7
ข้อที่สอง
สตรีทั้งสองแยกจากกันหน้าประตูสกุลเฉียน รถเทียมม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนครึกครื้นของตลาดฝั่งประจิม ม่านหน้าต่างถูกตลบขึ้นเพื่อดูผู้คนพลุกพล่านเดินเวียนไปเวียนมา
ในนิยายกล่าวว่าถนนเส้นนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตาเป็นจริงดังนั้น รอยยิ้มเพลิดเพลินประดับไว้บนดวงหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูตลอดการเดินทาง
เมื่อถึงกลางตลาดนางพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนหลายคน ครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลง โจวเจียวเจียวนึกสงสัยจึงเอ่ยถามเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวโผล่หน้าออกไปถามคนขับรถม้า
“มีสิ่งใดหรือ”
“เรียนคุณหนู ตรงหน้ามีขอทานขวางอยู่ขอรับ” โจวเจียวเจียวย่นคิ้วตั้งท่าจะลุกไปดูแต่กลัวว่าจะเป็นที่สนใจมากเกินไป เสี่ยวมั่วจึงโผล่หน้าออกไปฟังความให้แน่ชัด
จากนั้นกลับมาแจ้งแก่คุณหนูของตนว่า มีขอทานปู่หลานถูกไล่จากโรงหมอเพราะไม่มีเงินรักษาแต่ขอทานเฒ่าไม่ยอมไปไหน หลานชายป่วยไข้จนมิอาจทนยืนอยู่ได้
ได้ฟังดังนั้นหญิงสาวที่ทั้งชีวิตขี้สงสารและใจอ่อนอย่างนาง มีหรือจะไม่รู้สึกอันใดได้ ขณะตั้งท่าจะลุกจากที่นั่งก็พลันนึกถึงอักษรบนกระดาษของตน
วิธีเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ
ข้อที่สอง อย่าใจดีมั่วซั่ว มิเช่นนั้นผู้คนจะคิดว่านางเปลี่ยนไปและให้ความสนใจกับนาง
โจวเจียวเจียวนั่งลงที่เดิม
“เสี่ยวมั่วกลับ” สาวรับใช้เดินขึ้นรถม้าจากนั้นสารถีจึงเร่งม้าให้เดินไปข้างหน้า ผู้คนรอบข้างแหวกทางกว้างเพื่อให้รถม้าผ่านทางไปได้
มีหลายคนที่ป้องปากนินทาว่าร้ายนาง ให้เสี่ยวมั่วลงมาถามความแต่ก็มิได้ช่วยเหลือ ช่างเป็นคุณหนูเอาแต่ใจไร้น้ำใจเสียจริง แต่นางหาได้สนใจคำคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นว่าร้ายนางเสร็จก็พากันจากไปทิ้งขอทานเฒ่าคุกเข่าหน้าโรงหมอต่อไป
ไม่เว้นกระทั่งบุรุษที่แอบตามดูนางตั้งแต่ออกจากบ้านสกุลเฉียน ก่อนเขาจะหันหลังกลับเลิกให้ความสนใจแก่นาง รถม้าสกุลโจวก็หยุดลง หลินซีจึงหยุดฝีเท้าด้วยเช่นกัน
เขาเองก็อยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใด
“ท่านลุงฉาน รบกวนท่านพาขอทานปู่หลานเมื่อครู่ไปหาหมอที่โรงหมอหน่อยได้หรือไม่ นี่เป็นเงินค่ารักษาและบอกท่านหมอว่าหากไม่พอข้าเจียวเจียวจะจ่ายให้เอง รักษาให้เต็มที่แต่อย่าลืมขอร้องท่านหมอห้ามบอกผู้ใดว่าข้าเป็นผู้ช่วยเหลือ” คนขับรถม้าขมวดคิ้วงุนงงหลังฟังคำสั่งคุณหนูของตนจบ แม้จะฟังเข้าใจแต่กลับไม่เข้าใจไปด้วย
ไม่เข้าว่าเหตุใดต้องรอให้ไม่มีผู้คนจึงช่วยเหลือ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องไม่อยากให้ผู้ใดรู้ว่าตนช่วยเหลือ นี่ล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้นมิใช่หรือ
“ขอรับคุณหนู” ชายวัยกลางคนค้อมตัวรับคำแล้วจากไป พร้อมความสงสัยภายในที่ไม่ได้รับความกระจ่าง แต่อย่างไรเขาก็เป็นบ่าวนายสั่งมีหรือไม่ยอมทำตาม
มิได้ต่างกับชายที่ยืนแอบอยู่ซอกมุมบ้านเรือน เขาเองก็สงสัยเหตุใดนางทำเช่นนี้
“คุณหนูเหตุใดท่านไม่ช่วยตั้งแต่เมื่อครู่”
“ผู้คนเยอะเกินไป หากข้าออกหน้ามีแต่จะพากันร่ำลือ ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดสนใจ” ชายหนุ่มได้ฟังก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา เคราะห์ดีที่หุบปากตนเองไว้ทัน เขาตามดูนางเพราะสงสัยว่านางเป็นดังคำเล่าลือจริงหรือไม่
ตามได้ไม่นานเขาก็พบว่านางแปลกประหลาดนัก ผู้คนมีแต่จะอยากให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นคนดี โจวเจียวเจียวกลับอยากให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเป็นสตรีแล้งน้ำใจ ประหลาดยิ่ง
“เหตุใดคุณหนูจึงไม่อยากให้ผู้คนสนใจเล่าเจ้าคะ หากคุณชายมู่รู้อาจจะสนใจท่านขึ้นมาบ้าง”
“เขาสนข้าต้องสนหรือ บุรุษหูเบา ไร้สติเช่นนั้นข้าไม่เห็นอยากได้ ผู้ใดอยากได้ก็เอาไป ไปเถอะลุงฉานมาแล้ว” นางกล่าวจบก็ขึ้นไปบนรถม้าเช่นเดิม รถม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนสายหลักของเมืองทางประจิม
หลินซีไม่ได้ตามไปแต่กลับยืนยิ้ม จากเดิมนางน่าสนใจอยู่บ้างยามนี้เขากลับคิดว่านางน่าสนใจมากทีเดียว
“น่าสนใจ”
“สิ่งใดน่าสนใจหรือขอรับคุณชาย” เฉิงเชียงกระซิบถามผู้เป็นนาย ให้ตามหาเสียนานที่แท้มาแอบอยู่ซอกโรงน้ำชานี่เอง
“นาง”
“นางไหนหรือขอรับ” หลินซีรีบหันกลับมามองเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกเฉิงเชียงแอบอาศัยช่วงที่เขาเผลอ ถามความคิดในหัว เขากับเฉิงเชียงโตมาด้วยจึงรู้สึกราวกับเป็นสหายเสียมากกว่าบ่าวรับใช้
เฉิงเชียงย่นหน้า เสียดายที่คุณชายรู้ตัวเสียก่อนเขาจะถามได้ความ แม่ทัพหลินต้องดีใจเป็นแน่ หากรู้ว่าคุณชายมีสตรีหมายปองแล้ว
นึกโมโหตนเองอยู่ไม่น้อยหากมาเร็วกว่านี้เสียหน่อยอาจทันเห็นคุณหนูผู้นั้น
“เห็นข้าใจดีมากใช่หรือไม่”
“คุณชายใจดีเมื่อใดหรือขอรับ ข้าน้อยไม่รู้เลย” เฉิงเชียงตอบหน้าซื่อพลางอมยิ้ม หากไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยก็ขวัญกล้ากวนคุณชายได้ แต่หากมีผู้อื่นอยู่ด้วยเฉิงเชียงให้เกียรติหลินซีเสมอ
“ไปได้แล้ว หากยังถามมากข้าจะสั่งโบยเจ้า”
“หากโบยข้า ผู้ใดจะซ้อมยุทธ์กับคุณชายเล่าขอรับ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตนแผ่วเบา เจ้าเด็กนี่สมควรถูกตีเสียบ้างจริง ๆ บ่าวรับใช้อายุน้อยได้แต่ยิ้มกว้างให้อย่างใสซื่อ เดินตามคุณชายไปยังด้านข้างของโรงน้ำชาที่มีม้าเขาผูกเอาไว้
“เจียวเจียวกลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้างสนุกหรือไม่” โจวจี้หยวนเดินเข้ามาหาน้องสาวพร้อมรอยยิ้ม ถามจบก็ยื่นมือไปหยิบเศษใบไม้ออกจากเส้นผมน้องสาว น้ำเสียง ท่าทางและรอยยิ้มล้วนบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขารักเอ็นดูน้องสาวมากเพียงใด
“ไม่เลยเจ้าค่ะ เคราะห์ดีได้พบพี่จืออวิ๋นไม่เช่นนั้นคงน่าเบื่อนัก”
“พี่จืออวิ๋นหรือ แปลกหูนัก” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ เขาอยู่มาสิบเก้าปีไม่เคยได้ยินน้องสาวเรียกผู้ใดว่าพี่เลย นอกเสียจากตนเองและมู่หลินเฟิงผู้เป็นสหาย
ช่วงนี้น้องสาวเองก็ไม่เคยถามถึงผู้เป็นสหายอีกเลย…
โจวเจียวเจียวราวกับรับรู้ได้ว่าผู้เป็นพี่ชายคิดสิ่งใดอยู่จึงแสร้งถามขึ้น
“ท่านพี่ ช่วงนี้ได้เจอพี่มู่บ้างหรือไม่เจ้าคะ” ที่แท้นางก็ยังไม่ลืมเลือนสหายเขา คงเป็นเช่นนั้นนางหลงรักเขามาหลายปีเพียงไม่นานคงไม่อาจตัดใจจากได้
“เจอกันอยู่บ้าง หากน้องอยากเจอพรุ่งนี้ก็มาหาพี่ที่ห้องตำรา วันพรุ่งนี้หลินเฟิงจะมา ดีหรือไม่” หญิงสาวได้ฟังก็เบ้ปากในทันที นางหาได้อยากเจอเขาไม่ ถามถึงโจโฉโจโฉก็มาโดยแท้ นางไม่น่าถามถึงเขาให้เสียบรรยากาศเลย
โจวเจียวเจียวรู้ตัวจึงเปลี่ยนเป็นยิ้มเขินอายพลางหลบสายตาผู้เป็นพี่ชาย พยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ พรุ่งนี้อย่างไรนางก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่สู้หาเรื่องให้เขาด่าเสียหน่อยจะได้ไม่ต้องอยู่นาน เอาเช่นนี้
“นี่พี่ได้ปิ่นไข่มุกมา เจียวเจียวชอบหรือไม่”
“ชอบเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพี่” ปิ่นไข่มุกสีขาวนวลเปล่งประกายวาววับราวกับแสงสะท้อนของดวงดาราบนผืนน้ำยามค่ำคืน ถูกยื่นมาให้นาง ตระกูลโจวทำการค้า ข้าวของผ่านตาจึงมากมาย หากได้ของสวยงามมาโจวจี้หยวนไม่เคยลืมนึกถึงน้องสาวสุดที่รักเลยแม้สักครั้ง
“เช่นนั้นเจียวเจียวไปพักเถิด”
“เจ้าค่ะท่านพี่ เจียวเจียวขอตัว” หญิงสาวถือปิ่นไข่มุกไว้ในมืออย่างทะนุถนอม ก่อนจะยอบกายอำลาผู้เป็นพี่ชายเดินกลับเรือนพักของตน คิดหาวิธีให้ถูกมู่หลินเฟิงตำหนิในวันพรุ่งนี้
8เจียวเจียวสำนึกผิดแล้วตะวันทอแสงยามเช้า หญิงสาวผุดลุกจากเตียงนอนอุ่น ความมุ่งหมายในวันนี้คือถูกมู่หลินเฟิงด่า เขาชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนั้นวันนี้นางจึงจงใจสวมอาภรณ์สีเข้ม แต่งริมฝีปากด้วยสีชาดที่สดราวกับโลหิตอย่างไรอย่างนั้นนางส่องกระจกพร้อมรอยยิ้ม หมุนตัวไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยชมตนเอง“งามมาก ใช่หรือไม่เสี่ยวมั่ว”“งามเจ้าค่ะ แต่คุณชายมู่คงไม่ชอบกระมังเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขึ้นคุณหนูของนางมักแต่งกายด้วยสีอ่อน เพื่อให้มู่หลินเฟิงสนใจแต่ยามนี้กลับต่างออกไปนางไม่เข้าใจเอาเสียเลยโจวเจียวเจียวคิดว่าเพียงแค่การแต่งกายคงไม่ทำให้มู่หลินเฟิงหันมาสนใจนางได้ในทันที จึงไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นนางในยามนี้เพราะอย่างไรนางก็เป็นเจียวเจียวที่เขาไม่ต้องใจ จะสวมเสื้อผ้าสีใดก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สีเข้มคงทำให้เขาร
9บุรุษผู้นั้นเจ้าของร่างอรชรวิ่งออกจากห้องตำรามานั่งอยู่ในสวนของลานบ้าน ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่โจวเจียวเจียวผู้นั้นแต่เมื่อถูกด่าหนักเข้านางกลับรู้สึกแย่ จนไม่อาจละทิ้งคำพูดเมื่อครู่ของมู่หลินเฟิงไปได้เลย“เจียวเจียว” โจวจี้หยวนเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงไว้มากมาย แม้มู่หลินเฟิงจะเป็นสหาย แต่เขาก็สงสารผู้เป็นน้องสาวเหลือเกิน ในใจมู่หลินเฟิงคงมีเพียงสืออีหราน ไหนเลยจะมีที่ว่างพอให้นางถึงจะพูดไปนางก็ไม่มีทางเชื่อเขาอยู่ดี เขาเลยไม่คิดห้ามนางอีก เพียงปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นชายหนุ่มเดินเข้ามาวางมือไว้บนศีรษะนางแผ่วเบา คล้ายกับกำลังปลอบใจนางโดยไร้คำพูดใดโจวเจียวเจียวนางมีพี่ชาย สหาย บิดามารดา และข้ารับใช้ที่ดี เหตุใดจึงหลงรักบุรุษผู้นั้นมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งที่หลังจากเขารู้จักสืออีหรานก็ไม่เคยมีความหวังให้นางเลยแม้แต่น้อย
10ขออภัยที่ทำให้ท่านเสื่อมเสีย“คนเลว โผล่มาให้อารมณ์เสียทำไมเนี่ย เสียระบบหมดอุตส่าห์จะไม่เฟียสดันเฟียสไปจนได้” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสียพลางใช้เท้าเตะฝุ่นบนพื้นถนน แต่ฝุ่นของนางดันเป็นก้อนใหญ่เกินไป มันกระเด็นไปกระแทกศีรษะบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างแรง“โอ๊ย ผู้ใดลอบทำร้ายข้าไม่มีตาหรืออยากตาย” เสียงตวาดข้างหน้าทำให้โจวเจียวเจียวสะดุ้งจนตัวโยน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยกมือขึ้นแสดงตัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆบุรุษผู้นั้นเดิมชักสีหน้าน่ากลัวราวกับกำลังจะลงดาบลงกระบี่บั้นคอนาง แต่เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นนางก็เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นยิ้มแย้ม เอ่ยทักนางอย่างเป็นธรรมชาติ“ท่าน คุณหนูโจวใช่หรือไม่”“คารวะคุณชายหลิน ขออภัยเมื่อครู่ไม่ระวังเผลอเตะหินจนโดนหัวท่าน เป็นอะไรหรือไม่”&ldq
11สหายคนใหม่“พี่มู่ปล่อยเจียวเจียวได้หรือไม่” ฝีเท้าเร่งรีบของมู่หลินเฟิงหยุดลงเมื่อถึงหน้าร้านค้าตระกูลโจว หญิงสาวที่อุตส่าห์เดินตามมาเงียบ ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนโจวเจียวเจียวคนเก่าไม่ผิดมู่หลินเฟิงรีบสะบัดมือออก ก่อนนี้เขาลืมตัวไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องโมโหและพูดจาร้ายกาจกับนางอีกแล้ว ทั้งที่มาวันนี้ตั้งใจมาขอโทษนาง ยังไม่ทันขอโทษก็ปากไม่ดีอีกแล้ว เรารู้สึกไม่ชอบใจที่นางให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่า“ขอบคุณพี่มู่ที่สั่งสอน ต่อไปเจียวเจียวจะจำไว้ไม่ทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียอีก หากพี่มู่ไม่มีสิ่งใดจะสั่งสอนอีกเจียวเจียวขอตัวก่อน” เขายืนฟังนางพูดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ ได้แต่มองข้อมือนางที่ถูกเขากำแน่นจนเกิดริ้วแดงเมื่อครู่กระทั่งนางเดินไปแล้วเขาจึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษนางสักคำ มู่หลินเฟิงท
12แผนการใหม่ตลาดปลาฝั่งบูรพาเงียบเชียบไม่ต่างจากทุกวัน โจวเจียวเจียวตามพี่ชายออกมาตรวจดูผู้คน นางตั้งใจว่าจะทำให้ตลาดบูรพามีผู้คนคึกคักขึ้นให้ได้ภายในสองเดือน ก่อนการจัดการสอบขุนนางในอีกสองเดือนข้างหน้าแม้จะเรียนรู้การขายมาบ้างมา แต่ความรู้เหล่านั้นกลับนำมาใช้ในยุคนี้ได้ยากยิ่งนัก“ท่านพี่ การสอบขุนนางจะมีขึ้นในอีกสองเดือนใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว เจียวเจียวสนใจการสอบขุนนางหรือ” ผู้เป็นพี่ชายถามพลางโคลงถ้วยชาไปมา สายตาจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าหมดจดของน้องสาว ตั้งใจฟังนางพูดด้วยความยินดียินดีที่ผู้เป็นน้องสาวไม่หลงใหลสหายตนเหมือนเมื่อก่อน แม้จะมีบางครานางจงใจกล่าวถ้อยคำหวานหูให้สหายเขาฟัง แต่ผู้เป็นพี่ชายพอมองออกว่าสิ่งเหล่านั้นนางแสร้งทำเขาไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ขอเพียงนางมีความสุขดีก็เพี
13ของหายอยากได้คืนหญิงสาวใช้มีดเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว แล่ปลาราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปลาตัวใหญ่บัดนี้ถูกนางแล่ออกจนเหลือแต่เนื้อปลาสีชมพูอ่อน แค่มองดูก็ต้องกลืนน้ำลายเวลาค่อย ๆ ผ่านไปพร้อมกับปลาหนึ่งตัวที่ถูกแล่ ปลาตัวที่สองถูกแล่ จากหน้าแผงมีเพียงหลินซี เสี่ยวมั่ว เฉิงเชียงบัดนี้ผู้คนกลับมามุ่งดูกันมากมาย“คุณหนูท่านเก่งยิ่งนัก” หญิงชราชมนางไม่ขาดปาก จะมีคุณหนูตระกูลใดในเมืองที่แล่ปลาได้เก่งเท่านางอีก แม้แต่เสี่ยวมั่วยังอดตกใจไม่ได้ โจวเจียวเจียวจัดปลาไว้เป็นกอง แยกเพื่อแบ่งขายเป็นตัว“ปลานี่ขายหรือไม่” หญิงวัยกลางคนในฝูงชนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่กองปลาแล่แล้ว โจวเจียวเจียวยิ้มกว้างพยักหน้ารับจัดแจงนำใบไม้ที่อยู่ในตะกร้าของหญิงชรามาห่อปลา“เท่าไหร่หรือ”“ปลาน
14เจียวเจียวรำคาญเจ้าหลังกลับมาทั้งนางทั้งพี่ชายก็ถูกมู่หลินเฟิงด่าจนหูสองข้างแทบฟังไม่ได้ยิน โจวจี้หยวนฟังไปเถียงไปแต่โจวเจียวเจียวไม่พูดอธิบายสิ่งใด ปล่อยให้มู่หลินเฟิงเข้าใจตามที่อยากเข้าใจกฎข้อที่สี่ ห้ามอธิบายมากหญิงสาวปล่อยเสียงนั้นผ่านหูราวสายลมพัดไม่สนใจไม่ใส่ใจ แต่จะเมินเฉยไปก็เกรงจะไม่ดี บางคราจึงแสร้งตอบบ้าง“เจียวเจียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลินซีเป็นคนเช่นไร เหตุใดจึงไปสนิทสนมกันเช่นนั้น”“หลินเฟิง เจียวเจียวก็เพียงแต่คบเป็นสหายเหตุใดเจ้าต้องต่อว่านาง” โจวจี้หยวนถกเถียงด้วยความสงสัย เหตุการณ์วันนี้เขายังไม่เห็นเลยว่าเจียวเจียวทำผิดอย่างไรแต่โจวเจียวเจียวกลับตอบรับอย่างง่ายดาย ไม่อธิบายไม่กลัวว่ามู่หลินเฟิงจะเข้าใจนางผิด จนผู้เป็นพี่ชายเองก็งุนงงกับท่าทีของนางไม่น้อย
15ช่วงเวลาที่รอคอยหนังสือลงนามร่วมมือกันของร้านค้าที่นางไปสอบถามมาวันนี้ แต่เพราะเหตุใดคนเหล่านั้นจึงเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นมองผ่านนางทำท่าไม่สนใจความคิดนางแม้แต่น้อยนางเข้าใจดีว่าความคิดของพวกเขาล้วนแต่ยึดติดวิธีการเดิม ๆ จะให้เข้าใจได้เลยในทันทีก็ยากเกินไป จึงกลับมาเพื่อคิดวิธีการไปเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นอีกคราในภายหลัง“ผู้ใดให้ท่านมา”“เจียวเจียวลองเดาดูดีหรือไม่ พี่ว่าเจ้าเดาถูก จะมีผู้ใดบ้างรู้ว่าเจ้าไปพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าคนใดบ้าง”“หลินซี” นางไม่ต้องคาดเดา หากผู้เป็นพี่ชายพูดเช่นนี้ก็คงมีเพียงหลินซีที่ติดตามนางเดินไปมาในตลาดอยู่เกือบทั้งเย็น ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไรแต่นางคงต้องไปขอบคุณเขาเสียหน่อยโจวเจียวเจียวและหลินซีสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะนางไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเขา เป็
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม
43มีสิ่งใดจะสั่งเสียทัศนวิสัยเบื้องหน้าช่างพร่าเลือนหลังฟื้นคืนสติโจวเจียวเจียวพยายามหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลอดรูเล็กบนผนัง กลิ่นอับบนผนังบ่งบอกว่าที่นี่เก่ามากเพียงใด ด้านในไม่มีเงาผู้คนเช่นนั้นคนชุดดำคงอยู่ด้านนอก“นางฟื้นหรือยัง” เสียงทุ้มแว่วมาจากหลังประตู โจวเจียวเจียวแสร้งเอนกายลงนอนบนพื้นไม้ผุพังทำเหมือนตนเองยังไม่ฟื้นคืนสติ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าที่แท้คนเหล่านี้ต้องการสิ่งใดจากนางแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสืออีหรานแน่นอน เพราะบนโลกนี้คนที่เกลียดนางมีเพียงสตรีแซ่สือ อีกทั้งก่อนหน้านางยังมาพูดจาข่มโอ้อวดว่าตนกำลังจะได้แต่งกับมู่หลินเฟิง ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวก็หล่นจากความฝันเสียแล้ว“นางยังไม่ฟื้น”“ฟื้นไม่ฟื้นก็ช่าง รีบจัดการเสีย ยามนี
42ถูกจับตัวไปกระดาษใบแรกถูกเปิดอ่าน ในกระดาษมีเพียงประโยคเดียวเหมือนจดหมายตอบกลับอย่างไรอย่างนั้น อ่านจบแผ่นแรกก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทั้งที่ไม่ใช่ข้อความหวานซึ้งใดแท้ ๆ‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’ จดหมายสี่ฉบับแรกเนื้อความเหมือนกัน ข้อความสั้น ๆ ไม่ลงชื่อแต่กลับเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีหากนางไม่คิดถึงจริง ๆ จะอุตส่าห์เขียนจดหมายตอบกลับเขาทุกฉบับหรือ แม้นางจะบอกว่าไม่คิดถึงแต่ยามที่เขียนข้อความนี้ลงไป นางย่อมต้องนึกถึงคำถามเป็นแน่แต่จดหมายฉบับสุดท้ายกลับต่างออกไป ตัวหนังสือเล็กแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา ไม่น่าเชื่อว่าเจียวเจียวที่เกลียดการเขียนอักษรจะเขียนได้ดีเช่นนี้ ตัวอักษรตรงหน้าไม
41เช่นนั้นท่านก็กลับไปหน้าคฤหาสน์สกุลโจวร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ หลังเฉากงกงประกาศพระราชโองการวันต่อมามู่หลินเฟิงจึงมาถึงจวนตั้งแต่เช้า เขาต้องการพูดคุยโจวเจียวเจียวเรื่องการสมรสนี้สิ่งที่ทำให้เขาเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนจนเสร็จรวดเร็ว คือข่าวสารจากองค์ชายรอง ในจดหมายกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำเขาร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว‘ข่าวว่าช่วงนี้ตระกูลหลินเตรียมขบวนสินสอด’ตระกูลหลินมีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือหลินซี ฉะนั้นการหมั้นหมายนี้ย่อมเป็นของหลินซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวผู้นั้นเป็นใคร มู่หลินเฟิงคิดถึงภาพที่นางและหลินซีไล่ตีกันจึงคิดว่าอย่างไรก็คงเป็นเจียวเจียว จึงเร่งจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมายังเมืองหลวงทว่าทุกสิ่งก็ยังเหนือความหมายของเขาอยู่ดี แม้จะดีใจที่ได้ประทานสมรสกั