4
ตัวละครสำคัญ
เดิมทีโจวจี้หยวนไม่อยากให้นางไปแต่เมื่อน้องสาวออดอ้อนมีหรือพี่ชายคนนี้จะทนได้ สุดท้ายก็ยอมให้นางไปแต่โดยดี หากไม่ต้องไปตรวจดูการค้าอื่น เขาคงตามไปไม่ให้นางคาดสายตาเป็นแน่
เช้าวันต่อมาโจวเจียวเจียวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจัดแจงล้างหน้าล้างตา เลือกอาภรณ์สีอ่อนงดงามแต่ไม่โดดเด่น งานพิธีวันนี้เป็นงานปักปิ่นของบุตรสาวตระกูลเฉียน หากแต่งสีฉูดฉาดจนเกินไปเกรงว่านางจะกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นเสียเอง
เมื่อเสี่ยวมั่วมาถึงจึงพบว่าคุณหนูของตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหวีแต่งผมเท่านั้น นางจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผมหนาดกดำยาวสลวยครึ่งหนึ่งถูกเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ ผมอีกครึ่งที่ปล่อยไว้ถูกมัดปลายด้วยผ้าสีแดงสด
ปิ่นหยกขาวและปิ่นไข่มุกถูกปักลงไปบนมวยผม แม้ไม่ได้โดดเด่นแต่งดงามไม่น้อยเลย
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“เช่นนั้น เจ้าไปหยิบกล่องไม้บนเตียงข้ามาด้วย” สาวใช้ทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถามความสงสัยภายในออกไป
“สิ่งใดหรือเจ้าค่ะ”
“วันนี้เป็นพิธีปักปิ่น ข้าย่อมต้องมอบของขวัญให้นางให้สมฐานะบุตรีสกุลโจว ไม่เช่นนั้นก็เสียแรงที่คนเหล่านั้นส่งเทียบเชิญให้แล้ว” นางรู้ดีว่าน้อยคนนักจะชื่นชอบโจวเจียวเจียว แต่ที่ยังเชื้อเชิญนางล้วนเป็นเพราะสกุลโจวร่ำรวยผูกมิตรไว้ย่อมไม่เสียประโยชน์
ดีไม่ดีหากบุตรสาวได้แต่งกับโจวจี้หยวนนั่นคงยิ่งกว่าโชคดี
“เหตุใดคุณหนูจึงกล่าวเช่นนั้น คุณหนูแสนดีเช่นนี้ผู้ใดบ้างไม่อยากคบค้าด้วย”
“ฮ่า ๆ นอกจากท่านพี่ท่านพ่อท่านแม่ก็คงมีแต่เจ้ากระมังที่คิดว่าข้าแสนดี” ในนิยายก็เป็นเช่นนี้เสี่ยวมั่วซื่อสัตย์ภักดีต่อโจวเจียวเจียวกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ยังตายเพื่อปกป้องนางจากเงื้อมมือคนของมู่หลินเฟิง
ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมพระเอกของเรื่องจึงหูเบาและงมงายแบบนี้ คงเป็นเพราะนางกร่นด่านิยายเรื่องนี้มากกระมัง ถึงได้เข้ามาเป็นตัวร้ายที่นางสงสารที่สุด
ในนิยายนั้นโจวเจียวเจียวไม่ใช่นางร้ายโดยนิสัยเป็นเพียงสตรีที่เอาแต่ใจ ทว่ากลับถูกคุณหนูอันดับหนึ่งอย่างสืออีหรานปั่นหัวจนเกิดความคิดร้ายกาจชั่วครู่ วางแผนทำร้ายสืออีหราน แต่โจวเจียวเจียวนั้นไม่ได้ฉลาดเช่นสืออีหรานสุดท้ายถูกนางตลบหลังวางแผนลวงให้นางไปทำร้าย
มู่หลินเฟิงเองก็หูหนวกตาบอดไม่สนใจฟังคำของโจวเจียวเจียว สั่งคนโบยเสี่ยวมั่วเค้นความจริงจนตายคาไม้โบย แต่เสี่ยวมั่วไม่ปริปากบอกเขาเลยสักคำ กระทั่งสุดท้ายเขาฆ่านางตายด้วยคำพูดไม่กี่คำ
ช่างเป็นนางร้ายที่โง่งม อาภัพรัก หลงผิด และน่าสงสารยิ่งนัก...
“คุณหนูของเสี่ยวมั่วดีที่สุดเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยยิ้มกว้างพลางเข้ามาช่วยประคองแขนผู้เป็นนาย ทั้งสองเดินออกจากประตูใหญ่จวน ขึ้นรถม้าซึ่งจัดรอนางไว้ได้สักพักแล้ว
“คุณหนูระวังนะเจ้าคะ” สตรีในอาภัพสีเขียวอ่อนราวปีกจักจั่นพยักหน้ายิ้มเบาบางส่งให้ ก้าวเท้าขึ้นไปบนรถเทียมม้าอย่างระวังตามคำเตือนของสาวใช้คนสนิท
เสี่ยวมั่วตามขึ้นไปนั่งข้างกายคนบังคับรถม้า แต่ถูกผู้เป็นนายเรียกให้เข้าไปอยู่ด้วยกันด้านใน แม้โจวเจียวเจียวจะไม่ใช่เจ้านายที่แย่แต่อย่างไรนางก็เป็นนาย ยังคงมีเส้นกั้นที่ไม่อาจล้ำตรึงไว้
เดินทางไปไหนนางก็มักจะนั่งด้านนอกตัวรถม้า แต่ยามนี้โจวเจียวเจียวไม่ใช่คนเดิมจึงเรียกให้นางเข้าไปนั่งด้วย เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้คงไม่มีผู้ใดสนนางจึงไม่ระแวดระวัง
รถม้าวิ่งมาเกือบสองเค่อจึงจอดหน้าประตูใหญ่ตระกูลเฉียน เมื่อสองนายบ่าวลงจากรถม้า คนขับบังคับรถม้าไปจอดที่ตรอกด้านข้างของประตูจวน
“คุณหนูโจว” ยังไม่ทันที่สองนายบ่าวจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูบ้านตระกูลเฉียน ก็มีเสียงใสร้องเรียกนางจากทางด้านหลัง หญิงสาวหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต่อให้หันกลับไปนางก็ไม่รู้ว่าผู้ใดกันแน่ที่เรียกนาง ยามหันกลับไปจึงส่งยิ้มเจือนให้หวังให้อีกฝ่ายเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาก่อน นางจะได้ทบทวนได้ว่าแท้จริงสตรีตรงหน้าเป็นตัวละครใดในบทนิยาย
“ไม่คิดคุณหนูจะมา เดิมทีคิดว่าคุณหนูยังไม่หายจืออวิ๋นจึงไม่กล้าไปรบกวนที่บ้าน ทำได้เพียงส่งของบำรุงไปเท่านั้น ขอคุณหนูอย่าได้โกรธเคือง” หญิงสาวตรงหน้าว่าพลางยอบกายขอโทษจากใจจริง โจวเจียวเจียวยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีหลังรู้ว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด
หว่านจืออวิ๋นคือบุตรสาวตระกูลหว่านแก่กว่านางเพียงหนึ่งปี แต่เพราะบิดานางเคยได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลโจว นางจึงไม่ต่างจากสาวรับใช้อีกคนของโจวเจียวเจียว
โจวเจียวเจียวคนเดิมเอาแต่ใจมากบางคราจึงดุด่าหว่านจืออวิ๋นและเสี่ยวมั่วบ้าง แต่ไม่เคยลงไม้ลงมือและยังให้หว่านจืออวิ๋นเรียกตนเองว่าคุณหนูโจวอีกด้วย
ในนิยายหว่านจืออวิ๋นผู้นี้ก็ซื่อสัตย์และหวังดีกับโจวเจียวเจียวไม่ต่างจากสาวใช้เสี่ยวมั่ว แต่สุดท้ายก็ถูกเขียนให้ลี้หนีหายไปเพราะไม่ใช่ตัวละครสำคัญ
มีสองสิ่งที่ตัวละครนี้มอบให้นิยายคือความจริงใจที่มีต่อนางร้ายโจวเจียวเจียว และความรักซื่อตรงไม่หวังสิ่งใดที่มีให้แก่หลินซีพระรองในบทนิยาย
“พี่จืออวิ๋น ท่านเพิ่งมาหรือ เช่นนั้นเข้าไปกับข้าเถิด” หญิงสาวยิ้มกว้างพลางเดินเข้าไปคล้องแขนสตรีใบหน้าหวานหยดตรงหน้า ท่ามกลางสีหน้างุนงงสงสัยของหว่านจืออวิ๋น โจวเจียวเจียวไหนเลยจะเคยเรียกนางดีเช่นนี้
ให้เกียรติที่สุดก็คงเป็นการเรียกชื่อแซ่กระมัง แต่โจวเจียวเจียวตรงหน้ากลับให้เกียรติเรียกนางว่าพี่จืออวิ๋น แปลกประหลาดนัก
นางจะไม่ทำตัวแปลกไปจากเดิมนักเพราะไม่ต้องการให้บุรุษคนใดมาสนใจตนเอง กลัวว่าสุดท้ายจะพบชะตากรรมเลวร้ายเหมือนนิยายมากมายที่เคยได้อ่าน
แต่กับหว่านจืออวิ๋นนางมิใช่บุรุษจะรู้สึกว่านางแปลกไปก็ไม่เป็นอันใด
“คุณหนูโจว เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้สกุลเฉียนเห็นนางก็เร่งเข้ามาต้อนรับ พาไปนั่งยังที่จัดพิธี สมัญญาร่ำรวยเหลือกินเหลือใช้ของสกุลโจวนั้นล่วงรู้กันทั่วเมือง ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่
“ไปเถอะ” โจวเจียวเจียวยื่นเหรียญเงินให้สาวใช้ผู้นั้นเป็นการให้รางวัลที่ เป็นธุระพานางมานั่งที่โต๊ะ เพราะร่ำรวยนางจึงมิใช่คนตระหนี่เมื่อมีผู้ใดทำสิ่งที่ดีให้นางก็มักจะตอบแทนเป็นเงินหรือของเล็กน้อย
“ขอบคุณคุณหนูโจวเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นหญิงกว้างโค้งตัวคำนับนางอยู่หลายคราจึงผละออกไป เสี่ยวมั่วยืนอยู่ด้านหลังเผื่อให้ผู้เป็นนายคอยเรียกใช้ มีเพียงโจวเจียวเจียวและหว่านจืออวิ๋นที่นั่งรอพิธีอยู่
“พี่จืออวิ๋นต่อไปนี้ท่านก็เรียกข้าว่าเจียวเจียวเถอะ อย่างไรเสียท่านก็เกิดก่อนข้า” หว่านจืออวิ๋นไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดขึ้นมา ภายในสับสนพลางคิดไปว่าคุณหนูโจวคงเลอะเลือนไปเพราะจมน้ำในคืนนั้นเป็นแน่
หญิงสาวถอนหายใจด้วยความอาทร เหตุใดสตรีผู้นี้จึงโชคร้ายเช่นนี้
หว่านจืออวิ๋นเองก็อยู่ในคืนนั้น นางรู้ดีว่าสืออีหรานเป็นคนเช่นไร แต่กล่าวไปก็ไม่มีผู้ใดเชื่อเพราะในสายตาผู้คน สืออีหรานเป็นสตรีที่เพียบพร้อมทั้งฐานะ หน้าตา ปัญญา
แม้หว่านจืออวิ๋นจะงดงามแต่เมื่อเทียบฐานะกับสืออีหรานยังด้อยกว่ามาก เช่นนี้มู่หลินเฟิงผู้โง่งมจึงไม่เชื่อที่หว่านจืออวิ๋นยืนยัน
“คุณหนูยังมีไข้สูงอยู่หรือ”
“ท่านคิดว่าข้าเลอะเลือนใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ถือว่าคำพูดข้ามันไร้ความหมายก็ไม่เป็นอันใด” อยู่ ๆ ก็ถูกหญิงสาวอ่อนกว่าโกรธเข้า หว่านจืออวิ๋นจึงรีบกล่าวขอโทษขอโพยและทำตามอย่างว่าง่าย
โจวเจียวเจียวไม่ใช่สตรีที่งดงามเฉียบขาดดังสืออีหราน และยิ่งไม่หวานหยดย้อยเช่นหว่านจืออวิ๋น แต่นางกลับน่ารักน่าเอ็นดู ยามออดอ้อนด้วยดวงตาสุกใสกลมโตราวดาราจึงยากจะต้านทาน
“เจียวเจียว พี่ขอโทษ เจ้าอย่าโกรธได้หรือไม่” หว่านจืออวิ๋นพยายามขอโทษนางด้วยการหยิบขนมบนโต๊ะมาป้อน รินน้ำชาให้ แต่ยังถูกโจวเจียวเจียวแสร้งโกรธต่อไป
นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะเห็นเพราะวันนี้มู่หลินเฟิงไม่มา นางจึงคิดว่าสามารถเป็นตัวของตนเองได้เต็มที่
แต่นางไม่รู้ว่ายามนี้นางเองอยู่ในสายตาตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งอยู่เช่นกัน...
บทนำเปลือกตาสีอ่อนขยับแผ่วเบาก่อนจะเปิดขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตากระจ่างใสดุจผืนธารากว้าง หว่างคิ้วย่นลงเล็กน้อยราวกับไม่คุ้นเคยสถานที่ตรงหน้าเอาเสียเลยหยัดกายลุกนั่งได้จึงเร่งหย่อนเท้าลงข้างเตียงเตาซึ่งแกะสลักลวดลายประณีต ตามประสาตระกูลร่ำรวย เท้าเปล่าเปลือยเหยียบไปบนพื้นห้องเยียบเย็นอย่างระวัง สองเท้าก้าวแผ่วเบา นัยน์ตากลมกระจ่างจดจ้องไปทั่วห้อง แต่อย่างไรก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเหนือจากตนเอง สายตานางจึงมุ่งไปยังประตูไม้ตรงหน้าบนบานประตูประดับกระดาษไขอย่างดีบดบังแสงไม่ให้ส่องเข้ามาภายในห้องมากนักตลอดการกระทำทั้งหมดนี้นางไม่ปริปากออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เพราะไม่มีเสียงอื่นใดนางจึงได้ยินเสียงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแว่วมา“หลินเฟิง เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกนางทั้งสอง แต่ข้ามั่นใจว่าเจียวเจียวของเรา ไม่มีทางลงมือฆ่าผู้ใดได้” น้ำเสียงที่กล่าวนั่นอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความมั่นใจ เป็นน้ำเสียงที่นางรู้สึกคุ้นหูนัก กระนั้นก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้ใด“เช่นนั้นจี้หยวนเจ้าหมายความว่าคุณหนูอสือโป้ปดข้าหรือ” บุรุษที่เอ่ยคำกล่าวนี้น้ำเสียงช่างเกรี้ยวกราดนัก แต่เหต
1ดวงตะวันสีแดงพระจันทร์สีเลือด“นี่เธอ เมื่อไหร่จะเลิกให้ข้าวคนไร้บ้านพวกนั้นสักที” ชายหนุ่มแต่งตัวจัดจ้านถามขึ้น ขณะดวงตาก็ปรายมองยังคนไร้บ้านสองคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะนอกกระจกร้านอาหารของเธอพิมดาว หญิงสาวอายุยี่สิบสองเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสาขาโภชนาการอาหาร หลังเรียนจบก็นำเงินที่มีมาลงทุนเปิดร้านอาหาร ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าหมู่บ้านหรูหากเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน“จะทำได้ยังไงคะพี่ เป็นร้านอาหารแต่ปล่อยคนหิวพิมทำไม่ได้” เธอตอบเขาพลางเหลือบมองไปนอกกระจกร้าน มือก็เช็ดโต๊ะที่พึ่งเก็บเสร็จ แม้ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอก็มีมากพอจะแบ่งปันให้ผู้อื่นถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตามเธอเป็นลูกคนเดียวและตอนนี้ก็เหลือเพียงตัวคนเดียวจึงไม่กังวลกับสิ่งใดอีก ชีวิตเธอก็มีเพียงแค่นี้ทำงานหาเงิน ทำบุญให้อาหารคนหิวโหยบ้าง หลังปิดร้านก็นอนอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ตามประสาสาวโสด“งั้นเธอก็ไปใจบุญที่อื่นสิ ลูกบ้านร้องเรียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่าร้านเธอทำให้หมู่บ้านดูโลมาก”“ก็แค่ให้อาหารคนหิว มันดูต่ำตรงไหนคะ พิมไม่ย้ายหรอก ถ้าใครไม่พอใจก็ย้ายเองเลย” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เดือนนี้นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นิติ
2ป่วยจนเลอะเลือนห้าวันหลังจากเทศกาลโคมไฟ หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อผู้คนในห้องออกไปจนหมดก่อน จึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอุ่น เพราะเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า ไม่มีเหตุผลรองรับเอาเสียเลย ซ้ำยังต้องมาอยู่ในร่างนางร้ายสุดแสนอาภัพผู้นี้อีกจะกล่าวว่านางเป็นนางร้ายก็ร้ายไม่เท่านางร้ายคนอื่น ๆ หรือแม้แต่นางเอกของเรื่องยังร้ายเสียกว่า นางร้ายเพราะนางมักถูกมอบบทนางร้ายให้มากกว่าจะแสดงเอง นอกจากนี้สุดท้ายยังต้องตายเพราะพระเอกสุดที่รักของนางอีกต่างหากก่อนตายนางก็เป็นคนดีมาตลอดเหตุใดพอได้มีโอกาสใช้ชีวิตจึงทำให้นางมีโชคชะตาเช่นนี้กันเล่า“ขอบคุณสวรรค์ที่มอบบทตัวละครที่สุดแสนจะโชคดีคนนี้ให้ เฮ้อ เอาไงต่อดีไอ้พิม” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางอ่านหนังสือมามากส่วนใหญ่ผู้ที่มาเป็นนางร้ายหรือตัวประกอบหากทำตัวโจ่งแจ้งไปจะกลายเป็นที่สนใจ สุดท้ายกลายเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งนั้นนางควรทำอย่างไรดี นางไม่อยากมีส่วนในนิยายเรื่องนี้แล้วยิ่งไม่อยากตายอย่างอนาถภายใต้คมดาบของบุรุษใจคอโหดเหี้ยม หลอกใช้สตรีเช่นมู่หลินเฟิงคิดไปก็พลันปวดหัวไปสงสัยนางจะไข้ขึ้นเสียแล้ว คงเพราะร่างกายบอบบางของโจวเจียวเจียวนี่กระมัง
3กลวิธี“เจียวเจียว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เสียงฝีเท้าย่ำรวดเร็วเรียกให้นางฟื้นจากภวังค์ความคิด ลืมตามองไปทางประตูห้อง ตัวยังไม่ถึงแต่น้ำเสียงห่วงใยนี้กลับมาถึงเร็วยิ่งนักหญิงสาวยกมือขึ้นนวดคลึงขมับตนเองแผ่วเบา มีเรื่องให้นางต้องใช้ความคิดอีกแล้ว จากนี้นางควรแสร้งเป็นโจวเจียวเจียวให้สมบูรณ์ไม่เช่นนั้นคงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน“ท่านพี่ เหตุใดโหวกเหวกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังเช่นโจวเจียวเจียวคนก่อน แม้เอาแต่ใจแต่นางไม่เคยหยาบคายกับพี่ชายเพียงคนเดียวเลยสักครั้งกลับกันมักออดอ้อนจนสุดท้ายก็ได้สิ่งที่ต้องการ แต่วิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับมู่หลินเฟิง“เสี่ยวมั่วกล่าวว่าเจ้าต้องการกระดาษและพู่กัน”“เป็นเช่นนั้น เจียวเจียวเพียงอยากหาสิ่งใดทำเท่านั้น เหตุใดท่านพี่จึงต้องกระวนกระวายเช่นนี้”“เจ้าป่วยหนักหรือ เหตุใดจึงอยากได้ของที่มองแล้วทำตนเองเวียนหัวเล่า”“ตอนนี้เจียวเจียวไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว ท่านอย่าได้กังวล ข้าหายดีแล้ว” ผู้ฟังขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วย่นลง แม้จะไม่เชื่อว่านางหายแล้ว แต่เท่าที่มองเห็นน้องสาวก็ไม่เป็นอันใดอย่างนางกล่าวจริง ๆเขายกมือแตะหน้าผากนาง ดูว่ายังมีอา
4ตัวละครสำคัญเดิมทีโจวจี้หยวนไม่อยากให้นางไปแต่เมื่อน้องสาวออดอ้อนมีหรือพี่ชายคนนี้จะทนได้ สุดท้ายก็ยอมให้นางไปแต่โดยดี หากไม่ต้องไปตรวจดูการค้าอื่น เขาคงตามไปไม่ให้นางคาดสายตาเป็นแน่เช้าวันต่อมาโจวเจียวเจียวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจัดแจงล้างหน้าล้างตา เลือกอาภรณ์สีอ่อนงดงามแต่ไม่โดดเด่น งานพิธีวันนี้เป็นงานปักปิ่นของบุตรสาวตระกูลเฉียน หากแต่งสีฉูดฉาดจนเกินไปเกรงว่านางจะกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นเสียเองเมื่อเสี่ยวมั่วมาถึงจึงพบว่าคุณหนูของตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหวีแต่งผมเท่านั้น นางจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผมหนาดกดำยาวสลวยครึ่งหนึ่งถูกเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ ผมอีกครึ่งที่ปล่อยไว้ถูกมัดปลายด้วยผ้าสีแดงสดปิ่นหยกขาวและปิ่นไข่มุกถูกปักลงไปบนมวยผม แม้ไม่ได้โดดเด่นแต่งดงามไม่น้อยเลย“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”“เช่นนั้น เจ้าไปหยิบกล่องไม้บนเตียงข้ามาด้วย” สาวใช้ทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถามความสงสัยภายในออกไป“สิ่งใดหรือเจ้าค่ะ”“วันนี้เป็นพิธีปักปิ่น ข้าย่อมต้องมอบของขวัญให้นางให้สมฐานะบุตรีสกุลโจว ไม่เช่นนั้นก็เสียแรงที่คนเหล่านั้นส่งเทียบเชิญให้แล้ว” นางรู้ดีว่าน้อยคนนักจะช
3กลวิธี“เจียวเจียว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เสียงฝีเท้าย่ำรวดเร็วเรียกให้นางฟื้นจากภวังค์ความคิด ลืมตามองไปทางประตูห้อง ตัวยังไม่ถึงแต่น้ำเสียงห่วงใยนี้กลับมาถึงเร็วยิ่งนักหญิงสาวยกมือขึ้นนวดคลึงขมับตนเองแผ่วเบา มีเรื่องให้นางต้องใช้ความคิดอีกแล้ว จากนี้นางควรแสร้งเป็นโจวเจียวเจียวให้สมบูรณ์ไม่เช่นนั้นคงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน“ท่านพี่ เหตุใดโหวกเหวกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังเช่นโจวเจียวเจียวคนก่อน แม้เอาแต่ใจแต่นางไม่เคยหยาบคายกับพี่ชายเพียงคนเดียวเลยสักครั้งกลับกันมักออดอ้อนจนสุดท้ายก็ได้สิ่งที่ต้องการ แต่วิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับมู่หลินเฟิง“เสี่ยวมั่วกล่าวว่าเจ้าต้องการกระดาษและพู่กัน”“เป็นเช่นนั้น เจียวเจียวเพียงอยากหาสิ่งใดทำเท่านั้น เหตุใดท่านพี่จึงต้องกระวนกระวายเช่นนี้”“เจ้าป่วยหนักหรือ เหตุใดจึงอยากได้ของที่มองแล้วทำตนเองเวียนหัวเล่า”“ตอนนี้เจียวเจียวไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว ท่านอย่าได้กังวล ข้าหายดีแล้ว” ผู้ฟังขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วย่นลง แม้จะไม่เชื่อว่านางหายแล้ว แต่เท่าที่มองเห็นน้องสาวก็ไม่เป็นอันใดอย่างนางกล่าวจริง ๆเขายกมือแตะหน้าผากนาง ดูว่ายังมีอา
2ป่วยจนเลอะเลือนห้าวันหลังจากเทศกาลโคมไฟ หญิงสาวลืมตาขึ้นเมื่อผู้คนในห้องออกไปจนหมดก่อน จึงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงอุ่น เพราะเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า ไม่มีเหตุผลรองรับเอาเสียเลย ซ้ำยังต้องมาอยู่ในร่างนางร้ายสุดแสนอาภัพผู้นี้อีกจะกล่าวว่านางเป็นนางร้ายก็ร้ายไม่เท่านางร้ายคนอื่น ๆ หรือแม้แต่นางเอกของเรื่องยังร้ายเสียกว่า นางร้ายเพราะนางมักถูกมอบบทนางร้ายให้มากกว่าจะแสดงเอง นอกจากนี้สุดท้ายยังต้องตายเพราะพระเอกสุดที่รักของนางอีกต่างหากก่อนตายนางก็เป็นคนดีมาตลอดเหตุใดพอได้มีโอกาสใช้ชีวิตจึงทำให้นางมีโชคชะตาเช่นนี้กันเล่า“ขอบคุณสวรรค์ที่มอบบทตัวละครที่สุดแสนจะโชคดีคนนี้ให้ เฮ้อ เอาไงต่อดีไอ้พิม” หญิงสาวพึมพำกับตนเอง นางอ่านหนังสือมามากส่วนใหญ่ผู้ที่มาเป็นนางร้ายหรือตัวประกอบหากทำตัวโจ่งแจ้งไปจะกลายเป็นที่สนใจ สุดท้ายกลายเป็นตัวดำเนินเรื่องทั้งนั้นนางควรทำอย่างไรดี นางไม่อยากมีส่วนในนิยายเรื่องนี้แล้วยิ่งไม่อยากตายอย่างอนาถภายใต้คมดาบของบุรุษใจคอโหดเหี้ยม หลอกใช้สตรีเช่นมู่หลินเฟิงคิดไปก็พลันปวดหัวไปสงสัยนางจะไข้ขึ้นเสียแล้ว คงเพราะร่างกายบอบบางของโจวเจียวเจียวนี่กระมัง
1ดวงตะวันสีแดงพระจันทร์สีเลือด“นี่เธอ เมื่อไหร่จะเลิกให้ข้าวคนไร้บ้านพวกนั้นสักที” ชายหนุ่มแต่งตัวจัดจ้านถามขึ้น ขณะดวงตาก็ปรายมองยังคนไร้บ้านสองคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะนอกกระจกร้านอาหารของเธอพิมดาว หญิงสาวอายุยี่สิบสองเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสาขาโภชนาการอาหาร หลังเรียนจบก็นำเงินที่มีมาลงทุนเปิดร้านอาหาร ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าหมู่บ้านหรูหากเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน“จะทำได้ยังไงคะพี่ เป็นร้านอาหารแต่ปล่อยคนหิวพิมทำไม่ได้” เธอตอบเขาพลางเหลือบมองไปนอกกระจกร้าน มือก็เช็ดโต๊ะที่พึ่งเก็บเสร็จ แม้ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอก็มีมากพอจะแบ่งปันให้ผู้อื่นถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตามเธอเป็นลูกคนเดียวและตอนนี้ก็เหลือเพียงตัวคนเดียวจึงไม่กังวลกับสิ่งใดอีก ชีวิตเธอก็มีเพียงแค่นี้ทำงานหาเงิน ทำบุญให้อาหารคนหิวโหยบ้าง หลังปิดร้านก็นอนอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ตามประสาสาวโสด“งั้นเธอก็ไปใจบุญที่อื่นสิ ลูกบ้านร้องเรียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่าร้านเธอทำให้หมู่บ้านดูโลมาก”“ก็แค่ให้อาหารคนหิว มันดูต่ำตรงไหนคะ พิมไม่ย้ายหรอก ถ้าใครไม่พอใจก็ย้ายเองเลย” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เดือนนี้นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นิติ
บทนำเปลือกตาสีอ่อนขยับแผ่วเบาก่อนจะเปิดขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตากระจ่างใสดุจผืนธารากว้าง หว่างคิ้วย่นลงเล็กน้อยราวกับไม่คุ้นเคยสถานที่ตรงหน้าเอาเสียเลยหยัดกายลุกนั่งได้จึงเร่งหย่อนเท้าลงข้างเตียงเตาซึ่งแกะสลักลวดลายประณีต ตามประสาตระกูลร่ำรวย เท้าเปล่าเปลือยเหยียบไปบนพื้นห้องเยียบเย็นอย่างระวัง สองเท้าก้าวแผ่วเบา นัยน์ตากลมกระจ่างจดจ้องไปทั่วห้อง แต่อย่างไรก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเหนือจากตนเอง สายตานางจึงมุ่งไปยังประตูไม้ตรงหน้าบนบานประตูประดับกระดาษไขอย่างดีบดบังแสงไม่ให้ส่องเข้ามาภายในห้องมากนักตลอดการกระทำทั้งหมดนี้นางไม่ปริปากออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เพราะไม่มีเสียงอื่นใดนางจึงได้ยินเสียงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลแว่วมา“หลินเฟิง เจ้ากล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกนัก แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกนางทั้งสอง แต่ข้ามั่นใจว่าเจียวเจียวของเรา ไม่มีทางลงมือฆ่าผู้ใดได้” น้ำเสียงที่กล่าวนั่นอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความมั่นใจ เป็นน้ำเสียงที่นางรู้สึกคุ้นหูนัก กระนั้นก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงผู้ใด“เช่นนั้นจี้หยวนเจ้าหมายความว่าคุณหนูอสือโป้ปดข้าหรือ” บุรุษที่เอ่ยคำกล่าวนี้น้ำเสียงช่างเกรี้ยวกราดนัก แต่เหต