทียบเสมอแม้ว่านางจะดีกว่าในทุกด้านแต่ก็ไม่อยากให้หยางตงฉวนคิดถึงแม้กระทั่งชื่อของจางหนิงเซียนแม้แต่น้อย นางจึงเอาอกเอาใจให้เขาหลงรักลุ่มหลงจนไม่สามารถไปคิดถึงสตรีใดได้อีก
บทที่ 4 บุรุษชั่วช้ากับสตรีไร้ยางอายหลังจากนั้นมาเยว่เผิงสั่งให้คนของนางตามหาร่างของจางหนิงเซียนเพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางตายไปจากใต้หล้าแห่งนี้แล้วจริง ๆ จนบ่าวรับใช้กลับมาแจ้งว่าไม่พบร่างของหนิงเซียนเลยจึงคิดว่านางคงตายไปแล้วจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมาเยว่เผิงใช้ชีวิตทุกวันอย่างสุขสบายใจไร้ความกังวลเดิมทีเยว่เผิงเป็นพียงบุตรสาวของบ่าวรับใช้ในเรือนของท่านใต้เท้าอีกเรือนหนึ่ง ครั้นนั้นมารดาของนางต้องมาจากไปด้วยการเฆี่ยนตีเพราะเยว่เผิงมักแอบเข้าไปขโมยของมีค่าของฮูหยิน ครั้งแรก ๆ ไม่ถูกจับได้แต่ทว่าบ่อยครั้งของมีค่าเริ่มหายไปฮูหยินแอบสงสัย จึงให้บ่าวคอยจับตาดูยามที่ตนเองไม่อยู่เรือนมีสาวใช้นางใดเข้ามาในห้องเก็บของของนางบ้าง และแล้วก็ถูกจับได้ยามนั้นเยว่เผิงกำลังโตไม่รู้ความ รู้เพียงว่าของมีค่ามักจะขายได้เงินดี นางอยากกินลูกกวาดเหมือนเด็กทั่วไปแต่ทว่านางเป็นเพียงบุตรของสาวใช้เบี้ยติดตัวแทบไม่มี นางเคยไปด้านนอกกับฮูหยินเพราะใช้ให้นางไปช่วยถือของกับมารดาของนาง เห็นฮูหยินนำกำไล ปิ่นปักผมไปขายได้เบี้ยอัฐมากมายแววตาของนางเป็นประกาย เมื่อครั้งแรกนางไม่ถูกจับได้จึงมีครั้งที่สองครั้งที่สามจนกระทั่งค
บทที่ 5 หนทางกลับเข้าเรือนรุ่งสางมาเยือนเจียงเหมยสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ครุ่นคิดในใจ หากนางได้พบหน้าของชายที่ฆ่านางด้วยความรักนางจะไม่หวั่นไหวใจสั่นกับเขาเป็นอันขาดจากนี้ไปนางมีเพียงความแค้นที่ต้องชำระลู่เฟยให้บ่าวรับใช้พานางนั่งรถม้ามายังเรือนตระกูลจาง เมื่อนางมาถึงนางได้บอกให้สารภีหยุดก่อนจะถึงเรือน นางจะเข้าไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้คงเป็นเรื่องน่าสงสัยที่จู่ ๆ สตรีอย่างนางปรากฏตัวเจียงเหมยจึงลงใกล้ ๆ เรือนเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหว ของทุกคนเห็นหยางตงฉวนควบม้าออกไปด้านนอก นางจึงเดินไปที่โรงเตี๊ยมใกล้ ๆ เฝ้ารอให้หยางตงฉวนกลับมาเสียก่อน นางคิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าใกล้เขาได้อย่างรวดเร็วนางเฝ้าคอยจนท้องฟ้าเริ่มคล้อยต่ำลงแสงดวงอาทิตย์ลับลาขอบฟ้าปกคลุมด้วยความมืดมิดแทนที่ แสงสว่างจากโคมไฟเริ่มสว่างขึ้นตามบ้านเรือน เจียวเหมยเดินไปอยู่ใกล้ ๆ หน้าเรือนเสียงฝีเท้าของม้าถูกควบมาจากไกล ๆ นางได้เริ่มแผนการที่นางคิดไว้ทั้งคืนเพื่อที่จะได้เข้าใกล้หยางตงฉวนฝั่งด้านหยางตงฉวนกลับมาจากวังหลวงยามนี้ท้องฟ้าเริ่มสลัว ๆ จู่ ๆ สายตาเขาได้เห็นสตรีร่างบางเดินซวนเซล้มลงที่หน้าเรือน เขารีบใช้เท้าบังคับให้ม้า
บทที่ 6 ชีวิตช่างรันทดเมื่อทั้งสองเดินออกไปเสียงประตูถูกปิดแน่น เสียงของยูร์เหยาสาวใช้ที่ถูกสั่งให้ดูแลเจียวเหมยได้เดินเข้ามาใกล้เตียงนอน"คงจะเจ็บน่าดูสินะ ใบหน้าไร้ที่ติจนทำให้นายท่านสนใจแต่ข้าไม่อยากให้ท่านอยู่ที่นี่หรอกนะ ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นเสมือนนายหญิงของข้า " ยูร์เหยาเด็กสาวที่จำได้ติดตาในคืนวันที่หนิงเซียนถูกคนที่นี่ทำร้ายอย่างไร นางเป็นสาวใช้ที่คอยดูแลหนิงเซียนอีกคนแต่ไม่ได้อยู่ในสายตาเพราะยามนั้นหนิงเซียนฮูหยินสนิทสนมกับงูพิษอย่างเยว่เผิงจนนางมิอาจจะพูดอะไรได้และไม่สามารถช่วยเหลือฮูหยินของตนได้เลยเพราะนางเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น สิ่งที่นางเอ่ยออกมาทำให้เจียวเซียนพอได้ยินคลับคลายคลับคลาแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูนาง พร้อมหลับไปเพราะฤทธิ์ยาและความเจ็บจากคมมีดที่นางแทงเข้าที่หน้าท้องของตัวเองรุ่งสางมาเยือนแสงแดดกระทบใบหน้านางขยับกายอย่างลืมตัวแต่เมื่อขยับนางรู้สึกเจ็บแปลบ ค่อย ๆ ลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งอย่างช้า ๆ ห้องนี้เป็นห้องนอนของเรือนรับรองนางจดจำได้ทุกที่ในเรือนนางพยายามจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเองสตรีร่างเล็กตื่นขึ้นเพราะรู้สึกว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นไปมา"ฟื้นแล้วหรือ? อย่าพึ่
บทที่ 7 ขับไล่ห้องรับรองเจียวเหมยยืนอยู่ริมหน้าต่างสายตาจ้องมองไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย เรือนที่นางอยู่มาตั้งแต่เด็กไม่คิดเลยว่าวันนี้ที่แห่งนี้จะเป็นของผู้อื่น ตอนนี้นางได้กลับมาแล้วภาพความทรงจำที่นางกับท่านพ่อเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มเสียงหัวเราะ ใบหน้าของท่านพ่อที่ยืนส่งยิ้มให้นางยังคงตราตรึงใจเสมอ นางกลับมาครั้งนี้จะทวงคืนทุกอย่างกลับคืนมาให้ได้ไม่อย่างนั้นนางมิอาจจะนอนตายตาหลับได้ครั้นนั้นเสียงประตูถูกเปิดเข้ามา เสียงที่คุ้นเคยได้เอ่ยขึ้นมาทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาด้านในเพียงหนึ่งข้างเท่านั้น"เจ้าฟื้นแล้วก็ออกไปจากเรือนของข้าได้แล้วแม้ว่าสามีข้าจะใจดีแต่ข้าไม่ อีกอย่างตอนนี้เจ้าเดินเหินได้คงไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอันใด เป็นบุตรสาวเรือนใดข้าจะให้บ่าวไปส่งเจ้าเอง"“ฮูหยินข้ายังรู้สึกเจ็บแผลอยู่เลยเจ้าค่ะ อีกอย่างเมื่อเช้านี้ท่านใต้เท้าบอกให้ข้ารักษาตัวอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายเจ้าค่ะ ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านใต้เท้าหากจะจากที่นี่ไปอย่างไรต้องร่ำลาผู้มีพระคุณเสียก่อน"“นี่เจ้าไม่รู้ความหรือไง ไม่ว่าข้าหรือแม้แต่ท่านใต้เท้าก็เสมือนคนคนเดียวกันออกไปจากที่นี่ก่อนที่ข้าจะขับไล่เจ้า
บทที่ 8 ห้องพัก"ท่านช่างมีความเมตตากับข้ามากเหลือเกินเจ้าค่ะ ไม่ว่างานในเรือนอะไรข้าทำได้ทั้งนั้น ข้าเพียงแค่ต้องการอาหารกับที่พักพิงเท่านั้น โชคดีหรือเพราะโชคชะตาที่ทำให้เขาได้มาพบกับท่านใต้เท้าเช่นท่าน" เจียวเหมยผละออกยกมือสองข้างขึ้นมาคารวะหยางตงฉวน เขารีบเข้ามาจับมือของนางไม่ให้ก้มลงเพื่อขอบคุณเขา"เจ้าไม่ต้องทำถึงเพียงนี้ ยามนี้เจ้ายังเจ็บร่างกายอยู่พักผ่อนเถอะนะข้าจะให้สาวใช้ไปจัดเตรียมห้องพักไว้ให้เจ้าจัดเตรียมเสร็จเมื่อไหร่ข้าจะให้ยูร์เหยามาตาม""ขอบคุณท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ " เอ่ยจบเขาได้เดินออกไปจากห้อง สีหน้าของเจียวเหมยได้เปลี่ยนไปทันที"คิดไว้แล้วว่าบุรุษเช่นท่านจะต้องยอมอ่อนข้อให้แก่ความเย้ายวนของสตรี ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้ตาบอดหลงคิดว่าเขามีเพียงแต่ข้า ช่างโง่เขราเสียจริง! " เจียวเหมยเอ่ยพึมพำก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงนอน ในใจคิดแผนการที่จะแก้แค้นทั้งสองอย่างสาสม เพียงแค่เห็นใบหน้าของทั้งสองความโกรธแค้นในใจของนางเริ่มลุกขึ้นราวไฟกลับโหมกระหน่ำแรงยิ่งกว่าเดิมฝั่งด้านเยว่เผิงนางเดินสงบสติอารมณ์ของตนจนมาถึงห้องรีบปิดประตูก่อนจะอาละวาดกรี๊ดร้องทำลายข้าวของมในห้องเสียงดังลั่น ทำให
บทที่ 9 เกินไปแล้วครั้นนั้นเจียวเหมยเดินเข้าไปด้านในทุกอย่างในห้องของนางยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ราวกับว่าตั้งแต่ที่นางจากไปที่นี่ไร้ผู้คนมาอยู่ ช่างโชคดีที่หยางตงฉวนให้นางมาอยู่ในห้องที่นางคุ้นเคย อาหารถูกจัดเตรียมอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าอย่างมากมาย ระลอกความคนึงหาเรื่องทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นที่ห้องนี้แวบเข้ามาในความคิดน้ำตาของนางไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางตั้งสติรีบเช็ดน้ำตาไม่ให้ยูร์เหยาได้เห็นมิเช่นนั้นอาจจะทำให้นางสงสัยเอาได้"อาหารมากมายเลยเจ้ากินด้วยกันสิ ให้ข้านั่งกินผู้เดียวข้าไม่คุ้นชิน""ท่านกินไปเถิดข้ากับสาวใช้นางอื่นกินเสร็จแล้ว เมื่อท่านกินเสร็จข้าจะได้เก็บสำรับไปให้ท่านได้พักผ่อน""อืม…เข้าใจแล้วอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจ" เจียวเหมยนั่งลงที่เก้าอี้แสร้งทำเป็นตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้า ก่อนจะจับตะเกียบมาคีบอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อนางกินอาหารเสร็จยูร์เหยาได้จัดการเก็บสำรับกลับโรงครัว ก่อนที่นางจะกลับไปนางได้แจ้งให้แก่เจียวเหมยเกี่ยวกับการที่จะอยู่ที่นี่และต่อจากนี้นางจะมาเป็นผู้ดูแลนางนับจากนี้"เท่าที่ข้าสังเกตและเห็นแววตาของท่านใต้เท้าที่ท่านใต้เท้ามีเมตตาให้ท่านมาอยู่ที่ห้
บทที่ 10 กินหาหารเช้าร่วมกันรุ่งเช้าวันต่อมาเจียวเหมยนอนไม่หลับทั้งคืนนางคิดถึงวันที่นางต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีกทั้งวันที่นางแตกสลายความทรงจำไหลเวียนเข้ามา นางสะอื้นไห้จนคิดว่ายามนี้นางต้องพอเสียทีหมดเวลาที่นางจะมาเสียน้ำตากับคนเช่นนี้ คนพวกนั้นจะต้องถูกเอาคืนอย่างสาสม นางจะทำให้ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่นางเจ็บปวดพันเท่าเจียวเหมยหยิบอาภรณ์ที่อยู่ในตู้ของตนเอามาสวมใส่ ทุกอย่างของนางคิดว่าจะถูกนำไปทิ้งแล้วเสียอีกแต่กลับยังอยู่ที่เดิมครั้นนั้นเสียงประตูถูกเปิดเข้ามาจากด้านนอก ยูร์เหยาเห็นแผ่นหลังของเจียวเหมยที่สวมชุดของหนิงเซียนนางชะงักใบหน้าซีดเซียว หากไม่รู้ว่าสตรีในห้องนี้เป็นเจียวเหมยคงคิดว่าฮูหยินฟื้นขึ้นมาเสียอีก"ท่านทำอันใด! " เจียวเหมยหันขวับมามองสองเท้าเดินไปหายูร์เหยา"ข้าเพียงแค่อยากเปลี่ยนชุดเท่านั้นเอง แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพักอยู่ที่ใดจะไปถามก็กลัวไม่พบเจ้า จึงนำชุดมาสวมใส่โดยไม่ได้เอ่ยถาม" นางไม่มีท่าทีที่่จะแตกตื่นเมื่อถูกยูร์เหยาเอ่ยถามรีบแจ้งต่อนางเรื่องอาภรณ์ที่นางสวมใส่ยามนี้"เฮ้อ! อย่างไรเจ้าของอาภรณ์พวกนี้ไม่อยู่แล้วท่านจะสวมใส่คงไม่มีผู้ใดกล้าว่าหรอกนะ แต่น่าแปลกเสียจริง
บทที่ 11 จะไม่ให้เป็นเช่นเดิมอีก"เท้าของเจ้าบวมแดงเล็กน้อยคงจะต้องใส่ยาหากจะให้เจ้าเดินน่าจะระบมแดงยิ่งกว่าเดิม ข้าอุ้มเจ้ากลับที่ห้องเจ้าจะว่ากระไรหรือไม่""ข้าจะว่าอะไรได้เจ้าคะ ต้องขอบคุณน้ำใจท่านใต้เท้าเสียอีกที่ช่วยเหลือข้า" เอ่ยจบเขาลุกขึ้นอุ้มร่างบางอย่างง่ายดายก่อนจะเดินพาเจียวเหมยกลับที่ห้องยามนั้นยูร์เหยากำลังเช็ดถูห้องให้เจียวเหมยอยู่หน้าห้องเห็นนายท่านกำลังอุ้มร่างของเจียวเหมยมานางรีบเปิดประตูห้องให้อย่างรวดเร็ว“เกิดอะไรถึงหรือเจ้าคะ”“ระหว่างที่ข้าพานางเดินสำรวจนางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าช่วยไปหยิบยามาให้ข้าทีข้าจะทายาให้นาง”“เอ่อ…ท่านใต้เท้าในเมื่อยามนี้ท่านพาข้ามาส่งถึงที่ห้องแล้วข้าไม่ขอรบกวนท่านจะดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าจะให้ยูร์เหยาช่วยทายาให้ข้าเองเจ้าค่ะ”“เอาอย่างนั้นหรือ? ยูร์เหยาข้าฝากเจ้าดูแลนางด้วย”“เจ้าค่ะท่านใต้เท้า” ยูร์เหยาโน้มกายน้อมรับคำสั่งเดินออกไปด้านนอกเพื่อนำยามาทาให้แก่เจียวเหมย เขาอุ้มร่างนางมาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม“เท้าของเจ้าคงอีกสองวันถึงจะหายดีระหว่างนี้เจ้ามิต้องเดินไปที่ใดหากอยากได้อะไรให้เรียกใช้ยูร์เหยาได้เต็มที่ ส่วนอาหารข้าจะให้พ่อคร
บทที่ 30 หวนคืนที่เดิมหลายวันต่อมาร่างกายของทั้งคู่เริ่มอ่อนล้าความเจ็บปวดที่ถาโถมทุกวัน บาดแผลเริ่มเน่าเปื่อยกลิ่นในห้องเหม็นเน่าของเนื้อ แมลงที่บินมาตอมจนแผลเกิดหนอนซอนไซ ทั้งสองเจ็บร้าวไปจนถึงกระดูกจนกระทั่งเยว่เผิงนางไม่สามารถทนความเจ็บปวดในครั้งนี้ได้หมดลมหายใจในที่สุด ส่วนเจียวเหมยนางได้กลับไปพักอยู่ที่ห้องเดิมของนาง เมื่อเข้ามาด้านในเห็นว่าเยว่เผิงหมดลมไปแล้วนางไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย ในที่สุดนางก็ได้แก้แค้นอย่างสาสมเหลือเพียงหยางตงฉวนที่ยังนอนพะงาบ พะงาบเน่าเปื่อยอยู่บนเตียง เจียวเหมยสั่งการให้ยูร์เหยาเรียกบ่าวรับใช้มานำร่างของเยว่เผิงนำออกไปทิ้งใช้ผ้าคุมร่างและบอกให้แพร่งพรายออกด้านนอกว่าฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลจางติดเชื้อโรคตายอย่างฮูหยินคนก่อน ทุกคนไม่แปลกใจเพราะเคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นครั้งเมื่อท่านใต้เท้าจางกับจางหนิงเซียนส่วนหยางตงฉวนที่นอนพะงาบ ๆ เจียวเหมยได้ให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมรถม้าเพื่อจะพาเขาออกไปที่หน้าผาตรงจุดที่นางเคยโดนนำร่างเอาไปทิ้ง ยามนี้หิมะเริ่มตกโปรยปรายเมื่อออกเดินไปทางด้านนอกจึงไม่ค่อยมีใครสังเกตบ่าวรับใช้ที่นางสั่งการให้ปิดปากทุกคนหากผู้ใดไม่ทำตามนา
บทที่ 29 สะสางแค้นภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง ร่างของซูหยวนนอนจมกองเลือดอยู่หน้าประตู กายของหยางตงฉวนนอนอยู่บนเตียงกับเยว่เผิงเมื่อนางเห็นใบหน้าของเยว่เผิงยิ่งสยดสยองไม่คิดว่าฮูหยินจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ก่อนที่นางจะตั้งสติรีบเข้ามาถามด้วยเป็นห่วง"ฮูหยินได้รับบาดเจ็บตรงไปไหนหรือไม่เจ้าคะ""นางซูหยวนใช้ไม้ตีหัวของข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยส่วนเลือดที่เจ้าเห็นมากมายมิใช่เลือดข้า ไปเรียกบ่าวรับใช้มาลากศพของซูหยวนออกไปห่อเอาไว้ก่อนเมื่อฟ้ามืดเมื่อไหร่ค่อยเอาร่างนางไปทิ้ง เจ้าช่วยเก็บกวาดห้องให้ข้าด้วยอย่าให้สาวใช้เข้ามาในนี้ ส่วนหน้าต่างไม่ต้องปิดข้าจะให้แมลงมาตอมแผลของทั้งสอง แต่ก่อนจะทำอันใดเตรียมน้ำให้ข้าล้างกายเสียก่อน ข้าเหนียวไปทั้งตัวใช้แรงไปมากต้องให้พ่อครัวทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินเสียแล้ว อ้อ..จริงสิ เจ้าเห็นเนื้อบนโต๊ะหรือไม่ช่วยเอาไปให้พ่อครัวย่างให้ข้าที ข้าจะนำมาป้อนเป็นอาหารกลางวันให้ทั้งสองได้กิน" นางชี้ไปที่ชิ้นเนื้อใบหน้าของเยว่เผิงที่นำมาวางไว้ เยว่เผิงได้ยินส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอเพื่อคัดค้าน"อื้อ อื้อ " เจียวเหมยยิ้มกว้างหันไปหาเยว่เผิงพร้อมเอ่ยบอกแก่นาง
บทที่ 28 ตัวตนที่แท้จริงเจียวเหมยยืนขึ้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง"ฮ่า ฮ่า ต่อให้พวกเจ้าตะโกนขอความช่วยเหลือไม่มีผู้ใดสามารถช่วยพวกเจาได้หรอก! เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการฆ่าข้ามิใช่หรือ? ข้าพร้อมรอรับความตายแล้วแต่ถ้าเจ้าฆ่าข้ามิได้ จะเป็นข้าเองที่ฆ่าพวกเจ้า" น้ำเสียงเย็นยะเยือกผู้ที่ได้ยินถึงกับสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เยว่เผิงหวาดกลัวจนตัวสั่นจะหนีก็หนีมิได้ยิ่งคิดถึงเรื่องชายฉกรรจ์สองคนที่นางส่งมาจัดการยังถูกเจียวเหมยจัดการได้อย่างง่ายดายแล้วนางเป็นเพียงสตรีจะสู้นางได้อย่างไรกัน"ท่านพี่ช่วยข้าด้วยท่านเห็นหรือยังเจ้าคะสตรีที่ท่านรักนางมิได้เป็นอย่างที่ท่านเห็น ท่านเห็นหรือยังว่าผู้ใดกันแน่ที่รักท่านจริง ๆ ช่วยข้าด้วยนางบ้าไปแล้วนางจะฆ่าข้าเจ้าค่ะ ""ฮ่า ฮ่า ต่อให้เจ้าเรียกหยางตงฉวนอย่างไรเขาก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ขนาดตัวของเขาเองยังช่วยตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ" เจียวเหมยค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ทั้งสองอย่างช้า ๆส่วนหยางตงฉวนทำได้เพียงนอนฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นเขาอยากจะช่วยเหลือเยว่เผิงแต่ทว่าแค่ขยับแขนเขายังทำไม่ได้ซูหยวนเห็นท่าไม่ดีนางยืนบังหน้าเยว่เผิงเอาไว้หวังปกป้องนายหญิงของตนมิ
บทที่ 27 เจ้าของเรือนผู้ใหม่ยามเหม่า (06.00)เสียงบ่าวรับใช้ในเรือนพากันเอ่ยซุบซิบกันกระฉ่อน เมื่อจู่ ๆ ถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่หน้าของนายท่านแต่มิใช่นายท่านเป็นคนเรียกแต่กลับเป็นฮูหยินรอง เมื่อทุกคนมาครบยูร์เหยาได้เข้ามาเรียกเจียวเหมยออกไปพบทุกคน"ฮูหยินยามนี้ทุกคนมาพร้อมหน้าแล้วเจ้าค่ะ ""ดีอย่างนั้นออกไปข้างนอกกันเถอะ" เจียวเหมยเดินออกไปข้างนอกอย่างสง่าผ่าเผยทุกสายตาจ้องมองมาที่นาง"ทุกคนในเรือนจงฟังข้าให้ดีข้ามีเรื่องที่จะต้องแจ้งพวกเจ้าให้ได้รับรู้ ต่อจากนี้ท่านใต้เท้าหยางตงฉวนเจ็บป่วยร่างกายทรุดตัวไม่สามารถดูแลงานในเรือนรวมทั้งงานราชการ ท่านใต้เท้าจึงมอบหมายให้ข้าเจียวเหมยสตรีที่เขารักดูแลทุกอย่างในเรือนแห่งนี้ ต่อจากวันนี้ข้าคือผู้ดูแลเรือนตระกูลจาง ต่อจากนี้พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า เพราะข้าคือเจ้าของเรือนหากผู้ใดไม่เชื่อและขัดคำสั่งข้าจะลงโทษอย่างไม่ปราณี" เอ่ยจบนางได้ชูหนังสือประจำตระกูลให้ทุกคนได้ดูแม้บางคนจะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แต่ก็พอรู้ว่าหนังสือเช่นนี้เป็นหนังสืออะไร เมื่อทุกคนเห็นต่างพากันแปลกใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษ หลังจากที่ทุกคนรับรู้นาง
บทที่ 26 รักข้ามั้ยเจ้าคะหลายวันต่อมาร่างกายของหยางตงฉวนเริ่มไม่แข็งแรงเหมือนเดิม เขาไอหนักมากกว่าเดิมสติเริ่มฟั่นเฟือนเลอะเลือน แต่เขายังคงรักเจียวเหมยหนักมากกว่าเดิม นางเฝ้าคอยดูแลเขาเอาอกเอาใจ“เจียวเหมยช่วงนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ข้าได้เห็นความรักที่เจ้ามีให้ข้า ข้าอยากหายกลับไปเป็นปกติทำไมท่านหมอมาตรวจข้าหลายต่อหลายคนต่างพากันบอกว่าข้ามิได้เป็นอะไรทำไมร่างกายของข้าถึงซูบผอมไร้เรี่ยวแรงอย่างนี้กันนะ”“ท่านพี่คิดมากไปเองเจ้าค่ะ ท่านพี่เป็นกังวลเกินไปเลยทำให้ร่างกายของท่านซูบผอม ข้ารักท่านพี่นะเจ้าคะข้าเคยสัญญาว่าจะอยู่กับท่านจนกว่าจะถึงวันตายข้าไม่มีทางหนีท่านไปไหนเจ้าคะ ดื่มนี่สักหน่อยนะเจ้าคะข้าให้ยูร์เหยาต้มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายให้ท่าน อีกไม่กี่วันร่างกายท่านอาจจะฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ” เจียวเหมยประคองร่างไร้เรี่ยวแรงของหยางตงฉวนขึ้นมานั่งคว้าหมอนมาหนุนหลังของเขาเอาไว้ ยามนี้ร่างกายของเขาซูบผอมจริง ๆ งานราชการเจียวเหมยได้จัดการให้เขาเมื่อมีสารมาที่เรือนนางได้ตอบกลับพร้อมประทับตราของหยางตงฉวนให้บอกว่าช่วงนี้เขาไม่สบายไม่สามารถทำงานได้นางยกยาสมุนไพรเมื่อครู่ให้เขาดื่มจนหมดก่
บทที่ 25 เจ้ามันน่าเบื่อยามโหย่ว (17.00)ฝั่งด้านเยว่เผิงหลายวันมานี้นางเก็บตัวเงียบเสียใจที่หยางตงฉวนเมินเฉยต่อนางความเย็นชาที่นางไม่เคยพบเจอก็ได้เจอ นางเคยขอพบเขาที่ห้องแต่เขากลับให้บ่าวออกมาบอกว่าเขาไม่ต้องการพบนางทำให้นางเสียใจมากกว่าเดิม"ฮูหยินเจ้าคะถึงเวลากินอาหารเย็นแล้วเจ้าค่ะ ช่วงนี้อาหารไม่ถูกปากฮูหยินอยากกินอะไรหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยจะให้พ่อครัวทำให้""ไม่ข้าไม่อยากอะไรทั้งนั้น " แววตาเหม่อลอยจ้องมองไปนอกหน้าต่างเอ่ยตอบสาวใช้ด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยไร้ชีวิตชีวา ซูหยวนสงสารนายหยิงจับใจครั้นนั้นนางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามานางรีบหันไปมองเห็นว่าเป็นนายท่านใบหน้าของนางเริ่มปรากฏรอยยิ้มรีบแจ้งนายหญิงทันที"ฮูหยินเจ้าคะนายท่านมาเจ้าค่ะ " เยว่เผิงคิดว่าตนเองหูแว่วจึงคิดจะหันกลับมาต่อว่าสาวใช้แต่เมื่อเห็นชายที่ตนรักและคิดถึงรีบเดินไปหาเขาด้วยความดีใจ"ท่านพี่มาหาข้าหรือเจ้าคะ" น้ำเสียงระรื่นเอ่ยถามเขาทันทีพลางเดินเข้าไปใกล้หวังโอบกอดแต่ก็ต้องถูกเขาผละกายนางออก"ข้ามิได้มาเพราะคิดถึงเจ้า แต่ว่าเจียวเหมยของข้าให้ข้ามาหาเจ้า นางทั้งเห็นใจเจ้าหวังดีต่อเจ้ากลัวเจ้าจะน้อยใจข้าจึงได้มาหา ซู
บทที่ 24 หยางตงฉวนกลับจากวังหลวงไม่นานซูหยวนได้กลับมาใบหน้าตื่นตระหนกเร่งรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่ห้องของเยว่เผิง"แฮ่ก ๆ ๆ "ปัง!! เสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างแรงเพราะความร้อนใจ ทำให้เยว่เผิงตกใจไม่น้อยตวาดใส่ซูหยวนเสียงดัง"นี่จะรีบไปที่ใดกันทำไมไร้มารยาทเช่นนี้""ฮูหยินเจ้าคะฮูหยินข้าน้อยมีเรื่องมาแจ้งเจ้าค่ะ ข้าไปตามหาชายคนที่ข้าจ้างวานฮูหยินรู้มั้ยเจ้าคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้น ""คนพวกนั้นตายหมดแล้ว "ไม่ทันที่ซูหยวนจะพูดจบเยว่เผิงได้เอ่ยโพล่งออกมาทำให้ซูหยวนหน้าเหวอตกใจมากกว่าเดิม"ฮูหยินรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าไปตามหาเห็นชาวบ้านแตกตื่นจ้องมองไปยังแม่น้ำเห็นศพสองศพข้าจึงเดินไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นแต่เมื่อทั้งสองถูกทางการยกขึ้นมาต้องตกใจเพราะทั้งสองคนเป็นคนที่ข้าจ้างวานเจ้าค่ะ""ข้ารู้ได้อย่างไรนะหรือ? เพราะหลังจากที่เจ้าออกไปข้ากลับที่ห้องมีหีบมือของหนึ่งในสองคนนั้นมาอยู่ที่ห้องของข้าอย่างไรล่ะ ตอนนี้เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว ข้าไม่อยากอยู่เพียงลำพังแถมนางยังเขียนมาข่มขู่ข้าอีกไม่ให้ข้ายุ่งกับนาง ตอนนี้ข้าเสียวหลังกลัวว่านางจะมาจัดการข้าอีกคน""นางเป็นใครกันทำไมถึงได้สู้สองคนนั้นได้ "
บทที่ 23 เป็นไปได้อย่างไรฝั่งด้านเยว่เผิงนางตื่นขึ้นมาอย่างอารมณ์ดียืนคิดพลางยิ้มเล็กยิ้มใหญ่“มื้อคืนฮูหยินคงนอนหลับสบายสินะเจ้าคะ ตื่นเช้ามาวันนี้ใบหน้าถึงได้ชื่นบาน”“ใช่นะสิ! เจ้ามาก็ดีแล้วข้าจะไปที่ห้องของท่านพี่จะไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อยหวังว่านางคงหายไปจากเรือนตระกูลจาง”“ฮูหยินวางใจได้คนที่ข้าหามาล้วนมีฝีมือจัดการกับสตรีอย่างนางมิใช่เรื่องยากอันใดไปกันเถอะเจ้าค่ะ”“ดี! ช่างดีจริง ๆ ฮ่า ฮ่า” ทั้งสองพากันเดินมาที่ห้องของหยางตงฉวนอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าใบหน้าของนางต้องเปลี่ยนไปทันทีเมื่อสองเท้าก้าวเข้าห้องเห็นเจียวเหมยนั่งจิบน้ำชาร่างกายมิได้รับบาดเจ็บอันใดแม้แต่น้อย สีหน้าของเยว่เผิงพลันเปลี่ยนสี‘เหตุใดนางถึงมานั่งจิบน้ำชาราวกับไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าชายฉกรรจ์พวกนั้นยังไม่ได้ลงมือ จิ! นี่ข้าพลาดไปแล้วอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่ามาจะไม่เห็นแม้แต่เงาของนางเสียแล้ว’ เยว่เผิงคิดในใจสองเท้าหยุดชะงักที่หน้าประตู เจียวเหมยแสยะยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นสีหน้าของเยว่เผิงผิดหวังไม่เป็นอย่างที่นางตั้งใจเอาได้เจียวเหมยวางจอกน้ำชาลงลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เยว่เผิง“ฮูหยินมาที่นี่แต่เช้าตรู่มีเรื่อง
บทที่ 22 ถูกลอบทำร้ายเมื่อนางสบายใจที่เห็นของสำคัญจึงดับเทียนเพื่อพักผ่อนเอนกายลงนอนบนเตียงแต่แล้วหูของนางได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังย่องมาทางหน้าต่างอย่างแผ่วเบา หากเป็นบ่าวในเรือนที่เดินตรวจตราคงพูดคุยกันมาตลอดทางแต่นี่มิใช่ ใจของเจียวเหมยเต้นระรัวคิดว่าต้องเป็นผู้ประสงค์ร้ายหวังมาทำร้ายนาง นางยังไม่ลุกขึ้นเพราะต้องการดูให้แน่ใจหากเป็นบ่าวรับใช้คงเดินผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ทว่านางกลับได้ยินเสียงงัดหน้าต่าง ตอนนั้นเองเจียวเหมยลุกขึ้นค่อย ๆ ดึงหมอนขึ้นเผยให้เห็นมีดเล็กของนางที่นางพกติดตัวไว้ตลอดและย่องไปยืนแอบอยู่มุมมืด ชายฉกรรจ์เข้ามาได้สำเร็จ เจียวเหมยจ้องมองชายที่เข้ามามีสองคนด้วยกัน ทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสีดำใช้ผ้าผูกหน้าแถมยังถือมืดในมือ นางแน่ชัดแล้วว่าทั้งสองคงต้องมีคนจ้างวานมาเพื่อกำจัดนางแน่นอน และคนแรกที่เจียวเหมยนึกถึงคงเป็นเยว่เผิงไม่ผิดแน่ชายทั้งสองเมื่อย่องเข้ามาที่เตียงนอนง้างมือที่ถือมีดหวังจะแทงเจียวเหมยในคราเดียวแต่ทว่าเมื่อมาถึงเตียงนอนกลับพบกับความว่างเปล่าทั้งสองมองหน้ากันอย่างงงงวย"คนหายไปที่ใดกัน ไหนเจ้าบอกว่านางอยู่ที่ห้องนี่มิใช่หรือ? หรือว่าเจ้าได้ยินผิด""ไม่ผิดแน่!