5
พอเหมาะพอดี
“คุณชายท่านมองสิ่งใดอยู่หรือ” บ่าวรับใช้ถามพลางรินน้ำชาบนโต๊ะให้ผู้เป็นนายที่นั่งมองเหม่อไปยังโต๊ะสตรีทั้งสอง ซึ่งยามนี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันจนเพลิดเพลิน
“นั่นใช่โจวเจียวเจียวหรือไม่” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม มือก็รับถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นมาจิบ แม้สายตาจะเลิกมองนางแต่ยังไม่ละความสนใจจากนางไป
เขาเคยได้ยินผู้คนเล่าลือกันว่าโจวเจียวเจียวเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง ไม่สนใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใดนอกเสียจากมู่หลินเฟิง บุรุษที่นางพึงใจที่สุด แต่มู่หลินเฟิงไม่ชื่นชอบนาง
“ขอรับนั่นคุณหนูโจว บุตรสาวคนเดียวของตระกูลโจว น้องสาวคนเดียวของคุณชายโจว คุณชายท่านสนใจหรือ”
“ข้าหรือจะสนนาง เพียงได้ยินข่าวว่านางจงใจผลักบุตรสาวใต้เท้าสือตกน้ำในงานโคมไฟ จึงอยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”
“เอาแต่ใจตามประสาบุตรสาวเศรษฐีขอรับ มิต่างจากคุณหนูตระกูลอื่น ต่างก็แต่เป็นคนโพงพางไปเสียหน่อยไม่เหมือนคุณหนูบ้านอื่น” เฉิงเชียงบ่าวรับใช้ชายพ่วงตำแหน่งองครักษ์ของคุณชายตระกูลหลินกล่าวขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ปนตื่นเต้นราวกับเป็นเรื่องสนุก
ชายหนุ่มฟังเรื่องราวจากปากบ่าวของตนเงียบ ๆ พร้อมจิบชาในถ้วยไปด้วย หากไม่ใช่ตระกูลหลินกับตระกูลเฉียนเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน งานเช่นนี้เขาไม่เข้าร่วมให้เหนื่อยเป็นแน่
มารดาเขาตายไปหลายปีแล้ว เหลือเพียงบิดาที่เป็นแม่ทัพให้ วัน ๆ ยุ่งจนแทบไม่ได้เจอ ไม่รู้ยามนี้จำหน้ากันได้หรือไม่ ทำให้บุตรชายคนเดียวเช่นเขาต้องมาเป็นตัวแทน หากรู้เช่นนี้คงหนีกลับค่ายทหารไปแล้ว น่าเบื่อยิ่ง
องครักษ์หนุ่มว่าจบเขาก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“เฉิงเชียง เหตุใดเรื่องของสตรีเจ้าก็พูดเป็นน้ำไหลเลยเล่า ทำตัวราวหญิงปากตลาด” ผู้ถูกตำหนิเบ้ปาก ขมวดคิ้ว เหตุใดคุณชายของเขาจึงกล่าวเช่นนั้น ผู้ที่ฟังอยู่ตรงนี้ก็เห็นมีแต่คุณชายหลิน หากไม่ต้องการฟังเรื่องราวเหล่านี้เหตุใดไม่ห้ามก่อนเขาเล่าจบ
แต่มีหรือบ่าวเช่นเขาจะขวัญกล้าเอ่ยทัดทานผู้เป็นนาย ทำได้เพียงค้อมตัวกล่าวขอโทษไป
“อีกนานหรือไม่ พิธีจึงจะเสร็จ ที่นี่น่าเบื่อข้าอยากกลับไปฝึกยุทธ์มากกว่า”
“คงอีกสักพักขอรับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะขยับตัวเท้าแขนลงบนโต๊ะอาหารไว้ให้คางได้พักพิง หากไม่เกรงใจเขาจะเอนนอนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“เฮ้อ ข้ารอไม่ไหวแล้ว ไปเฉิงเชียงข้าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย รอให้เริ่มพิธีค่อยกลับมา ไม่เช่นนั้นคงได้หลับคาโต๊ะ” เฉิงเชียงรับคำด้วยการพยักหน้าแล้วเดินตามผู้เป็นนายไปติด ๆ
ชายหนุ่มเดินมาถึงส่วนลานของเรือนข้าง มีดอกไม้พืชพรรณหลากหลายอย่างกำลังชูดอกงดงาม หากเขาเป็นสตรีย่อมต้องเบิกบาน แต่หาใช่เขาในยามนี้ที่เป็นทหารจึงไม่สามารถชื่นชมความงามของดอกไม้เหล่านี้ได้
“ข้าจะไปนั่งรับลมที่นั่นสักพัก เจ้าไปเถิดหากเริ่มพิธีให้มาตาม”
“ขอรับคุณชาย” เฉิงเชียงค้อมตัวรับแล้วเดินจากไปไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาอีก กลัวว่าจะถูกเจ้านายดุให้อีกหน ชินเสียแล้วก็คุณชายของเขาอารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเป็นปกติ
หลินซีเป็นบุตรชายของแม่ทัพหลิน ที่มีความดีความชอบรบศึกใดไร้ปราชัย ฮ่องเต้จึงทรงชื่นชอบเป็นพิเศษ ผู้คนเองก็เกรงใจแม่ทัพน้อยผู้นี้ไปด้วย
เขาคิดไว้ว่าวันหน้าต้องได้ออกรบเคียงบ่าบิดา เป็นขุนศึกคู่ใจร้อยพันสงครามไม่หวั่นจึงมักไปขลุกตัวอยู่ในค่ายฝึกยุทธ์ซ้อมดาบ
แม้จะมีใบหน้างดงามเทียบเคียงอิสตรี แต่จนบัดนี้เขาก็ยังไม่สนใจเรื่องการวิวาห์เลย
“นั่นคุณชายหลินมิใช่หรือ มาทำสิ่งใดที่นี่” สมองรีบทบทวนบทนิยายทันทีที่ได้ยินหว่านจืออวิ๋นเอ่ยชื่อคนผู้หนึ่งขึ้นมา แซ่นี้นางจำได้ว่าเขาคือพระรองที่แสนดี หลงรักและทำทุกอย่างเพื่อสืออีหราน งดงามอย่างที่ผู้เขียนบรรยายไว้จริง ๆ คิ้วเข้มดังคันธนู ดวงตาฉายแววกล้าหาญมุ่งมั่น ริมฝีปากเล็กรูปกระจับสีสดดังชาดทาปาก
ไม่แน่ว่าหากจับเขามาแต่งหญิงคงสูสีกับหว่านจืออวิ๋น
ที่นางมาวันนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะหลินซีผู้นี้ เดิมทีหลินซีไม่ต้องตาต้องใจสตรีนางใดเลย แต่เนื่องจากในงานพิธีปักปิ่นสืออีหรานช่วยเขาเอาไว้จึงเกิดใจผูกจิตรักแก่สืออีหราน
นางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพราะหลินซีเป็นบุรุษที่มีอำนาจ หากเข้าเป็นพวกสืออีหรานมีแต่นางที่เสียเปรียบ
“ใช่แล้ว ไปทักสักหน่อยดีหรือไม่พี่จืออวิ๋น” โจวเจียวเจียวกล่าวพลางส่งยิ้มหยอกล้อราวกับรู้ทันให้หว่านจืออวิ๋น ใบหูเล็กของหญิงสาวแดงเรื่อทันทีที่พูดถึงบุรุษผู้นั้น
โจวเจียวเจียวคิดว่าหากผู้ที่ช่วยเขาวันนี้ไม่ใช่สืออีหราน เขาย่อมไม่ตกหลุมรักนางแน่ จึงตั้งใจมาร่วมพิธีปักปิ่น แต่นางไม่ต้องการเป็นจุดสนใจเลยคิดว่าจะให้หว่านจืออวิ๋นเป็นผู้ช่วยเหลือเขาแทน
เช่นนี้หลินซีก็จะไม่มีทางช่วยเหลือสืออีหรานในการลอบกัดนางภายหน้า คนอะไรฉลาดจริง ๆ นางคิดลำพังพร้อมกับอมยิ้มให้ตนเอง
“เจียวเจียว” หญิงสาวรับรู้ได้ว่ากำลังถูกหยอกล้อก็เรียกชื่ออีกฝ่ายแก้ความขัดเขิน ก่อนที่ใบหน้าจะแดงลามไปทั่วสองแก้มนวล
“พี่จืออวิ๋นนั่นสืออีหราน หากท่านยังอยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ระวังสตรีอื่นจะเอาไปกินเสียก่อน รีบไปเถอะ อีกสักครู่กิ่งไม้ใหญ่บนหัวคุณชายหลินจะหล่นลงมา ท่านรีบไปช่วยดีกว่า” โจวเจียวเจียวพูดจบก็เหลือบมองกิ่งไม้แห้งบนต้นทับทิมเหนือหัวหลินซี ทั้งที่บอกว่าจะออกมารับลมแต่พอไม่เห็นใครอยู่แถวนี้ เขาก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะหินอ่อน
ในนิยายตอนนี้เป็นสืออีหรานเข้ามาช่วยใช้แขนบังกิ่งไม้ที่หล่นลงมาตรงหัวเขาพอดี ทำให้นางได้รับบาดเจ็บไม่น้อย สำหรับสตรีหากเกิดรอยแผลเป็นคงแย่ หลินซีรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก ไม่แน่ว่าหากมันตกลงมาโดนหัวเขาจัง ๆ จะยังเป็นคนปกติดีหรือไม่
“เจียวเจียวรู้ได้อย่างไร”
“อย่าพึ่งถามเลยพี่จืออวิ๋นรีบไปช่วยคุณชายหลินเถิด ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันสืออีหรานแล้ว” หว่านจืออวิ๋นพยักหน้าแล้วรีบก้าวเท้าไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวถือวิสาสะดึงแขนเขาที่ฟุบอยู่ให้ลุกจากโต๊ะหินอ่อน ช่างพอดียิ่งที่สืออีหรานก็เข้ามาช่วยเช่นกัน
“นี่เจ้า” หลินซีสะบัดแขน ขมวดคิ้วแน่นอย่างหงุดหงิดที่ถูกขัดขวางเวลานอนเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินเสียงกิ่งทับทิมแห้งขนาดใหญ่ตกกระแทกโต๊ะหินอ่อน ถึงเริ่มเข้าใจว่านางไม่ได้ตั้งใจก่อกวนแต่กำลังช่วยเขาอยู่ต่างหาก
หว่านจืออวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเจือนไม่กล้าพูดสิ่งใดออกไป เดิมทีก็ไม่ใช่สตรีที่ช่างพูดจาหรือกล้าทะเลาะกับผู้ใด พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเสียงดังก็ค้อมตัวเป็นการลา เร่งฝีเท้าหนีไปในทันที
หลินซีตั้งใจจะตามไปแต่ถูกสืออีหรานรั้งไว้เสียก่อน
“คุณชายหลินไม่เป็นไรใช่หรือไม่” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างจริงใจ แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเหตุใดกิ่งทับทิมถึงตกลงมาได้พอเหมาะพอเจาะเช่นนี้ หากมิใช่มีผู้ใดจงใจ...
6น่าสนใจสืออีหรานเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ นางมีความคิดลึกซึ้งกว่าผู้อื่น เชี่ยวชาญการใช้เสน่ห์ตนเองในการหลอกใช้ผู้อื่น หลินซีเป็นคุณชายน้อยตระกูลหลินมีอำนาจ มีผู้คนเกรงใจหากได้เขามาคอยอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะกล้าเอ่ยคำไม่ดีต่อนางเมื่อได้รู้จากบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉียน วันนี้หลินซีจะมาที่ตระกูลเพื่อร่วมพิธีปักปิ่นนางก็วางแผนไว้แล้ว กลับผิดแผนเพราะหว่านจืออวิ๋นสตรีโง่ผู้นั้นไปเสีย“เจ้า เจ้าคือ...? ช่างเถอะ ข้ามีธุระขอตัวก่อน” สตรีงามย่อมดึงดูดบุรุษ แต่ไม่ใช่กับหลินซีเพราะเขาเองก็งามไม่แพ้สตรี ยิ่งเมื่อไม่มีธุระให้พูดคุยกันเขายิ่งไม่สนใจจะอยู่พูดคุยให้ตกเป็นเรื่องเล่าลืออีกทั้งเขายังต้องไปขอโทษหญิงสาวที่ถูกเขาตวาด นางตั้งใจช่วยเหลือกลับถูกต่อว่า เขานี่ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนักร่างสูงโปร่งสวมชุดสีชิงดูสง่ายิ่งเมื่อสอดรับกับใบหน
7ข้อที่สองสตรีทั้งสองแยกจากกันหน้าประตูสกุลเฉียน รถเทียมม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนครึกครื้นของตลาดฝั่งประจิมม่านหน้าต่างถูกตลบขึ้นเพื่อดูผู้คนพลุกพล่านเดินเวียนไปเวียนมาในนิยายกล่าวว่าถนนเส้นนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตาเป็นจริงดังนั้น รอยยิ้มเพลิดเพลินประดับไว้บนดวงหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูตลอดการเดินทางเมื่อถึงกลางตลาดนางพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนหลายคน ครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลง โจวเจียวเจียวนึกสงสัยจึงเอ่ยถามเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวโผล่หน้าออกไปถามคนขับรถม้า“มีสิ่งใดหรือ”“เรียนคุณหนู ตรงหน้ามีขอทานขวางอยู่ขอรับ” โจวเจียวเจียวย่นคิ้วตั้งท่าจะลุกไปดูแต่กลัวว่าจะเป็นที่สนใจมากเกินไป เสี่ยวมั่วจึงโผล่หน้าออกไปฟังความให้แน่ชัดจากนั้นกลับมาแจ้งแก่คุณหนูของตนว่า มีขอทาน
8เจียวเจียวสำนึกผิดแล้วตะวันทอแสงยามเช้า หญิงสาวผุดลุกจากเตียงนอนอุ่น ความมุ่งหมายในวันนี้คือถูกมู่หลินเฟิงด่า เขาชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนั้นวันนี้นางจึงจงใจสวมอาภรณ์สีเข้ม แต่งริมฝีปากด้วยสีชาดที่สดราวกับโลหิตอย่างไรอย่างนั้นนางส่องกระจกพร้อมรอยยิ้ม หมุนตัวไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยชมตนเอง“งามมาก ใช่หรือไม่เสี่ยวมั่ว”“งามเจ้าค่ะ แต่คุณชายมู่คงไม่ชอบกระมังเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขึ้นคุณหนูของนางมักแต่งกายด้วยสีอ่อน เพื่อให้มู่หลินเฟิงสนใจแต่ยามนี้กลับต่างออกไปนางไม่เข้าใจเอาเสียเลยโจวเจียวเจียวคิดว่าเพียงแค่การแต่งกายคงไม่ทำให้มู่หลินเฟิงหันมาสนใจนางได้ในทันที จึงไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นนางในยามนี้เพราะอย่างไรนางก็เป็นเจียวเจียวที่เขาไม่ต้องใจ จะสวมเสื้อผ้าสีใดก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สีเข้มคงทำให้เขาร
9บุรุษผู้นั้นเจ้าของร่างอรชรวิ่งออกจากห้องตำรามานั่งอยู่ในสวนของลานบ้าน ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่โจวเจียวเจียวผู้นั้นแต่เมื่อถูกด่าหนักเข้านางกลับรู้สึกแย่ จนไม่อาจละทิ้งคำพูดเมื่อครู่ของมู่หลินเฟิงไปได้เลย“เจียวเจียว” โจวจี้หยวนเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงไว้มากมาย แม้มู่หลินเฟิงจะเป็นสหาย แต่เขาก็สงสารผู้เป็นน้องสาวเหลือเกิน ในใจมู่หลินเฟิงคงมีเพียงสืออีหราน ไหนเลยจะมีที่ว่างพอให้นางถึงจะพูดไปนางก็ไม่มีทางเชื่อเขาอยู่ดี เขาเลยไม่คิดห้ามนางอีก เพียงปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นชายหนุ่มเดินเข้ามาวางมือไว้บนศีรษะนางแผ่วเบา คล้ายกับกำลังปลอบใจนางโดยไร้คำพูดใดโจวเจียวเจียวนางมีพี่ชาย สหาย บิดามารดา และข้ารับใช้ที่ดี เหตุใดจึงหลงรักบุรุษผู้นั้นมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งที่หลังจากเขารู้จักสืออีหรานก็ไม่เคยมีความหวังให้นางเลยแม้แต่น้อย
10ขออภัยที่ทำให้ท่านเสื่อมเสีย“คนเลว โผล่มาให้อารมณ์เสียทำไมเนี่ย เสียระบบหมดอุตส่าห์จะไม่เฟียสดันเฟียสไปจนได้” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสียพลางใช้เท้าเตะฝุ่นบนพื้นถนน แต่ฝุ่นของนางดันเป็นก้อนใหญ่เกินไป มันกระเด็นไปกระแทกศีรษะบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างแรง“โอ๊ย ผู้ใดลอบทำร้ายข้าไม่มีตาหรืออยากตาย” เสียงตวาดข้างหน้าทำให้โจวเจียวเจียวสะดุ้งจนตัวโยน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยกมือขึ้นแสดงตัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆบุรุษผู้นั้นเดิมชักสีหน้าน่ากลัวราวกับกำลังจะลงดาบลงกระบี่บั้นคอนาง แต่เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นนางก็เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นยิ้มแย้ม เอ่ยทักนางอย่างเป็นธรรมชาติ“ท่าน คุณหนูโจวใช่หรือไม่”“คารวะคุณชายหลิน ขออภัยเมื่อครู่ไม่ระวังเผลอเตะหินจนโดนหัวท่าน เป็นอะไรหรือไม่”&ldq
11สหายคนใหม่“พี่มู่ปล่อยเจียวเจียวได้หรือไม่” ฝีเท้าเร่งรีบของมู่หลินเฟิงหยุดลงเมื่อถึงหน้าร้านค้าตระกูลโจว หญิงสาวที่อุตส่าห์เดินตามมาเงียบ ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนโจวเจียวเจียวคนเก่าไม่ผิดมู่หลินเฟิงรีบสะบัดมือออก ก่อนนี้เขาลืมตัวไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องโมโหและพูดจาร้ายกาจกับนางอีกแล้ว ทั้งที่มาวันนี้ตั้งใจมาขอโทษนาง ยังไม่ทันขอโทษก็ปากไม่ดีอีกแล้ว เรารู้สึกไม่ชอบใจที่นางให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่า“ขอบคุณพี่มู่ที่สั่งสอน ต่อไปเจียวเจียวจะจำไว้ไม่ทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียอีก หากพี่มู่ไม่มีสิ่งใดจะสั่งสอนอีกเจียวเจียวขอตัวก่อน” เขายืนฟังนางพูดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ ได้แต่มองข้อมือนางที่ถูกเขากำแน่นจนเกิดริ้วแดงเมื่อครู่กระทั่งนางเดินไปแล้วเขาจึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษนางสักคำ มู่หลินเฟิงท
12แผนการใหม่ตลาดปลาฝั่งบูรพาเงียบเชียบไม่ต่างจากทุกวัน โจวเจียวเจียวตามพี่ชายออกมาตรวจดูผู้คน นางตั้งใจว่าจะทำให้ตลาดบูรพามีผู้คนคึกคักขึ้นให้ได้ภายในสองเดือน ก่อนการจัดการสอบขุนนางในอีกสองเดือนข้างหน้าแม้จะเรียนรู้การขายมาบ้างมา แต่ความรู้เหล่านั้นกลับนำมาใช้ในยุคนี้ได้ยากยิ่งนัก“ท่านพี่ การสอบขุนนางจะมีขึ้นในอีกสองเดือนใช่หรือไม่”“ใช่แล้ว เจียวเจียวสนใจการสอบขุนนางหรือ” ผู้เป็นพี่ชายถามพลางโคลงถ้วยชาไปมา สายตาจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าหมดจดของน้องสาว ตั้งใจฟังนางพูดด้วยความยินดียินดีที่ผู้เป็นน้องสาวไม่หลงใหลสหายตนเหมือนเมื่อก่อน แม้จะมีบางครานางจงใจกล่าวถ้อยคำหวานหูให้สหายเขาฟัง แต่ผู้เป็นพี่ชายพอมองออกว่าสิ่งเหล่านั้นนางแสร้งทำเขาไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ขอเพียงนางมีความสุขดีก็เพี
13ของหายอยากได้คืนหญิงสาวใช้มีดเล่มใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว แล่ปลาราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปลาตัวใหญ่บัดนี้ถูกนางแล่ออกจนเหลือแต่เนื้อปลาสีชมพูอ่อน แค่มองดูก็ต้องกลืนน้ำลายเวลาค่อย ๆ ผ่านไปพร้อมกับปลาหนึ่งตัวที่ถูกแล่ ปลาตัวที่สองถูกแล่ จากหน้าแผงมีเพียงหลินซี เสี่ยวมั่ว เฉิงเชียงบัดนี้ผู้คนกลับมามุ่งดูกันมากมาย“คุณหนูท่านเก่งยิ่งนัก” หญิงชราชมนางไม่ขาดปาก จะมีคุณหนูตระกูลใดในเมืองที่แล่ปลาได้เก่งเท่านางอีก แม้แต่เสี่ยวมั่วยังอดตกใจไม่ได้ โจวเจียวเจียวจัดปลาไว้เป็นกอง แยกเพื่อแบ่งขายเป็นตัว“ปลานี่ขายหรือไม่” หญิงวัยกลางคนในฝูงชนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ไปที่กองปลาแล่แล้ว โจวเจียวเจียวยิ้มกว้างพยักหน้ารับจัดแจงนำใบไม้ที่อยู่ในตะกร้าของหญิงชรามาห่อปลา“เท่าไหร่หรือ”“ปลาน
27ข้าเองก็ชอบเจ้าเช่นกันภาพเบื้องหน้ายิ่งทำให้นางไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไปมู่หลินเฟิงตรงเข้าไปยุดแขนเล็กของโจสเจียวเจียวเอาไว้ด้วยความไม่พอใจ ยื้อยุดกันไปมาสักครู่โจวเจียวเจียวก็ตามเขาออกมา เล็บยาวจิกเข้ากลางฝ่ามือตนเองจนแน่น นางไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อีกนางเสียมู่หลินเฟิงไปไม่ได้ โจวเจียวเจียวไม่ควรอยู่ข้างกายเขาอีกหญิงสาวมาเกือบถึงเพิงแจกอาหารแต่ระหว่างนั้นถูกฝุ่นปลิวเข้าตา ชายหนุ่มข้างกายจึงอาสาดูให้ มู่หลินเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปขวางทันทีพอดึงนางออกห่างจากหลินซี หยดน้ำใสก็พลันร่วงหล่นจากดวงตากลมกระจ่างทำให้มู่หลินเฟิงคิดไปไกลว่า นางขุ่นเคืองที่ถูกเขาขวางไม่ให้อยู่ใกล้บุรุษผู้นี้สองบุรุษฉุดยื้อหนึ่งสตรี เคราะห์ดีแถบนี้เป็นท้ายตรอกผู้คนจึงไม่พ
26ราวสวรรค์จัดวางมู่หลินเฟิงตื่นขึ้นอีกครั้งในยามอู่อาการนอนไม่พอหายไปแล้วจึงได้คิดจะลุกมาจัดแจงล้างหน้าเปลี่ยนชุดเสียใหม่ ตั้งใจว่าจะไปคุยกับโจวเจียวเจียวแต่ยังไม่ทันได้ลงจากเตียง จี้ชิงก็วิ่งเข้ามาหาอย่างแสนรู้“คุณชาย ท่านตื่นเสียที เมื่อครู่มีประกาศผลสอบติดไว้ที่กลางเมืองแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มเห็นผู้เป็นนายไม่ค่อยสนใจจะรู้จึงทำหน้าหงิกงอ เดินไปยกอ่างไม้เข้ามามู่หลินเฟิงมั่นใจกว่าสิบส่วนว่าอย่างไรครั้งนี้ตนเองต้องได้ลำดับหนึ่ง จึงไม่ได้ตื่นเต้นเท่ากับจี้ชิงที่ลุ้นแล้วลุ้นอีกในหัวเขายามนี้มีเพียงการตระเตรียมคำพูดไว้พูดกับโจวเจียวเจียวหลังล้างหน้าสวมอาภรณ์ตัวใหม่แล้ว จี้ชิงยืนนิ่งล้วงเอาจดหมายเล็กในสาบเสื้อออกมายื่นให้ผู้เป็นนาย“คุณหนูสือวานข้าน้อยเอามาให้คุณชายขอ
25นางตอบเจ้าว่าอย่างไรอาหารบนโต๊ะมีเพียงสามอย่างเท่านั้น แต่นายหญิงของจวนกลับตักกินจนหมดอย่างที่ไม่เคยเป็น บ่าวไพร่ รวมถึงบุตรชายคนเดียวของจวนล้วนพากันยกยิ้มอย่างโล่งใจ ในที่สุดอี้ฮูหยินก็สามารถกินอาหารจนหมดได้เสียทีขอเพียงเป็นเช่นนี้ต่อไปโรคภัยเหล่านั้นคงน้อยลงเป็นแน่“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็กินอาหารได้เสียที” เพียงฟังจากน้ำเสียงก็รับรู้แล้วว่าบุตรชายดีใจมากเพียงใดที่มารดากินอาหารได้จนหมดเช่นนี้ ผ่านมาหลายปีที่อี้ฮูหยินกินเพื่ออยู่ ฝืนกินอาหารจานละสองสามคำต่อมื้อ ร่างกายจึงเจ็บป่วยง่ายพอเห็นมารดากินได้มากขนาดนี้ มู่หลินเฟิงเกือบหลั่งน้ำตาออกมาเสียด้วยซ้ำ“แม่ขอโทษที่ทำให้เฟิงเอ๋อร์กังวล ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ”“ที่ใดกัน ขอเพียงท่านแม่ดีขึ้น ต่อให้ลุยคมหอกคมดาบลูกย่อมไม่เกี่ยง&r
24หวั่นใจรอยยิ้มแห่งความโล่งใจบนหน้าปรากฏขึ้นทันทีที่นางรับปากเขาคิดไว้อยู่แล้วว่านางคงรับปากแต่ยามต้องพูดขอร้องนาง กลับใจเต้นระส่ำ ไม่รู้เพราะรู้สึกผิด ละอายใจหรือสิ่งใดกันแน่จึงทำให้เป็นเช่นนี้เดิมคิดจะขอโทษนางเสียก่อนยังไม่ทันได้เอ่ยปากนางก็ตกลงแล้ว“ขอบคุณเจียวเจียว” ชายหนุ่มกล่าวเพียงเท่านั้นก็เดินไปรินน้ำชาให้นางเพื่อเป็นการขอบคุณ นัยน์ตากระจ่างใสมองถ้วยชาที่ยื่นมาด้วยความงุนงงไม่คิดว่าบุรุษเช่นมู่หลินเฟิงจะรักมารดาตนเองมากเพียงนี้ในนิยายก็ไม่ได้บรรยายถึงมารดาของเขามากนัก มักบรรยายอย่างรวบรัดเพราะตอนจบนางต้องตาย ผู้เขียนคงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายให้มากกระมัง“ข้ารับปากแล้วเหตุใดพี่มู่ยังไม่กลับเล่า”“ท่านแม่ไม่ค่อยกินข้าวกำลังล้มป่วยไม่ทราบว่าเจ้
23ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนยามรุ่งอรุณสาดแสงสีทองจนเต็มนภา มู่หลินเฟิงก็ถึงหน้าคฤหาสน์สกุลโจวแล้ว ชายหนุ่มออกมาตั้งแต่เช้าต้องการสนทนากับโจวเจียวเจียว เพื่อว่าจ้างให้นางทำอาหารเผื่อมารดาตนเองด้วย“นางไม่อยู่หรือ” มู่หลินเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ยินว่าโจวเจียวเจียวไม่อยู่ในบ้าน เช้าถึงเพียงนี้เหตุใดนางจึงไม่อยู่ ไม่เพียงตัวนางที่ไม่อยู่แม้แต่พี่ชายก็เช่นกัน“คุณหนูกับคุณชายไปตลาดบูรพาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วขอรับคุณชาย” ชายเฝ้าประตูเอ่ยตอบก่อนจะประสานมือค้อมตัวลง มู่หลินเฟิงไม่ได้ตอบสิ่งใดอีกเพียงแต่ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปทางตลาดปลาไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้เขาก็ต้องคุยกับโจวเจียวเจียวให้ได้แปลกนักที่เช้าเพียงนี้ในร้านนางกลับมีคนไม่น้อยเลย ทั้งโจวจี้หยวน โจวเจียวเจียว เถ้าแก่ผู้ดูแลร้าน บ่าวรับใช้ข้างกายสองคน ซ้ำ
22กล่องขนมหวานหลังส่งสืออีหรานถึงสกุลสือ มู่หลินเฟิงก็หอบหิ้วเอากล่องขนมที่ได้จากโจวเจียวเจียวกลับมาบ้าน ความรู้สึกภายในสับสนปนเปกันจนไม่สามารถตรึกตรองได้ในเวลาอันรวดเร็วเขาไม่ชอบโจวเจียวเจียว เรียกว่ามีอคติจึงจะถูกกว่าแต่ยามนี้เมื่อได้เห็นนางเปลี่ยนไป แม้จะเล็กน้อยแต่เขาคิดว่านางไม่เหมือนเดิมและยิ่งเห็นข้างกายนางมีหลินซีบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพหลินชวน สายตาที่นางมองเขาเปลี่ยนไปไม่น้อยเขารู้สึกได้ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในภวังค์ของตนเองก็ได้ยินเสียงเรียกคุ้นหู“คุณชายท่านกลับมาเสียที คุณชายท่านรีบไปดูฮูหยินเถอะเจ้าค่ะ” สาวใช้อาวุโสของมารดาปรี่ตรงเข้ามาหาเขาที่ลานกลางของบ้าน สีหน้าไม่สู้ดีนัก ร่างกายสูงโปร่งรีบผุดลุกจากที่นั่งตามไปทันทีก่อนหน้านี้อี้ฮูหยินก็เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตลอด เรียกว่าสา
21เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือโจวเจียวเจียวชาติก่อนเป็นคนจิตใจดีชอบช่วยเหลือผู้อื่น พอเห็นเด็กสาวหมดสติอยู่ตรงหน้ามีหรือจะปล่อยผ่านไปได้ นางรีบพุ่งตัวเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างกายร่างนั่นทันที ลืมสิ้นทุกกฎเกณฑ์ที่ตนตั้งไว้เด็กสาวนอนไม่ได้สติ ร่างกายกระตุกเกร็งมุมปากมีของเหลวสีขาวขุ่นไหลออกมา ผู้คนรอบข้างพากันตีวงกว้างมองด้วยความตื่นตระหนกอาการเช่นนี้หากแสดงออกมาต่อหน้าผู้คนล้วนถูกเข้าใจผิดเป็นผีร้ายหรือวิญญาณร้ายเป็นแน่“หลินซี เอาน้ำกับผ้าสะอาดให้ข้าที” นางหันไปบอกกับหลินซีเสียงดัง ก่อนจะหันมาจัดแจงเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบหนาวให้นอนราบบนพื้นถนนหน้าร้านทุกฝีเท้าขยับหยุดนิ่งไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้าไปช่วยเหลือแม้สักคน มีเพียงโจวเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ข้างกายนางอย่างลืมตัว ครู่หนึ่งหลินซีก็ถืออ่างน้ำที่มีน้ำอยู่ด้าน
20ดอกหลีต้องลมฝนหลังจากการค้าร้านผลไม้แห้งที่ตลาดปลาประสบความสำเร็จไม่น้อย โจวเจียวเจียวก็ขออนุญาตพี่ชายเพื่อเปิดร้านในตลาดเดียวกันเพิ่มสุดถนนเส้นรองของตลาดบูรพาเป็นถนนเล็กสายหนึ่งใช้สัญจรไปมา สำหรับเลี่ยงผู้คน เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนข้าวของต่าง ๆ การเดินเที่ยวเล่นในตลาดของนางหาใช่การเดินเตร็ดเตร่ แต่เป็นการสำรวจพื้นที่นางเห็นว่าผู้คนจอดแวะหาซื้อข้าวของไม่น้อย แต่ไม่มีเวลาเดินเที่ยวเล่นเหมือนคนทั่วไป การเดินไปที่ต่าง ๆ ล้วนใช้เวลามากทำให้ต้องรีบซื้อรีบออกเดินทางหญิงสาวคิดว่าการทำร้าขายอาหารแบบซื้อกลับน่าสนใจไม่น้อย จึงได้ปรึกษากับโจวจี้หยวนด้วยเห็นว่าก่อนนี้น้องสาวเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย อยากให้นางมีอะไรทำเสียบ้างอีกทั้งตระกูลโจวก็ไม่ขาดแคลนเงิน จะขาดทุนสักร้านสองร้านบิดามารดาคงไม่ว่าอันใด“เจีย
19รักปักใจชายหนุ่มเดินกลับจวนสกุลมู่ด้วยร่างกายและสมองที่หนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดจนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกกับคำถามของโจวเจียวเจียว หลังการสอบเสร็จสิ้นสืออีหรานให้คนส่งจดหมายนัดเขา ไปพบที่ตลาดปลา เพราะผู้คนพลุกพล่านน้อยกว่าตลาดประจิมมากพูดคุยกันได้ไม่นานก็บังเอิญเห็นน้องสาวของสหายหายเข้าไปในโรงเตี้ยมกับบุรุษ ซ้ำยังพากันปิดประตูโรงเตี้ยมจนเงียบสนิทไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดตนเองจึงสนใจเรื่องของนาง ทั้งที่ก่อนนี้ก็ไม่เคยสนใจแม้แต่หนเดียว หรือเป็นเพราะรู้สึกว่านางสนใจเขาน้อยลงแล้วหันไปสนใจหลินซีแทน“เฟิงเอ๋อร์ เหตุใดใจลอยเช่นนี้” อี้ฮูหยินผู้เป็นมารดาเอ่ยทัก ขณะเห็นบุตรชายเดินใจลอยผ่านโถงหน้า นางฝืนร่างกายมานั่งรอบุตรชายกลับจากการสอบขุนนาง แต่อีกฝ่ายทำราวกับไม่เห็นมารดา เดินผ่านไปไม่หันมองเกรงว่าหากไม่ทักก็คงเดินผ่านไปจนสุดสายตาเป็นแน่