3
กลวิธี
“เจียวเจียว เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” เสียงฝีเท้าย่ำรวดเร็วเรียกให้นางฟื้นจากภวังค์ความคิด ลืมตามองไปทางประตูห้อง ตัวยังไม่ถึงแต่น้ำเสียงห่วงใยนี้กลับมาถึงเร็วยิ่งนัก
หญิงสาวยกมือขึ้นนวดคลึงขมับตนเองแผ่วเบา มีเรื่องให้นางต้องใช้ความคิดอีกแล้ว จากนี้นางควรแสร้งเป็นโจวเจียวเจียวให้สมบูรณ์ไม่เช่นนั้นคงมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน
“ท่านพี่ เหตุใดโหวกเหวกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดังเช่นโจวเจียวเจียวคนก่อน แม้เอาแต่ใจแต่นางไม่เคยหยาบคายกับพี่ชายเพียงคนเดียวเลยสักครั้ง
กลับกันมักออดอ้อนจนสุดท้ายก็ได้สิ่งที่ต้องการ แต่วิธีการเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับมู่หลินเฟิง
“เสี่ยวมั่วกล่าวว่าเจ้าต้องการกระดาษและพู่กัน”
“เป็นเช่นนั้น เจียวเจียวเพียงอยากหาสิ่งใดทำเท่านั้น เหตุใดท่านพี่จึงต้องกระวนกระวายเช่นนี้”
“เจ้าป่วยหนักหรือ เหตุใดจึงอยากได้ของที่มองแล้วทำตนเองเวียนหัวเล่า”
“ตอนนี้เจียวเจียวไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้ว ท่านอย่าได้กังวล ข้าหายดีแล้ว” ผู้ฟังขมวดคิ้วจนหว่างคิ้วย่นลง แม้จะไม่เชื่อว่านางหายแล้ว แต่เท่าที่มองเห็นน้องสาวก็ไม่เป็นอันใดอย่างนางกล่าวจริง ๆ
เขายกมือแตะหน้าผากนาง ดูว่ายังมีอาการตัวร้อนเหมือนสองสามวันก่อนอยู่หรือไม่
“ไม่มีไข้แล้วจริง ๆ เช่นนั้นพี่ก็หมดห่วง นอกจากนี้เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่” โจวจี้หยวนกล่าวพลางหันไปรับของจากไป๋อวี่บ่าวคนสนิท วางมันไว้บนเตียง ก่อนจะส่งยิ้มเอ็นดูให้หญิงสาวตรงหน้า
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ไปทำงานเถอะ อย่ามัวแต่สนใจข้า เพียงเท่านี้ท่านพี่ก็มีงานยุ่งมากพอแล้ว” นางกล่าวพลางส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ผู้เป็นพี่ชาย โจวจี้หยวนดีใจจนน้ำตาเกือบไหล นึกเอ็นดูนางในใจขึ้นมา นางคงโตแล้วกระมังจึงได้รู้ความเช่นนี้
เดิมทีโจวจี้หยวนก็รักเอ็นดูน้องสาวผู้นี้อยู่แล้ว ในชีวิตนี้แทบจะนับครั้งได้เลยว่าเคยดุนางกี่หน พอนางรู้ความแววตาใสซื่อเช่นนี้จึงยิ่งน่าเอ็นดูมากขึ้น
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงถามว่ามู่หลินเฟิงมาเยี่ยมนางหรือไม่เป็นอย่างแรก แต่พูดคุยกันอยู่นานนางไม่ถามถึงสหายเขาเลยแม้ครึ่งคำ
“เจียวเจียวของพี่รู้ความยิ่งนัก เช่นนั้นหากต้องการสิ่งใดให้เสี่ยวมั่วไปแจ้งพี่จะให้คนจัดหาให้เจ้า ช่วงนี้ก็พักผ่อนให้ดีเถอะ”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านพี่กลับไปทำงานเถิด ข้าจะนอนพักอีกสักหน่อย”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าพักเถอะ เย็นนี้พี่จะให้คนนำยาบำรุงมาให้”
“เจ้าค่ะ” โจวเจียวเจียวรับคำจากนั้นแสร้งนอนลงบนเตียง โจวจี้หยวนจึงดึงผ้าขึ้นมาห่มคลุมให้นางไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ตระกูลโจวมีทายาทเพียงสองคนหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บุตรชายมากความรู้เฉลียวฉลาด หากฝักใฝ่การสอบขุนนางภายหน้าต้องเป็นขุนนางสำคัญ แต่โจวจี้หยวนนั้นไม่ต้องการทำงานภายใต้การควบคุมของราชสำนัก กลับชอบการค้าจึงเป็นผู้สืบทอดการค้าแทบทั้งหมดของตระกูลโจวที่มีอยู่ทั่วเมือง
โจวเจียวเจียว บุตรสาวเพียงคนเดียวที่คนทั้งตระกูลพากันรักเอาใจ แม้จะดื้อรั้นไปบ้างแต่นางกลับเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่เสแสร้ง แต่น่าแปลกที่หลายคนไม่ชอบนาง รวมถึงมู่หลินเฟิงสหายของพี่สาว
ไม่ชอบยังพอเข้าใจแต่บางคราเขากลับทำท่าราวกับเกลียดนาง ทั้งที่เมื่อก่อนเขารักตามใจนางไม่ต่างจากโจวจี้หยวน อาจมากกว่าเสียด้วย โจวเจียวเจียวเองทำดีต่อเขาเสมอ กระนั้นนางก็ไม่ยอมแพ้หวังว่าสักวันจะชนะนางในใจเขาได้
โจวเจียวเจียวไม่ชอบวาดเขียน ไม่ชอบทำการค้าตรวจบัญชี โจวจี้หยวนก็ไม่เคยบังคับปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ งานร้านค้าของตระกูลตนเองรับทำเองทั้งหมด ไว้รอให้นางถูกใจบุรุษคนใดค่อยให้สินเดิมมากหน่อยนางจะได้ไม่ลำบากไปตลอดชีวิต
ส่วนบิดาและมารดายามนี้ลงใต้ไปเยี่ยมบ้านเก่ามารดาซ้ำยังไปตกลงเรื่องการค้า มอบหมายให้บุตรชายดูแลบุตรสาวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลโจว
โชคดีที่ก่อนนี้นางไม่เป็นอันใดมากไม่เช่นนั้นไม่รู้เลยว่าจะรายงานกับบิดามารดาอย่างไร
ลับหลังโจวจี้หยวน หญิงสาวที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงก็ลุกขึ้นนั่ง ชะเง้อคอมองดูจนแน่ใจว่าเขาไปแล้วจริง ๆ จึงยกแท่นฝนหมึก กระดาษและพู่กันไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง
“คุณหนูจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“หาอะไรทำแก้เบื่อ เสี่ยวมั่วเจ้ามานี่ฝนหมึกให้ข้าที” นางเอ่ยพลางกวักมือเรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างเตียงให้มายังริมหน้าต่าง เด็กสาวผู้นั้นเดินตามมาอย่างว่าง่าย รับแท่นหมึกในมือผู้เป็นนายมาถือเอาไว้
“เจ้าฝนข้าจะเขียน” เสี่ยวมั่วพยักหน้าย่อตัวนั่งลงบนพื้นข้าง ๆ โต๊ะ ฝนหมึกให้โจวเจียวเจียวเขียนสิ่งแปลกตาลงกระดาษเนื้อดีที่โจวจี้หยวนนำมาส่งให้เมื่อครู่
“คุณหนูท่านเขียนสิ่งใดเจ้าคะ เหตุใดไม่คุ้นตาเลย” เด็กสาวเอียงคอมองอักษรบนกระดาษที่ผู้เป็นนายเขียนไว้ แม้นางจะไม่รู้หนังสือแต่อักษรบางตัวนางคุ้นเคย แต่อักษรบนกระดาษของผู้เป็นนายนางไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย
หากนางอยากรอดชีวิตไม่จบชีวิตดังเช่นในนิยายที่เคยอ่าน นางควรเตรียมพร้อมทุกอย่างไม่ให้หลุดรอดแม้แต่อย่างเดียว
สิ่งแรกที่นางไม่ควรทำคือการเขียนบันทึกต่าง ๆ หากมีผู้ใดพบเข้าจะเป็นภัยต่อตนเอง แต่หากไม่บันทึกนางจะจำมันได้อย่างไรเล่าว่าควรดำเนินการเช่นใดบ้าง
เมื่อคิดเช่นนี้โจวเจียวเจียวจึงเขียนภาษาที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจลงไปบนกระดาษเนื้อดีบนโต๊ะ มุมปากยกยิ้มพอใจกับความคิดของตนเอง
วิธีหนีการเป็นนางร้าย เพื่อเป็นตัวประกอบ
ข้อแรก อย่าทำตัวฉลาดเกินจากนิสัยเดิมของตัวละคร
หญิงสาวเขียนได้เพียงสองบรรทัดก็มีสาวใช้มาพบ ในมือถือเทียบเชิญมาด้วย เทียบเชิญจากตระกูลเฉียนเพื่อเชิญนางเข้าร่วมงานปักปิ่นของบุตรสาวคนรอง แม้โจวเจียวเจียวจะเอาแต่ใจแต่ตระกูลโจวนั้นร่ำรวยเป็นที่ต้อนรับ อีกทั้งพี่ชายยังไม่แต่งงาน เช่นนี้จึงมีคนต้องการผูกมิตรด้วยมากมาย
หญิงสาวเงยหน้าจากกระดาษเพื่อมองสาวใช้ที่เพิ่งเดินเข้ามา
เสี่ยวมั่วเดินไปรับเทียบเชิญมาให้ผู้เป็นนายโดยไม่ต้องรอคำสั่ง
เทียบเชิญจากตระกูลเฉียนกระมัง โจวเจียวเจียวคิดในใจ นางจำได้ว่าอีกไม่กี่วันโจวเจียวเจียวก็มีเรื่องทะเลาะกับสืออีหรานในงานปักปิ่นนี้ เช่นนั้นอย่างไรนางก็คงต้องไป
อีกทั้งนางมีเรื่องต้องทำในพิธีปักปิ่นนี้ด้วยเช่นกัน...
4ตัวละครสำคัญเดิมทีโจวจี้หยวนไม่อยากให้นางไปแต่เมื่อน้องสาวออดอ้อนมีหรือพี่ชายคนนี้จะทนได้ สุดท้ายก็ยอมให้นางไปแต่โดยดี หากไม่ต้องไปตรวจดูการค้าอื่น เขาคงตามไปไม่ให้นางคาดสายตาเป็นแน่เช้าวันต่อมาโจวเจียวเจียวตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจัดแจงล้างหน้าล้างตา เลือกอาภรณ์สีอ่อนงดงามแต่ไม่โดดเด่น งานพิธีวันนี้เป็นงานปักปิ่นของบุตรสาวตระกูลเฉียน หากแต่งสีฉูดฉาดจนเกินไปเกรงว่านางจะกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นเสียเองเมื่อเสี่ยวมั่วมาถึงจึงพบว่าคุณหนูของตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหวีแต่งผมเท่านั้น นางจึงเข้าไปช่วยเหลือ ผมหนาดกดำยาวสลวยครึ่งหนึ่งถูกเกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่กลางศีรษะ ผมอีกครึ่งที่ปล่อยไว้ถูกมัดปลายด้วยผ้าสีแดงสดปิ่นหยกขาวและปิ่นไข่มุกถูกปักลงไปบนมวยผม แม้ไม่ได้โดดเด่นแต่งดงามไม่น้อยเลย“เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”“เช่นนั้น เจ้าไปหยิบกล่องไม้บนเตียงข้ามาด้วย” สาวใช้ทำตามอย่างว่าง่ายแต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถามความสงสัยภายในออกไป“สิ่งใดหรือเจ้าค่ะ”“วันนี้เป็นพิธีปักปิ่น ข้าย่อมต้องมอบของขวัญให้นางให้สมฐานะบุตรีสกุลโจว ไม่เช่นนั้นก็เสียแรงที่คนเหล่านั้นส่งเทียบเชิญให้แล้ว” นางรู้ดีว่าน้อยคนนักจะช
5พอเหมาะพอดี“คุณชายท่านมองสิ่งใดอยู่หรือ” บ่าวรับใช้ถามพลางรินน้ำชาบนโต๊ะให้ผู้เป็นนายที่นั่งมองเหม่อไปยังโต๊ะสตรีทั้งสอง ซึ่งยามนี้กำลังพูดคุยหยอกล้อกันจนเพลิดเพลิน“นั่นใช่โจวเจียวเจียวหรือไม่” บุรุษผู้นั้นเอ่ยถาม มือก็รับถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นมาจิบ แม้สายตาจะเลิกมองนางแต่ยังไม่ละความสนใจจากนางไปเขาเคยได้ยินผู้คนเล่าลือกันว่าโจวเจียวเจียวเป็นหญิงสาวที่เอาแต่ใจตนเอง ไม่สนใจ ไม่ไว้หน้าผู้ใดนอกเสียจากมู่หลินเฟิง บุรุษที่นางพึงใจที่สุด แต่มู่หลินเฟิงไม่ชื่นชอบนาง“ขอรับนั่นคุณหนูโจว บุตรสาวคนเดียวของตระกูลโจว น้องสาวคนเดียวของคุณชายโจว คุณชายท่านสนใจหรือ”“ข้าหรือจะสนนาง เพียงได้ยินข่าวว่านางจงใจผลักบุตรสาวใต้เท้าสือตกน้ำในงานโคมไฟ จึงอยากรู้ว่านางเป็นคนเช่นไร”“เอาแต่ใจตามประสาบุตรสาวเศรษฐีขอรับ มิต่างจากคุณหนูตระกูลอื่น ต่างก็แต่เป็นคนโพงพางไปเสียหน่อยไม่เหมือนคุณหนูบ้านอื่น”
6น่าสนใจสืออีหรานเป็นสตรีเจ้าเล่ห์ นางมีความคิดลึกซึ้งกว่าผู้อื่น เชี่ยวชาญการใช้เสน่ห์ตนเองในการหลอกใช้ผู้อื่น หลินซีเป็นคุณชายน้อยตระกูลหลินมีอำนาจ มีผู้คนเกรงใจหากได้เขามาคอยอยู่ข้างกาย ผู้ใดจะกล้าเอ่ยคำไม่ดีต่อนางเมื่อได้รู้จากบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉียน วันนี้หลินซีจะมาที่ตระกูลเพื่อร่วมพิธีปักปิ่นนางก็วางแผนไว้แล้ว กลับผิดแผนเพราะหว่านจืออวิ๋นสตรีโง่ผู้นั้นไปเสีย“เจ้า เจ้าคือ...? ช่างเถอะ ข้ามีธุระขอตัวก่อน” สตรีงามย่อมดึงดูดบุรุษ แต่ไม่ใช่กับหลินซีเพราะเขาเองก็งามไม่แพ้สตรี ยิ่งเมื่อไม่มีธุระให้พูดคุยกันเขายิ่งไม่สนใจจะอยู่พูดคุยให้ตกเป็นเรื่องเล่าลืออีกทั้งเขายังต้องไปขอโทษหญิงสาวที่ถูกเขาตวาด นางตั้งใจช่วยเหลือกลับถูกต่อว่า เขานี่ช่างไร้มโนธรรมยิ่งนักร่างสูงโปร่งสวมชุดสีชิงดูสง่ายิ่งเมื่อสอดรับกับใบหน
7ข้อที่สองสตรีทั้งสองแยกจากกันหน้าประตูสกุลเฉียน รถเทียมม้าสกุลโจวมุ่งหน้าไปบนถนนครึกครื้นของตลาดฝั่งประจิมม่านหน้าต่างถูกตลบขึ้นเพื่อดูผู้คนพลุกพล่านเดินเวียนไปเวียนมาในนิยายกล่าวว่าถนนเส้นนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คน วันนี้ได้เห็นกับตาเป็นจริงดังนั้น รอยยิ้มเพลิดเพลินประดับไว้บนดวงหน้าจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูตลอดการเดินทางเมื่อถึงกลางตลาดนางพลันได้ยินเสียงโหวกเหวกของคนหลายคน ครู่หนึ่งรถม้าก็หยุดลง โจวเจียวเจียวนึกสงสัยจึงเอ่ยถามเสี่ยวมั่วที่นั่งอยู่ข้างกาย เด็กสาวโผล่หน้าออกไปถามคนขับรถม้า“มีสิ่งใดหรือ”“เรียนคุณหนู ตรงหน้ามีขอทานขวางอยู่ขอรับ” โจวเจียวเจียวย่นคิ้วตั้งท่าจะลุกไปดูแต่กลัวว่าจะเป็นที่สนใจมากเกินไป เสี่ยวมั่วจึงโผล่หน้าออกไปฟังความให้แน่ชัดจากนั้นกลับมาแจ้งแก่คุณหนูของตนว่า มีขอทาน
8เจียวเจียวสำนึกผิดแล้วตะวันทอแสงยามเช้า หญิงสาวผุดลุกจากเตียงนอนอุ่น ความมุ่งหมายในวันนี้คือถูกมู่หลินเฟิงด่า เขาชอบสตรีเรียบร้อยอ่อนโยนเช่นนั้นวันนี้นางจึงจงใจสวมอาภรณ์สีเข้ม แต่งริมฝีปากด้วยสีชาดที่สดราวกับโลหิตอย่างไรอย่างนั้นนางส่องกระจกพร้อมรอยยิ้ม หมุนตัวไปมาครู่หนึ่งก็เอ่ยชมตนเอง“งามมาก ใช่หรือไม่เสี่ยวมั่ว”“งามเจ้าค่ะ แต่คุณชายมู่คงไม่ชอบกระมังเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวขึ้นคุณหนูของนางมักแต่งกายด้วยสีอ่อน เพื่อให้มู่หลินเฟิงสนใจแต่ยามนี้กลับต่างออกไปนางไม่เข้าใจเอาเสียเลยโจวเจียวเจียวคิดว่าเพียงแค่การแต่งกายคงไม่ทำให้มู่หลินเฟิงหันมาสนใจนางได้ในทันที จึงไม่จำเป็นต้องสวมรอยเป็นนางในยามนี้เพราะอย่างไรนางก็เป็นเจียวเจียวที่เขาไม่ต้องใจ จะสวมเสื้อผ้าสีใดก็คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สีเข้มคงทำให้เขาร
9บุรุษผู้นั้นเจ้าของร่างอรชรวิ่งออกจากห้องตำรามานั่งอยู่ในสวนของลานบ้าน ทั้งที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่โจวเจียวเจียวผู้นั้นแต่เมื่อถูกด่าหนักเข้านางกลับรู้สึกแย่ จนไม่อาจละทิ้งคำพูดเมื่อครู่ของมู่หลินเฟิงไปได้เลย“เจียวเจียว” โจวจี้หยวนเสียงเบา น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงไว้มากมาย แม้มู่หลินเฟิงจะเป็นสหาย แต่เขาก็สงสารผู้เป็นน้องสาวเหลือเกิน ในใจมู่หลินเฟิงคงมีเพียงสืออีหราน ไหนเลยจะมีที่ว่างพอให้นางถึงจะพูดไปนางก็ไม่มีทางเชื่อเขาอยู่ดี เขาเลยไม่คิดห้ามนางอีก เพียงปลอบใจอยู่ข้าง ๆ เท่านั้นชายหนุ่มเดินเข้ามาวางมือไว้บนศีรษะนางแผ่วเบา คล้ายกับกำลังปลอบใจนางโดยไร้คำพูดใดโจวเจียวเจียวนางมีพี่ชาย สหาย บิดามารดา และข้ารับใช้ที่ดี เหตุใดจึงหลงรักบุรุษผู้นั้นมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งที่หลังจากเขารู้จักสืออีหรานก็ไม่เคยมีความหวังให้นางเลยแม้แต่น้อย
10ขออภัยที่ทำให้ท่านเสื่อมเสีย“คนเลว โผล่มาให้อารมณ์เสียทำไมเนี่ย เสียระบบหมดอุตส่าห์จะไม่เฟียสดันเฟียสไปจนได้” หญิงสาวพึมพำอย่างหัวเสียพลางใช้เท้าเตะฝุ่นบนพื้นถนน แต่ฝุ่นของนางดันเป็นก้อนใหญ่เกินไป มันกระเด็นไปกระแทกศีรษะบุรุษที่เดินอยู่ด้านหน้าอย่างแรง“โอ๊ย ผู้ใดลอบทำร้ายข้าไม่มีตาหรืออยากตาย” เสียงตวาดข้างหน้าทำให้โจวเจียวเจียวสะดุ้งจนตัวโยน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพียงแต่ยกมือขึ้นแสดงตัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆบุรุษผู้นั้นเดิมชักสีหน้าน่ากลัวราวกับกำลังจะลงดาบลงกระบี่บั้นคอนาง แต่เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นนางก็เปลี่ยนสีหน้าไปเป็นยิ้มแย้ม เอ่ยทักนางอย่างเป็นธรรมชาติ“ท่าน คุณหนูโจวใช่หรือไม่”“คารวะคุณชายหลิน ขออภัยเมื่อครู่ไม่ระวังเผลอเตะหินจนโดนหัวท่าน เป็นอะไรหรือไม่”&ldq
11สหายคนใหม่“พี่มู่ปล่อยเจียวเจียวได้หรือไม่” ฝีเท้าเร่งรีบของมู่หลินเฟิงหยุดลงเมื่อถึงหน้าร้านค้าตระกูลโจว หญิงสาวที่อุตส่าห์เดินตามมาเงียบ ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนโจวเจียวเจียวคนเก่าไม่ผิดมู่หลินเฟิงรีบสะบัดมือออก ก่อนนี้เขาลืมตัวไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องโมโหและพูดจาร้ายกาจกับนางอีกแล้ว ทั้งที่มาวันนี้ตั้งใจมาขอโทษนาง ยังไม่ทันขอโทษก็ปากไม่ดีอีกแล้ว เรารู้สึกไม่ชอบใจที่นางให้ความสำคัญกับผู้อื่นมากกว่า“ขอบคุณพี่มู่ที่สั่งสอน ต่อไปเจียวเจียวจะจำไว้ไม่ทำให้ผู้ใดเสื่อมเสียอีก หากพี่มู่ไม่มีสิ่งใดจะสั่งสอนอีกเจียวเจียวขอตัวก่อน” เขายืนฟังนางพูดตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาสักคำ ได้แต่มองข้อมือนางที่ถูกเขากำแน่นจนเกิดริ้วแดงเมื่อครู่กระทั่งนางเดินไปแล้วเขาจึงรู้สึกตัวว่ายังไม่ได้เอ่ยปากขอโทษนางสักคำ มู่หลินเฟิงท
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม
43มีสิ่งใดจะสั่งเสียทัศนวิสัยเบื้องหน้าช่างพร่าเลือนหลังฟื้นคืนสติโจวเจียวเจียวพยายามหรี่ตาลงเล็กน้อยมองลอดรูเล็กบนผนัง กลิ่นอับบนผนังบ่งบอกว่าที่นี่เก่ามากเพียงใด ด้านในไม่มีเงาผู้คนเช่นนั้นคนชุดดำคงอยู่ด้านนอก“นางฟื้นหรือยัง” เสียงทุ้มแว่วมาจากหลังประตู โจวเจียวเจียวแสร้งเอนกายลงนอนบนพื้นไม้ผุพังทำเหมือนตนเองยังไม่ฟื้นคืนสติ ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าที่แท้คนเหล่านี้ต้องการสิ่งใดจากนางแต่คนเหล่านี้เป็นคนของสืออีหรานแน่นอน เพราะบนโลกนี้คนที่เกลียดนางมีเพียงสตรีแซ่สือ อีกทั้งก่อนหน้านางยังมาพูดจาข่มโอ้อวดว่าตนกำลังจะได้แต่งกับมู่หลินเฟิง ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวก็หล่นจากความฝันเสียแล้ว“นางยังไม่ฟื้น”“ฟื้นไม่ฟื้นก็ช่าง รีบจัดการเสีย ยามนี
42ถูกจับตัวไปกระดาษใบแรกถูกเปิดอ่าน ในกระดาษมีเพียงประโยคเดียวเหมือนจดหมายตอบกลับอย่างไรอย่างนั้น อ่านจบแผ่นแรกก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นมาทั้งที่ไม่ใช่ข้อความหวานซึ้งใดแท้ ๆ‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’‘ข้าไม่คิดถึงท่าน’ จดหมายสี่ฉบับแรกเนื้อความเหมือนกัน ข้อความสั้น ๆ ไม่ลงชื่อแต่กลับเรียกรอยยิ้มของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีหากนางไม่คิดถึงจริง ๆ จะอุตส่าห์เขียนจดหมายตอบกลับเขาทุกฉบับหรือ แม้นางจะบอกว่าไม่คิดถึงแต่ยามที่เขียนข้อความนี้ลงไป นางย่อมต้องนึกถึงคำถามเป็นแน่แต่จดหมายฉบับสุดท้ายกลับต่างออกไป ตัวหนังสือเล็กแต่เป็นระเบียบ สะอาดตา ไม่น่าเชื่อว่าเจียวเจียวที่เกลียดการเขียนอักษรจะเขียนได้ดีเช่นนี้ ตัวอักษรตรงหน้าไม
41เช่นนั้นท่านก็กลับไปหน้าคฤหาสน์สกุลโจวร่างสูงสง่ายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูใหญ่ หลังเฉากงกงประกาศพระราชโองการวันต่อมามู่หลินเฟิงจึงมาถึงจวนตั้งแต่เช้า เขาต้องการพูดคุยโจวเจียวเจียวเรื่องการสมรสนี้สิ่งที่ทำให้เขาเร่งซ่อมแซมบ้านเรือนจนเสร็จรวดเร็ว คือข่าวสารจากองค์ชายรอง ในจดหมายกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำเขาร้อนรนนั่งไม่ติดเก้าอี้เสียแล้ว‘ข่าวว่าช่วงนี้ตระกูลหลินเตรียมขบวนสินสอด’ตระกูลหลินมีบุตรชายเพียงคนเดียวนั่นคือหลินซี ฉะนั้นการหมั้นหมายนี้ย่อมเป็นของหลินซี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าสาวผู้นั้นเป็นใคร มู่หลินเฟิงคิดถึงภาพที่นางและหลินซีไล่ตีกันจึงคิดว่าอย่างไรก็คงเป็นเจียวเจียว จึงเร่งจัดการงานให้เสร็จแล้วรีบกลับมายังเมืองหลวงทว่าทุกสิ่งก็ยังเหนือความหมายของเขาอยู่ดี แม้จะดีใจที่ได้ประทานสมรสกั