12
แผนการใหม่
ตลาดปลาฝั่งบูรพาเงียบเชียบไม่ต่างจากทุกวัน โจวเจียวเจียวตามพี่ชายออกมาตรวจดูผู้คน นางตั้งใจว่าจะทำให้ตลาดบูรพามีผู้คนคึกคักขึ้นให้ได้ภายในสองเดือน ก่อนการจัดการสอบขุนนางในอีกสองเดือนข้างหน้า
แม้จะเรียนรู้การขายมาบ้างมา แต่ความรู้เหล่านั้นกลับนำมาใช้ในยุคนี้ได้ยากยิ่งนัก
“ท่านพี่ การสอบขุนนางจะมีขึ้นในอีกสองเดือนใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว เจียวเจียวสนใจการสอบขุนนางหรือ” ผู้เป็นพี่ชายถามพลางโคลงถ้วยชาไปมา สายตาจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าหมดจดของน้องสาว ตั้งใจฟังนางพูดด้วยความยินดี
ยินดีที่ผู้เป็นน้องสาวไม่หลงใหลสหายตนเหมือนเมื่อก่อน แม้จะมีบางครานางจงใจกล่าวถ้อยคำหวานหูให้สหายเขาฟัง แต่ผู้เป็นพี่ชายพอมองออกว่าสิ่งเหล่านั้นนางแสร้งทำ
เขาไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ขอเพียงนางมีความสุขดีก็เพี
13ของหายอยากได้คืนหญิงสาวใช้มีดเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว แล่ปลาราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปลาตัวใหญ่บัดนี้ถูกนางแล่ออกจนเหลือแต่เนื้อปลาสีชมพูอ่อน แค่มองดูก็ต้องกลืนน้ำลายเวลาค่อย ๆ ผ่านไปพร้อมกับปลาหนึ่งตัวที่ถูกแล่ ปลาตัวที่สองถูกแล่ จากหน้าแผงมีเพียงหลินซี เสี่ยวมั่ว เฉิงเชียงบัดนี้ผู้คนกลับมามุ่งดูกันมากมาย“คุณหนูท่านเก่งยิ่งนัก” หญิงชราชมนางไม่ขาดปาก จะมีคุณหนูตระกูลใดในเมืองที่แล่ปลาได้เก่งเท่านางอีก แม้แต่เสี่ยวมั่วยังอดตกใจไม่ได้ โจวเจียวเจียวจัดปลาไว้เป็นกอง แยกเพื่อแบ่งขายเป็นตัว“ปลานี่ขายหรือไม่” หญิงวัยกลางคนในฝูงชนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่กองปลาแล่แล้ว โจวเจียวเจียวยิ้มกว้างพยักหน้ารับจัดแจงนำใบไม้ที่อยู่ในตะกร้าของหญิงชรามาห่อปลา“เท่าไหร่หรือ”“ปลาน
14เจียวเจียวรำคาญเจ้าหลังกลับมาทั้งนางทั้งพี่ชายก็ถูกมู่หลินเฟิงด่าจนหูสองข้างแทบฟังไม่ได้ยิน โจวจี้หยวนฟังไปเถียงไปแต่โจวเจียวเจียวไม่พูดอธิบายสิ่งใด ปล่อยให้มู่หลินเฟิงเข้าใจตามที่อยากเข้าใจกฎข้อที่สี่ ห้ามอธิบายมากหญิงสาวปล่อยเสียงนั้นผ่านหูราวสายลมพัดไม่สนใจไม่ใส่ใจ แต่จะเมินเฉยไปก็เกรงจะไม่ดี บางคราจึงแสร้งตอบบ้าง“เจียวเจียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลินซีเป็นคนเช่นไร เหตุใดจึงไปสนิทสนมกันเช่นนั้น”“หลินเฟิง เจียวเจียวก็เพียงแต่คบเป็นสหายเหตุใดเจ้าต้องต่อว่านาง” โจวจี้หยวนถกเถียงด้วยความสงสัย เหตุการณ์วันนี้เขายังไม่เห็นเลยว่าเจียวเจียวทำผิดอย่างไรแต่โจวเจียวเจียวกลับตอบรับอย่างง่ายดาย ไม่อธิบายไม่กลัวว่ามู่หลินเฟิงจะเข้าใจนางผิด จนผู้เป็นพี่ชายเองก็งุนงงกับท่าทีของนางไม่น้อย
15ช่วงเวลาที่รอคอยหนังสือลงนามร่วมมือกันของร้านค้าที่นางไปสอบถามมาวันนี้ แต่เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นมองผ่านนางทำท่าไม่สนใจความคิดนางแม้แต่น้อยนางเข้าใจดีว่าความคิดของพวกเขาล้วนแต่ยึดติดวิธีการเดิม ๆ จะให้เข้าใจได้เลยในทันทีก็ยากเกินไป จึงกลับมาเพื่อคิดวิธีการไปเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นอีกคราในภายหลัง“ผู้ใดให้ท่านมา”“เจียวเจียวลองเดาดูดีหรือไม่ พี่ว่าเจ้าเดาถูก จะมีผู้ใดบ้างรู้ว่าเจ้าไปพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าคนใดบ้าง”“หลินซี” นางไม่ต้องคาดเดา หากผู้เป็นพี่ชายพูดเช่นนี้ก็คงมีเพียงหลินซีที่ติดตามนางเดินไปมาในตลาดอยู่เกือบทั้งเย็น ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรแต่นางคงต้องไปขอบคุณเขาเสียหน่อยโจวเจียวเจียวและหลินซีสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะนางไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเขา เป็
16ข้าเองก็หวังเช่นนั้น“หลินซีนี่ให้เจ้า ข้าทำตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อขอบคุณและอวยพรให้เจ้าสอบได้ ขอบคุณที่สละเวลามาช่วยข้าจนไม่ได้อ่านตำรา” กล่องอาหารที่ใหญ่กว่าของมู่หลินเฟิงถูกยื่นไปให้บุรุษตรงหน้า ใบหน้างดงามราวบุปผาของบุรุษตรงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มงดงามเช่นเคย เพียงแค่นางมาเขาก็ดีใจมากแล้วนี่นางทั้งมาอวยพรและทำอาหารมาให้ในใจมีความสุขจนไม่รู้แล้วว่าความทุกข์คือสิ่งใด มือเรียวยาวเอื้อมไปรับกล่องไม้มาถือไว้เอง โดยไม่ให้เฉิงเชียงช่วยถือ“ทั้งเจ้า ทั้งจืออวิ๋นต่างนำอาหารมาให้ข้าเห็นทีเข้าสำนักสอบไปคงไม่อดตายแล้ว”ทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของมู่หลินเฟิง ประตูสำนักสอบเปิดขึ้นผู้คนหน้าประตูจึงพากันแยกย้ายจนหมด“อาหารของท่านดูน่ากินไม่น้อยเลยคุณชายหลิน&rdquo
17เหมาโรงเตี้ยม“หลินซี สอบเสร็จแล้วหรือ เหตุใดรวดเร็วนักเล่า ข้าคิดว่าเจ้าคงมาถึงค่ำ ๆ เสียอีก เช่นนี้ข้ากับพี่จืออวิ๋นก็เลือกของเสียเปล่าน่ะสิ” หญิงสาวกล่าวพลางมองไปยังตะกร้าสัตว์ทะเลที่เพิ่งซื้อมาจากชาวประมงเมื่อครู่หลินซีมองตามด้วยรอยยิ้ม “จะเสียเปล่าได้อย่างไร ไหน ๆ จะทำแล้วเช่นนั้นข้าจะช่วย ไปเถอะ ข้าถือเอง” ชายหนุ่มถือตะกร้าที่มีกุ้ง หมึกอยู่ด้านในเดินเคียงสตรีทั้งสองไปจนถึงโรงเตี้ยมเล็กแห่งหนึ่งใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราเงยหน้ามองป้ายโรงเตี้ยมตรงหน้า จิ่งเหอ คือโรงเตี้ยมขนาดเล็กอยู่ในตรอกแคบแทบเรียกว่าร้างผู้คน หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนโยนเดินนำเข้าไปในโรงเตี้ยมจิ่งเหอ“คุณหนู คุณชายรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รีบเข้ามาถามไถ่ทันทีที่เห็นว่าโรงเตี้ยมมีคนเข้ามา ซ้ำบรรดาคุณหนูคุณชายตรงหน้ายังแต่งตัวเสียดิบดี เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนตัดเ
18ข้าไม่มีเวลาทั้งวันหญิงสาวตกใจที่ประตูถูกเปิดกะทันหันและเสียงตะคอกเมื่อครู่จนต้องขยับถอย แต่เมื่อถอยทำให้สะดุดขาเก้าอี้ หากไม่เพราะหลินซีรับไว้คงลงไปกองบนพื้นเป็นแน่ภาพที่มู่หลินเฟิงเห็นคือโจวเจียวเจียวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เขาไม่ชอบคนผู้นี้มู่หลินเฟิงตอบได้เพียงเท่านี้ และยังไม่พอใจที่โจวเจียวเจียวให้ความสำคัญกับชายผู้นี้อีกด้วย“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไร้ยางอายจนถึงขั้นเหมาโรงเตี้ยมไว้พลอดรักกับบุรุษเช่นนี้ เจียวเจียวเจ้าไม่อายบางหรือ หากไม่นึกถึงหน้าตนเองก็ควรนึกถึงหน้าโจวจี้หยวนเสียบ้าง” หญิงสาวพริบตาขึ้นลงอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าบุรุษตรงหน้าหมายถึงสิ่งใดแต่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็เกิดความรู้สึกอยากระเบิดโทสะขึ้นมา สิ่งที่นางพูดกับหลินซีก่อนนี้อาจฟังดูน่าเข้าใจผิด แต่หากไม่ใช่ผู้ที่จิตใจสกปรกย่อมต้องสอบถามก่อน มิใช่ตัดสินใจจากสิ่
18ข้าไม่มีเวลาทั้งวันหญิงสาวตกใจที่ประตูถูกเปิดกะทันหันและเสียงตะคอกเมื่อครู่จนต้องขยับถอย แต่เมื่อถอยทำให้สะดุดขาเก้าอี้ หากไม่เพราะหลินซีรับไว้คงลงไปกองบนพื้นเป็นแน่ภาพที่มู่หลินเฟิงเห็นคือโจวเจียวเจียวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เขาไม่ชอบคนผู้นี้มู่หลินเฟิงตอบได้เพียงเท่านี้ และยังไม่พอใจที่โจวเจียวเจียวให้ความสำคัญกับชายผู้นี้อีกด้วย“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไร้ยางอายจนถึงขั้นเหมาโรงเตี้ยมไว้พลอดรักกับบุรุษเช่นนี้ เจียวเจียวเจ้าไม่อายบางหรือ หากไม่นึกถึงหน้าตนเองก็ควรนึกถึงหน้าโจวจี้หยวนเสียบ้าง” หญิงสาวพริบตาขึ้นลงอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าบุรุษตรงหน้าหมายถึงสิ่งใดแต่เมื่อคิดทบทวนแล้วก็เกิดความรู้สึกอยากระเบิดโทสะขึ้นมา สิ่งที่นางพูดกับหลินซีก่อนนี้อาจฟังดูน่าเข้าใจผิด แต่หากไม่ใช่ผู้ที่จิตใจสกปรกย่อมต้องสอบถามก่อน มิใช่ตัดสินใจจากสิ่
19รักปักใจชายหนุ่มเดินกลับจวนสกุลมู่ด้วยร่างกายและสมองที่หนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกกับคำถามของโจวเจียวเจียว หลังการสอบเสร็จสิ้นสืออีหรานให้คนส่งจดหมายนัดเขา ไปพบที่ตลาดปลา เพราะผู้คนพลุกพล่านน้อยกว่าตลาดประจิมมากพูดคุยกันได้ไม่นานก็บังเอิญเห็นน้องสาวของสหายหายเข้าไปในโรงเตี้ยมกับบุรุษ ซ้ำยังพากันปิดประตูโรงเตี้ยมจนเงียบสนิทไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนเองจึงสนใจเรื่องของนาง ทั้งที่ก่อนนี้ก็ไม่เคยสนใจแม้แต่หนเดียว หรือเป็นเพราะรู้สึกว่านางสนใจเขาน้อยลงแล้วหันไปสนใจหลินซีแทน“เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดใจลอยเช่นนี้” อี้ฮูหยินผู้เป็นมารดาเอ่ยทัก ขณะเห็นบุตรชายเดินใจลอยผ่านโถงหน้า นางฝืนร่างกายมานั่งรอบุตรชายกลับจากการสอบขุนนาง แต่อีกฝ่ายทำราวกับไม่เห็นมารดา เดินผ่านไปไม่หันมองเกรงว่าหากไม่ทักก็คงเดินผ่านไปจนสุดสายตาเป็นแน่
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม
43มีสิ่งใดจะสั่งเสียทัศนวิสัยเบื้องหน้าช่างพร่าเลือนหลังฟื้นคืนสติโจวเจียวเจียวพยายามหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลอดรูเล็กบนผนัง กลิ่นอับบนผนังบ่งบอกว่าที่นี่เก่ามากเพียงใด ด้านในไม่มีเงาผู้คนเช่นนั้นคนชุดดำคงอยู่ด้านนอก“นางฟื้นหรือยัง” เสียงทุ้มแว่วมาจากหลังประตู โจวเจียวเจียวแสร้งเอนกายลงนอนบนพื้นไม้ผุพังทำเหมือนตนเองยังไม่ฟื้นคืนสติ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าที่แท้คนเหล่านี้ต้องการสิ่งใดจากนางแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสืออีหรานแน่นอน เพราะบนโลกนี้คนที่เกลียดนางมีเพียงสตรีแซ่สือ อีกทั้งก่อนหน้านางยังมาพูดจาข่มโอ้อวดว่าตนกำลังจะได้แต่งกับมู่หลินเฟิง ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวก็หล่นจากความฝันเสียแล้ว“นางยังไม่ฟื้น”“ฟื้นไม่ฟื้นก็ช่าง รีบจัดการเสีย ยามนี
42ถูกจับตัวไปกระดาษใบแรกถูกเปิดอ่าน ในกระดาษมีเพียงประโยคเดียวเหมือนจดหมายตอบกลับอย่างไรอย่างนั้น อ่านจบแผ่นแรกก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทั้งที่ไม่ใช่ข้อความหวานซึ้งใดแท้ ๆ‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’ จดหมายสี่ฉบับแรกเนื้อความเหมือนกัน ข้อความสั้น ๆ ไม่ลงชื่อแต่กลับเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีหากนางไม่คิดถึงจริง ๆ จะอุตส่าห์เขียนจดหมายตอบกลับเขาทุกฉบับหรือ แม้นางจะบอกว่าไม่คิดถึงแต่ยามที่เขียนข้อความนี้ลงไป นางย่อมต้องนึกถึงคำถามเป็นแน่แต่จดหมายฉบับสุดท้ายกลับต่างออกไป ตัวหนังสือเล็กแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา ไม่น่าเชื่อว่าเจียวเจียวที่เกลียดการเขียนอักษรจะเขียนได้ดีเช่นนี้ ตัวอักษรตรงหน้าไม
41เช่นนั้นท่านก็กลับไปหน้าคฤหาสน์สกุลโจวร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ หลังเฉากงกงประกาศพระราชโองการวันต่อมามู่หลินเฟิงจึงมาถึงจวนตั้งแต่เช้า เขาต้องการพูดคุยโจวเจียวเจียวเรื่องการสมรสนี้สิ่งที่ทำให้เขาเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนจนเสร็จรวดเร็ว คือข่าวสารจากองค์ชายรอง ในจดหมายกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำเขาร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว‘ข่าวว่าช่วงนี้ตระกูลหลินเตรียมขบวนสินสอด’ตระกูลหลินมีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือหลินซี ฉะนั้นการหมั้นหมายนี้ย่อมเป็นของหลินซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวผู้นั้นเป็นใคร มู่หลินเฟิงคิดถึงภาพที่นางและหลินซีไล่ตีกันจึงคิดว่าอย่างไรก็คงเป็นเจียวเจียว จึงเร่งจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมายังเมืองหลวงทว่าทุกสิ่งก็ยังเหนือความหมายของเขาอยู่ดี แม้จะดีใจที่ได้ประทานสมรสกั