6
น่าสนใจ
สืออีหรานเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ นางมีความคิดลึกซึ้งกว่าผู้อื่น เชี่ยวชาญการใช้เสน่ห์ตนเองในการหลอกใช้ผู้อื่น หลินซีเป็นคุณชายน้อยตระกูลหลินมีอำนาจ มีผู้คนเกรงใจหากได้เขามาคอยอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะกล้าเอ่ยคำไม่ดีต่อนาง
เมื่อได้รู้จากบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉียน วันนี้หลินซีจะมาที่ตระกูลเพื่อร่วมพิธีปักปิ่นนางก็วางแผนไว้แล้ว กลับผิดแผนเพราะหว่านจืออวิ๋นสตรีโง่ผู้นั้นไปเสีย
“เจ้า เจ้าคือ...? ช่างเถอะ ข้ามีธุระขอตัวก่อน” สตรีงามย่อมดึงดูดบุรุษ แต่ไม่ใช่กับหลินซีเพราะเขาเองก็งามไม่แพ้สตรี ยิ่งเมื่อไม่มีธุระให้พูดคุยกันเขายิ่งไม่สนใจจะอยู่พูดคุยให้ตกเป็นเรื่องเล่าลือ
อีกทั้งเขายังต้องไปขอโทษหญิงสาวที่ถูกเขาตวาด นางตั้งใจช่วยเหลือกลับถูกต่อว่า เขานี่ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนัก
ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีชิงดูสง่ายิ่งเมื่อสอดรับกับใบหน้างดงามเสียยิ่งกว่าสตรี ที่ยามนี้ถูกลมปะทะใบหน้าเพราะวิ่งตามไป หมายจะขอโทษหญิงสาว
“เจียวเจียวรู้ได้อย่างไรว่ากิ่งทับทิมจะตกใส่คุณชายหลิน” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น หลังกลับมาหาโจวเจียวเจียวที่ยืนรออยู่อีกฟากของลานดอกไม้ เพราะฝึกยุทธ์จนชินชาเสียงฝีเท้าของหลินซีจึงเบาราวขนนก
เขาได้ยินสิ่งที่สตรีทั้งสองกล่าวพอดี แท้จริงผู้ที่ช่วยเหลือเขาคือโจวเจียวเจียวแต่เพราะเหตุใดเล่า...
“พี่จืออวิ๋นไม่สังเกตหรือว่ารอยต่อกิ่งมันไม่ประสานกัน ไม่รู้ว่าทำไมสืออีหรานจึงประมาทเช่นนี้ ไม่ใช่นางเอาเสียเลย” คำพูดนางทำให้คิ้วเรียวดั่งคันธนูของหลินซีเลิกขึ้นสูง เหตุใดนางจึงเอ่ยราวกับเหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เขาไม่คิดว่าอยู่ ๆ ตนจะถูกสตรีลอบทำร้ายได้ เขาและนางมิได้รู้จักกันเลย นางไม่ควรมีความแค้นต่อเขามิใช่หรือ
“สืออีหรานไม่มีความแค้นต่อคุณชายหลิน เหตุใดต้องทำร้ายคุณชายหลินเล่า” สตรีที่ช่วยเขาถามได้ตรงใจยิ่งนัก เขาเองก็อยากรู้เหตุผลที่นางทำเช่นกัน ผู้ใดกล่าวว่าพิชัยสงครามเข้าใจยาก สำหรับเขา ใจสตรียากยิ่งกว่าเสียอีก
ทั้งที่ก่อนนี้ดุด่าเฉิงเชียงว่าสอดรู้เรื่องชาวบ้าน ยามนี้กลับแอบฟังสตรีคุยกันเสียเอง ไม่รู้ว่าหากเฉิงเชียงมาเห็นจะหัวเราะเยาะเขาหรือไม่
“ถูกแล้วนางไม่มีความแค้นต่อคุณชายหลิน แต่คุณชายหลินมีอำนาจ มีฐานะ มีตำแหน่งทางทหาร พี่จืออวิ๋นลองคิดดูเถิดตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้าจวนมาเห็นผู้ใดปฏิบัติต่อหลินซีย่ำแย่หรือไม่ ไม่มี...ใช่หรือไม่ นั่นเพราะผู้คนหวาดกลัวและเกรงใจตระกูลหลิน ของแม่ทัพหลินชวน หากนางได้เป็นสตรีในดวงใจเขาจะเป็นอย่างไร” หว่านจืออวิ๋นพยักหน้ารับทุกคำพูดของโจวเจียวเจียว แม้จะเชื่อแต่ก็ยากที่จะไม่ตกใจ โจวเจียวเจียวที่นางรู้จักไหนเลยจะมีความคิดลึกซึ้งเช่นนี้ได้
โจวเจียวเจียวคนเดิมคิดสิ่งใดก็ล้วนพูดออกมาจนหมด พูดสามประโยคไม่พ้นมู่หลินเฟิง
“เหตุใดเจียวเจียวคิดว่าเป็นนาง”
“ท่านลองคิดดู ยามนี้ผู้คนล้วนอยู่ในงานพิธีแต่นางกลับมาเดินเล่นลำพัง ประจวบเหมาะอาจเกือบช่วยคุณชายหลินเอาไว้อีก หากไม่ใช่เพราะเรามาเดินเล่นจนท่านเข้าไปช่วยไว้เสียก่อน”
“พี่เชื่อแล้ว เช่นนี้เจียวเจียวจึงให้พี่ไปช่วยคุณชายหลินใช่หรือไม่”
“ถูกแล้ว เรื่องนี้อย่าได้บอกให้เขารู้ตัว พี่จืออวิ๋นรับปากเจียวเจียวได้หรือไม่”
“ได้ ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้ใดแม้แต่คุณชายหลิน” หญิงสาวยิ้มกว้างให้ก่อนจะยื่นมือไปคล้องแขนหญิงสาวที่อายุมากกว่า ขณะกำลังจะเดินกลับออกไปทั้งสองได้ยินเสียงเข้มร้องเรียกชื่อใครบางคน
“คุณชายขอรับ คุณชาย” เฉิงเชียงตะโกนเรียกหลินซี ยามนี้พิธีการกำลังจะเริ่มขึ้นเขาจึงรีบมาเร่งให้ผู้เป็นนายเข้าไปในพิธี แต่เมื่อมาถึงคุณชายที่ควรจะนอนอยู่ใต้ต้นทับทิมกลับกลายเป็นกิ่งทับทิมแห้งเสียอย่างนั้น
“เจ้าเฉิงเชียง” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะกระโจนออกไปอีกทาง จากนั้นเดินอ้อมกลับมาหาเฉิงเชียงแล้วตามเข้าไปในพิธีปักปิ่นสกุลเฉียน
โจวเจียวเจียวหรือ น่าสนใจ...เพิ่มขึ้นอีกแล้ว เห็นทีวันนี้ก็มิได้น่าเบื่อดั่งที่คิด
หลังจบพิธีปักปิ่นผู้คนพากันแยกย้ายกลับ สืออีหรานเห็นหลินซีอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปทัก ในใจหมายใช้มารยาตนยั่วยวนให้เขามีความหวังว่านางชื่นชอบ
“คุณชายหลินกำลังจะกลับหรือ”
“อืม” น้ำเสียงเย็นชาทำให้ความมั่นใจนางหดหายไปไม่น้อย ขณะตอบเขาไม่มองหน้านางเลยด้วยซ้ำ นัยน์ตาคู่นั้นเหลือบไปมาราวกับกำลังมองหาสิ่งใดอยู่
หญิงสาวยังทำใจกล้าพูดคุยเอ่ยถามเขาอยู่ต่อไป แม้เขาจะไม่ใส่ใจแต่หากอยู่คุยด้วยกันนาน ไม่ช้าต้องมีผู้คนสงสัยความสัมพันธ์ของทั้งสอง เช่นนี้ก็ได้ประโยชน์สองชั้นแล้ว
ผู้คนที่เกรงใจเขาก็จะคิดว่านางกับเขาเกี่ยวข้องกันพากันปฏิบัติดีต่อนาง อีกทางเรื่องนี้เข้าหูมู่หลินเฟิงอาจทำให้เขาเร่งผู้อาวุโสในตระกูลมาสู่ขอนาง
“คุณชายหลินได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หากได้รับบาดเจ็บท่านลองนำยานี้ไปใช้เถิด ไม่ทำให้เกิดแผลเป็นบิดาข้าหาสิ่งนี้จนทั่วแคว้นก็พบเพียงไม่กี่ขวดเท่านั้น” นางว่าพลางยื่นขวดให้เขาด้วยท่าทางเขินอาย หลินซีเห็นก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาไม่ได้พูดสิ่งใดด้วยเหตุใดนางต้องทำท่าทางเช่นนั้น
นี่มิทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดหรอกหรือ...
“คุณหนูสือ เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ายังปกติ ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใด เจ้ามากกว่ากระมังที่ควรใช้ยา อีกอย่างยาทาแผลตระกูลหลินข้ามีไม่น้อย ไม่ต้องรบกวนเจ้าเป็นห่วง เอะนั่น...คุณหนูท่านนั้นเดี๋ยวก่อน” หลินซีพูดยังไม่ทันจบดีก็เห็นเงาร่างเล็กที่รอคอยเดินออกมาจากประตูสกุลเฉียน ชายหนุ่มร้องเรียกแล้ววิ่งตรงเข้าไปหา โดยไม่สนใจสืออีหรานด้านหลังอีกต่อไป
สืออีหรานยามปกติมันถูกห้อมล้อมด้วยสายตาอิจฉาและปลาบปลื้ม ยามนี้ถูกเมินจนเสียหน้านางกำมือจิกเล็บลงบนฝ่ามือตนเองจนเป็นแผล
เขาละเลยนางที่เป็นคุณหนูอันดับหนึ่งเพื่อเข้าไปพูดคุยกับสตรีเอาแต่ใจเช่นโจวเจียวเจียวและหว่านจืออวิ๋น
“คุณชายหลิน ท่านมีสิ่งใดหรือ” โจวเจียวเจียวถามขึ้นเมื่อหลินซีเดินเข้ามาหานางทั้งสอง ดวงตาคมคู่นั้นเหลือบมองนางก่อนจะหันไปทางหว่านจืออวิ๋น
“ก่อนนี้ข้าพูดกับคุณหนูไม่ดีสักเท่าใด ทั้งที่เจ้าจงใจช่วยข้าแต่กลับถูกโมโหใส่ ข้ารู้สึกผิดนักจึงตั้งใจรอพวกท่านทั้งสอง เพื่อเอ่ยคำขอโทษ และขอบคุณจากใจจริง ๆ ขอบคุณคุณหนู ท่าน...?”
“ข้าหว่านจืออวิ๋น คุณชายเรียกข้าว่าจืออวิ๋นก็ได้”
“เช่นนั้นขอบคุณคุณหนูหว่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้ แล้วคุณหนูท่านนี้คือ?”
“คารวะคุณชายหลินซี ข้าบุตรสาวคนเดียวของตระกูลโจว นามเจียวเจียว” หลินซีแสร้งทำท่าไม่สนใจ เพราะจำได้ว่าก่อนนี้นางกำชับหว่านจืออวิ๋นไว้ว่าห้ามบอกเขา เขาเองก็อยากรู้ว่าเหตุใดต้องห้ามบอก จึงมิได้ทักท้วงสิ่งใด
การแสร้งไม่รู้คือวิธีรอบรู้ที่ง่ายที่สุด ไว้รอหลังนางกลับจากตระกูลเฉียนเขาค่อยตามดูไม่สาย
“ที่แท้ก็คุณหนูโจวที่ผู้คนร่ำลือ ข้าหลินซี ดูเหมือนพวกท่านกำลังจะกลับ เช่นนี้ข้าไม่รบกวนแล้ว หากมีโอกาสข้าจะตอบแทนบุญคุณวันนี้เป็นแน่” ชายหนุ่มกล่าวกับหว่านจืออวิ๋นแต่กลับเหลือบตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง ท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของสืออีหราน
แผนนางไม่สำเร็จล้วนเป็นเพราะสตรีโง่ทั้งสองคนนั้น
“นั่นคุณหนูสือมิใช่หรือ มายืนทำสิ่งใดหน้าประตูสกุลเฉียนหรือว่ามารอพบคุณชายหลินซี” โจวเจียวเจียวกล่าวด้วยรอยยิ้มวาววับ ราวกับกำลังเยาะเย้ยนางอยู่ ผู้คนรอบข้างถึงกับหยุดมองอย่างสงสัย
จริงดังโจวเจียวเจียวว่าเมื่อครู่นางยืนคุยอยู่กับหลินซีนานสองนาน แต่นางมีสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายอันดับอย่างมู่หลินเฟิงมิใช่หรือ ผู้คนสงสัยจึงพากันกระซิบนินทา สืออีหรานเห็นเช่นนั้นก็จงใจใช้มารยาบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจในทันที
“คุณหนูโจว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้าแต่เหตุใดต้องใส่ร้ายกันถึงเพียงนี้ อย่างไรข้าก็เป็นสตรี ข้าเพียงสอบถามคุณชายหลินซีเท่านั้น”
“หากไม่ได้ทำสิ่งใดผิดก็ไม่เห็นต้องร้อนรน ข้าพูดเมื่อไหร่กันว่าเจ้าเห็นคุณชายหลินซีรูปงามมากอำนาจจึงมายั่วยวน” สืออีหรานถึงกับสะอึก เหตุใดโจวเจียวเจียวจึงรู้เป้าหมายแท้จริงของนาง นางไม่ตอบกลับสิ่งใดอีกทำเพียงเดินหนีไปเท่านั้น
โจวเจียวเจียวแม้ไม่อยากพูดคุยกับสืออีหราน แต่หากอยากเป็นโจวเจียวเจียวที่แท้จริงย่อมต้องหาเรื่องนางบ่อยครั้งเพื่อความสมจริง
7ข้อที่สองสตรีทั้งสองแยกจากกันหน้าประตูสกุลเฉียน รถเทียมม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนครึกครื้นของตลาดฝั่งประจิมม่านหน้าต่างถูกตลบขึ้นเพื่อดูผู้คนพลุกพล่านเดินเวียนไปเวียนมาในนิยายกล่าวว่าถนนเส้นนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตาเป็นจริงดังนั้น รอยยิ้มเพลิดเพลินประดับไว้บนดวงหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูตลอดการเดินทางเมื่อถึงกลางตลาดนางพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนหลายคน ครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลง โจวเจียวเจียวนึกสงสัยจึงเอ่ยถามเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวโผล่หน้าออกไปถามคนขับรถม้า“มีสิ่งใดหรือ”“เรียนคุณหนู ตรงหน้ามีขอทานขวางอยู่ขอรับ” โจวเจียวเจียวย่นคิ้วตั้งท่าจะลุกไปดูแต่กลัวว่าจะเป็นที่สนใจมากเกินไป เสี่ยวมั่วจึงโผล่หน้าออกไปฟังความให้แน่ชัดจากนั้นกลับมาแจ้งแก่คุณหนูของตนว่า มีขอทาน
8เจียวเจียวสำนึกผิดแล้วตะวันทอแสงยามเช้า หญิงสาวผุดลุกจากเตียงนอนอุ่น ความมุ่งหมายในวันนี้คือถูกมู่หลินเฟิงด่า เขาชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนั้นวันนี้นางจึงจงใจสวมอาภรณ์สีเข้ม แต่งริมฝีปากด้วยสีชาดที่สดราวกับโลหิตอย่างไรอย่างนั้นนางส่องกระจกพร้อมรอยยิ้ม หมุนตัวไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยชมตนเอง“งามมาก ใช่หรือไม่เสี่ยวมั่ว”“งามเจ้าค่ะ แต่คุณชายมู่คงไม่ชอบกระมังเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขึ้นคุณหนูของนางมักแต่งกายด้วยสีอ่อน เพื่อให้มู่หลินเฟิงสนใจแต่ยามนี้กลับต่างออกไปนางไม่เข้าใจเอาเสียเลยโจวเจียวเจียวคิดว่าเพียงแค่การแต่งกายคงไม่ทำให้มู่หลินเฟิงหันมาสนใจนางได้ในทันที จึงไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นนางในยามนี้เพราะอย่างไรนางก็เป็นเจียวเจียวที่เขาไม่ต้องใจ จะสวมเสื้อผ้าสีใดก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สีเข้มคงทำให้เขาร
9บุรุษผู้นั้นเจ้าของร่างอรชรวิ่งออกจากห้องตำรามานั่งอยู่ในสวนของลานบ้าน ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่โจวเจียวเจียวผู้นั้นแต่เมื่อถูกด่าหนักเข้านางกลับรู้สึกแย่ จนไม่อาจละทิ้งคำพูดเมื่อครู่ของมู่หลินเฟิงไปได้เลย“เจียวเจียว” โจวจี้หยวนเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงไว้มากมาย แม้มู่หลินเฟิงจะเป็นสหาย แต่เขาก็สงสารผู้เป็นน้องสาวเหลือเกิน ในใจมู่หลินเฟิงคงมีเพียงสืออีหราน ไหนเลยจะมีที่ว่างพอให้นางถึงจะพูดไปนางก็ไม่มีทางเชื่อเขาอยู่ดี เขาเลยไม่คิดห้ามนางอีก เพียงปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นชายหนุ่มเดินเข้ามาวางมือไว้บนศีรษะนางแผ่วเบา คล้ายกับกำลังปลอบใจนางโดยไร้คำพูดใดโจวเจียวเจียวนางมีพี่ชาย สหาย บิดามารดา และข้ารับใช้ที่ดี เหตุใดจึงหลงรักบุรุษผู้นั้นมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งที่หลังจากเขารู้จักสืออีหรานก็ไม่เคยมีความหวังให้นางเลยแม้แต่น้อย
10ขออภัยที่ทำให้ท่านเสื่อมเสีย“คนเลว โผล่มาให้อารมณ์เสียทำไมเนี่ย เสียระบบหมดอุตส่าห์จะไม่เฟียสดันเฟียสไปจนได้” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสียพลางใช้เท้าเตะฝุ่นบนพื้นถนน แต่ฝุ่นของนางดันเป็นก้อนใหญ่เกินไป มันกระเด็นไปกระแทกศีรษะบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างแรง“โอ๊ย ผู้ใดลอบทำร้ายข้าไม่มีตาหรืออยากตาย” เสียงตวาดข้างหน้าทำให้โจวเจียวเจียวสะดุ้งจนตัวโยน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยกมือขึ้นแสดงตัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆบุรุษผู้นั้นเดิมชักสีหน้าน่ากลัวราวกับกำลังจะลงดาบลงกระบี่บั้นคอนาง แต่เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นนางก็เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นยิ้มแย้ม เอ่ยทักนางอย่างเป็นธรรมชาติ“ท่าน คุณหนูโจวใช่หรือไม่”“คารวะคุณชายหลิน ขออภัยเมื่อครู่ไม่ระวังเผลอเตะหินจนโดนหัวท่าน เป็นอะไรหรือไม่”&ldq
11สหายคนใหม่“พี่มู่ปล่อยเจียวเจียวได้หรือไม่” ฝีเท้าเร่งรีบของมู่หลินเฟิงหยุดลงเมื่อถึงหน้าร้านค้าตระกูลโจว หญิงสาวที่อุตส่าห์เดินตามมาเงียบ ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนโจวเจียวเจียวคนเก่าไม่ผิดมู่หลินเฟิงรีบสะบัดมือออก ก่อนนี้เขาลืมตัวไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องโมโหและพูดจาร้ายกาจกับนางอีกแล้ว ทั้งที่มาวันนี้ตั้งใจมาขอโทษนาง ยังไม่ทันขอโทษก็ปากไม่ดีอีกแล้ว เรารู้สึกไม่ชอบใจที่นางให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่า“ขอบคุณพี่มู่ที่สั่งสอน ต่อไปเจียวเจียวจะจำไว้ไม่ทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียอีก หากพี่มู่ไม่มีสิ่งใดจะสั่งสอนอีกเจียวเจียวขอตัวก่อน” เขายืนฟังนางพูดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ ได้แต่มองข้อมือนางที่ถูกเขากำแน่นจนเกิดริ้วแดงเมื่อครู่กระทั่งนางเดินไปแล้วเขาจึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษนางสักคำ มู่หลินเฟิงท
12แผนการใหม่ตลาดปลาฝั่งบูรพาเงียบเชียบไม่ต่างจากทุกวัน โจวเจียวเจียวตามพี่ชายออกมาตรวจดูผู้คน นางตั้งใจว่าจะทำให้ตลาดบูรพามีผู้คนคึกคักขึ้นให้ได้ภายในสองเดือน ก่อนการจัดการสอบขุนนางในอีกสองเดือนข้างหน้าแม้จะเรียนรู้การขายมาบ้างมา แต่ความรู้เหล่านั้นกลับนำมาใช้ในยุคนี้ได้ยากยิ่งนัก“ท่านพี่ การสอบขุนนางจะมีขึ้นในอีกสองเดือนใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว เจียวเจียวสนใจการสอบขุนนางหรือ” ผู้เป็นพี่ชายถามพลางโคลงถ้วยชาไปมา สายตาจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าหมดจดของน้องสาว ตั้งใจฟังนางพูดด้วยความยินดียินดีที่ผู้เป็นน้องสาวไม่หลงใหลสหายตนเหมือนเมื่อก่อน แม้จะมีบางครานางจงใจกล่าวถ้อยคำหวานหูให้สหายเขาฟัง แต่ผู้เป็นพี่ชายพอมองออกว่าสิ่งเหล่านั้นนางแสร้งทำเขาไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ขอเพียงนางมีความสุขดีก็เพี
13ของหายอยากได้คืนหญิงสาวใช้มีดเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว แล่ปลาราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปลาตัวใหญ่บัดนี้ถูกนางแล่ออกจนเหลือแต่เนื้อปลาสีชมพูอ่อน แค่มองดูก็ต้องกลืนน้ำลายเวลาค่อย ๆ ผ่านไปพร้อมกับปลาหนึ่งตัวที่ถูกแล่ ปลาตัวที่สองถูกแล่ จากหน้าแผงมีเพียงหลินซี เสี่ยวมั่ว เฉิงเชียงบัดนี้ผู้คนกลับมามุ่งดูกันมากมาย“คุณหนูท่านเก่งยิ่งนัก” หญิงชราชมนางไม่ขาดปาก จะมีคุณหนูตระกูลใดในเมืองที่แล่ปลาได้เก่งเท่านางอีก แม้แต่เสี่ยวมั่วยังอดตกใจไม่ได้ โจวเจียวเจียวจัดปลาไว้เป็นกอง แยกเพื่อแบ่งขายเป็นตัว“ปลานี่ขายหรือไม่” หญิงวัยกลางคนในฝูงชนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่กองปลาแล่แล้ว โจวเจียวเจียวยิ้มกว้างพยักหน้ารับจัดแจงนำใบไม้ที่อยู่ในตะกร้าของหญิงชรามาห่อปลา“เท่าไหร่หรือ”“ปลาน
14เจียวเจียวรำคาญเจ้าหลังกลับมาทั้งนางทั้งพี่ชายก็ถูกมู่หลินเฟิงด่าจนหูสองข้างแทบฟังไม่ได้ยิน โจวจี้หยวนฟังไปเถียงไปแต่โจวเจียวเจียวไม่พูดอธิบายสิ่งใด ปล่อยให้มู่หลินเฟิงเข้าใจตามที่อยากเข้าใจกฎข้อที่สี่ ห้ามอธิบายมากหญิงสาวปล่อยเสียงนั้นผ่านหูราวสายลมพัดไม่สนใจไม่ใส่ใจ แต่จะเมินเฉยไปก็เกรงจะไม่ดี บางคราจึงแสร้งตอบบ้าง“เจียวเจียวเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลินซีเป็นคนเช่นไร เหตุใดจึงไปสนิทสนมกันเช่นนั้น”“หลินเฟิง เจียวเจียวก็เพียงแต่คบเป็นสหายเหตุใดเจ้าต้องต่อว่านาง” โจวจี้หยวนถกเถียงด้วยความสงสัย เหตุการณ์วันนี้เขายังไม่เห็นเลยว่าเจียวเจียวทำผิดอย่างไรแต่โจวเจียวเจียวกลับตอบรับอย่างง่ายดาย ไม่อธิบายไม่กลัวว่ามู่หลินเฟิงจะเข้าใจนางผิด จนผู้เป็นพี่ชายเองก็งุนงงกับท่าทีของนางไม่น้อย
27ข้าเองก็ชอบเจ้าเช่นกันภาพเบื้องหน้ายิ่งทำให้นางไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไปมู่หลินเฟิงตรงเข้าไปยุดแขนเล็กของโจสเจียวเจียวเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ ยื้อยุดกันไปมาสักครู่โจวเจียวเจียวก็ตามเขาออกมา เล็บยาวจิกเข้ากลางฝ่ามือตนเองจนแน่น นางไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อีกนางเสียมู่หลินเฟิงไปไม่ได้ โจวเจียวเจียวไม่ควรอยู่ข้างกายเขาอีกหญิงสาวมาเกือบถึงเพิงแจกอาหารแต่ระหว่างนั้นถูกฝุ่นปลิวเข้าตา ชายหนุ่มข้างกายจึงอาสาดูให้ มู่หลินเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปขวางทันทีพอดึงนางออกห่างจากหลินซี หยดน้ำใสก็พลันร่วงหล่นจากดวงตากลมกระจ่างทำให้มู่หลินเฟิงคิดไปไกลว่า นางขุ่นเคืองที่ถูกเขาขวางไม่ให้อยู่ใกล้บุรุษผู้นี้สองบุรุษฉุดยื้อหนึ่งสตรี เคราะห์ดีแถบนี้เป็นท้ายตรอกผู้คนจึงไม่พ
26ราวสวรรค์จัดวางมู่หลินเฟิงตื่นขึ้นอีกครั้งในยามอู่อาการนอนไม่พอหายไปแล้วจึงได้คิดจะลุกมาจัดแจงล้างหน้าเปลี่ยนชุดเสียใหม่ ตั้งใจว่าจะไปคุยกับโจวเจียวเจียวแต่ยังไม่ทันได้ลงจากเตียง จี้ชิงก็วิ่งเข้ามาหาอย่างแสนรู้“คุณชาย ท่านตื่นเสียที เมื่อครู่มีประกาศผลสอบติดไว้ที่กลางเมืองแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มเห็นผู้เป็นนายไม่ค่อยสนใจจะรู้จึงทำหน้าหงิกงอ เดินไปยกอ่างไม้เข้ามามู่หลินเฟิงมั่นใจกว่าสิบส่วนว่าอย่างไรครั้งนี้ตนเองต้องได้ลำดับหนึ่ง จึงไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับจี้ชิงที่ลุ้นแล้วลุ้นอีกในหัวเขายามนี้มีเพียงการตระเตรียมคำพูดไว้พูดกับโจวเจียวเจียวหลังล้างหน้าสวมอาภรณ์ตัวใหม่แล้ว จี้ชิงยืนนิ่งล้วงเอาจดหมายเล็กในสาบเสื้อออกมายื่นให้ผู้เป็นนาย“คุณหนูสือวานข้าน้อยเอามาให้คุณชายขอ
25นางตอบเจ้าว่าอย่างไรอาหารบนโต๊ะมีเพียงสามอย่างเท่านั้น แต่นายหญิงของจวนกลับตักกินจนหมดอย่างที่ไม่เคยเป็น บ่าวไพร่ รวมถึงบุตรชายคนเดียวของจวนล้วนพากันยกยิ้มอย่างโล่งใจ ในที่สุดอี้ฮูหยินก็สามารถกินอาหารจนหมดได้เสียทีขอเพียงเป็นเช่นนี้ต่อไปโรคภัยเหล่านั้นคงน้อยลงเป็นแน่“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็กินอาหารได้เสียที” เพียงฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้แล้วว่าบุตรชายดีใจมากเพียงใดที่มารดากินอาหารได้จนหมดเช่นนี้ ผ่านมาหลายปีที่อี้ฮูหยินกินเพื่ออยู่ ฝืนกินอาหารจานละสองสามคำต่อมื้อ ร่างกายจึงเจ็บป่วยง่ายพอเห็นมารดากินได้มากขนาดนี้ มู่หลินเฟิงเกือบหลั่งน้ำตาออกมาเสียด้วยซ้ำ“แม่ขอโทษที่ทำให้เฟิงเอ๋อร์กังวล ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ”“ที่ใดกัน ขอเพียงท่านแม่ดีขึ้น ต่อให้ลุยคมหอกคมดาบลูกย่อมไม่เกี่ยง&r
24หวั่นใจรอยยิ้มแห่งความโล่งใจบนหน้าปรากฏขึ้นทันทีที่นางรับปากเขาคิดไว้อยู่แล้วว่านางคงรับปากแต่ยามต้องพูดขอร้องนาง กลับใจเต้นระส่ำ ไม่รู้เพราะรู้สึกผิด ละอายใจหรือสิ่งใดกันแน่จึงทำให้เป็นเช่นนี้เดิมคิดจะขอโทษนางเสียก่อนยังไม่ทันได้เอ่ยปากนางก็ตกลงแล้ว“ขอบคุณเจียวเจียว” ชายหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้นก็เดินไปรินน้ำชาให้นางเพื่อเป็นการขอบคุณ นัยน์ตากระจ่างใสมองถ้วยชาที่ยื่นมาด้วยความงุนงงไม่คิดว่าบุรุษเช่นมู่หลินเฟิงจะรักมารดาตนเองมากเพียงนี้ในนิยายก็ไม่ได้บรรยายถึงมารดาของเขามากนัก มักบรรยายอย่างรวบรัดเพราะตอนจบนางต้องตาย ผู้เขียนคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายให้มากกระมัง“ข้ารับปากแล้วเหตุใดพี่มู่ยังไม่กลับเล่า”“ท่านแม่ไม่ค่อยกินข้าวกำลังล้มป่วยไม่ทราบว่าเจ้
23ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนยามรุ่งอรุณสาดแสงสีทองจนเต็มนภา มู่หลินเฟิงก็ถึงหน้าคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ชายหนุ่มออกมาตั้งแต่เช้าต้องการสนทนากับโจวเจียวเจียว เพื่อว่าจ้างให้นางทำอาหารเผื่อมารดาตนเองด้วย“นางไม่อยู่หรือ” มู่หลินเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินว่าโจวเจียวเจียวไม่อยู่ในบ้าน เช้าถึงเพียงนี้เหตุใดนางจึงไม่อยู่ ไม่เพียงตัวนางที่ไม่อยู่แม้แต่พี่ชายก็เช่นกัน“คุณหนูกับคุณชายไปตลาดบูรพาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วขอรับคุณชาย” ชายเฝ้าประตูเอ่ยตอบก่อนจะประสานมือค้อมตัวลง มู่หลินเฟิงไม่ได้ตอบสิ่งใดอีกเพียงแต่ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปทางตลาดปลาไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องคุยกับโจวเจียวเจียวให้ได้แปลกนักที่เช้าเพียงนี้ในร้านนางกลับมีคนไม่น้อยเลย ทั้งโจวจี้หยวน โจวเจียวเจียว เถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน บ่าวรับใช้ข้างกายสองคน ซ้ำ
22กล่องขนมหวานหลังส่งสืออีหรานถึงสกุลสือ มู่หลินเฟิงก็หอบหิ้วเอากล่องขนมที่ได้จากโจวเจียวเจียวกลับมาบ้าน ความรู้สึกภายในสับสนปนเปกันจนไม่สามารถตรึกตรองได้ในเวลาอันรวดเร็วเขาไม่ชอบโจวเจียวเจียว เรียกว่ามีอคติจึงจะถูกกว่าแต่ยามนี้เมื่อได้เห็นนางเปลี่ยนไป แม้จะเล็กน้อยแต่เขาคิดว่านางไม่เหมือนเดิมและยิ่งเห็นข้างกายนางมีหลินซีบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพหลินชวน สายตาที่นางมองเขาเปลี่ยนไปไม่น้อยเขารู้สึกได้ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในภวังค์ของตนเองก็ได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู“คุณชายท่านกลับมาเสียที คุณชายท่านรีบไปดูฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้อาวุโสของมารดาปรี่ตรงเข้ามาหาเขาที่ลานกลางของบ้าน สีหน้าไม่สู้ดีนัก ร่างกายสูงโปร่งรีบผุดลุกจากที่นั่งตามไปทันทีก่อนหน้านี้อี้ฮูหยินก็เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด เรียกว่าสา
21เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือโจวเจียวเจียวชาติก่อนเป็นคนจิตใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น พอเห็นเด็กสาวหมดสติอยู่ตรงหน้ามีหรือจะปล่อยผ่านไปได้ นางรีบพุ่งตัวเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างกายร่างนั่นทันที ลืมสิ้นทุกกฎเกณฑ์ที่ตนตั้งไว้เด็กสาวนอนไม่ได้สติ ร่างกายกระตุกเกร็งมุมปากมีของเหลวสีขาวขุ่นไหลออกมา ผู้คนรอบข้างพากันตีวงกว้างมองด้วยความตื่นตระหนกอาการเช่นนี้หากแสดงออกมาต่อหน้าผู้คนล้วนถูกเข้าใจผิดเป็นผีร้ายหรือวิญญาณร้ายเป็นแน่“หลินซี เอาน้ำกับผ้าสะอาดให้ข้าที” นางหันไปบอกกับหลินซีเสียงดัง ก่อนจะหันมาจัดแจงเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบหนาวให้นอนราบบนพื้นถนนหน้าร้านทุกฝีเท้าขยับหยุดนิ่งไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้าไปช่วยเหลือแม้สักคน มีเพียงโจวเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ข้างกายนางอย่างลืมตัว ครู่หนึ่งหลินซีก็ถืออ่างน้ำที่มีน้ำอยู่ด้าน
20ดอกหลีต้องลมฝนหลังจากการค้าร้านผลไม้แห้งที่ตลาดปลาประสบความสำเร็จไม่น้อย โจวเจียวเจียวก็ขออนุญาตพี่ชายเพื่อเปิดร้านในตลาดเดียวกันเพิ่มสุดถนนเส้นรองของตลาดบูรพาเป็นถนนเล็กสายหนึ่งใช้สัญจรไปมา สำหรับเลี่ยงผู้คน เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวของต่าง ๆ การเดินเที่ยวเล่นในตลาดของนางหาใช่การเดินเตร็ดเตร่ แต่เป็นการสำรวจพื้นที่นางเห็นว่าผู้คนจอดแวะหาซื้อข้าวของไม่น้อย แต่ไม่มีเวลาเดินเที่ยวเล่นเหมือนคนทั่วไป การเดินไปที่ต่าง ๆ ล้วนใช้เวลามากทำให้ต้องรีบซื้อรีบออกเดินทางหญิงสาวคิดว่าการทำร้าขายอาหารแบบซื้อกลับน่าสนใจไม่น้อย จึงได้ปรึกษากับโจวจี้หยวนด้วยเห็นว่าก่อนนี้น้องสาวเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย อยากให้นางมีอะไรทำเสียบ้างอีกทั้งตระกูลโจวก็ไม่ขาดแคลนเงิน จะขาดทุนสักร้านสองร้านบิดามารดาคงไม่ว่าอันใด“เจีย
19รักปักใจชายหนุ่มเดินกลับจวนสกุลมู่ด้วยร่างกายและสมองที่หนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกกับคำถามของโจวเจียวเจียว หลังการสอบเสร็จสิ้นสืออีหรานให้คนส่งจดหมายนัดเขา ไปพบที่ตลาดปลา เพราะผู้คนพลุกพล่านน้อยกว่าตลาดประจิมมากพูดคุยกันได้ไม่นานก็บังเอิญเห็นน้องสาวของสหายหายเข้าไปในโรงเตี้ยมกับบุรุษ ซ้ำยังพากันปิดประตูโรงเตี้ยมจนเงียบสนิทไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนเองจึงสนใจเรื่องของนาง ทั้งที่ก่อนนี้ก็ไม่เคยสนใจแม้แต่หนเดียว หรือเป็นเพราะรู้สึกว่านางสนใจเขาน้อยลงแล้วหันไปสนใจหลินซีแทน“เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดใจลอยเช่นนี้” อี้ฮูหยินผู้เป็นมารดาเอ่ยทัก ขณะเห็นบุตรชายเดินใจลอยผ่านโถงหน้า นางฝืนร่างกายมานั่งรอบุตรชายกลับจากการสอบขุนนาง แต่อีกฝ่ายทำราวกับไม่เห็นมารดา เดินผ่านไปไม่หันมองเกรงว่าหากไม่ทักก็คงเดินผ่านไปจนสุดสายตาเป็นแน่