หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”
“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ
“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ
“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็น
คำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ
“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”
เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ
“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบ
ในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเดินทางไปยังตลาดในเมืองเพื่อซื้อเสบียงและอุปกรณ์เสริม เวสเปอร์เลือกซื้อโพชั่นฟื้นฟู HP และ MP ในขณะที่เอซแอบมองไก่ย่างที่วางเรียงรายอยู่ในตลาดด้วยสายตาอยากกิน
“เรามาที่นี่เพื่อเตรียมตัวสำหรับดันเจี้ยน ไม่ใช่มาซื้ออาหารให้นาย” เวสเปอร์พูดพลางมองเขาด้วยสายตาเหนื่อยใจ
“แต่การกินก็สำคัญไม่แพ้การฝึกนะ” เอซตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลังจากเตรียมของเสร็จ ทั้งสองกลับไปที่ห้องพักเพื่อจัดกระเป๋า เวสเปอร์ตรวจสอบอุปกรณ์อีกครั้งก่อนจะหันไปหาเอซ
“พร้อมแล้วใช่ไหม” เธอถาม
“แน่นอน” เอซตอบพร้อมกระโดดขึ้นไปบนกระเป๋าของเธอ “ไปกันเถอะ”
ดันเจี้ยนที่พวกเขามุ่งหน้าไปตั้งอยู่ในป่าชานเมือง เป็นดันเจี้ยนระดับต่ำที่มักถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกของผู้อเวคแรงค์ต่ำ แม้จะไม่ได้อันตรายเท่าดันเจี้ยนระดับสูง แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย
เมื่อทั้งสองมาถึงทางเข้าดันเจี้ยน เวสเปอร์สังเกตเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลยืนเฝ้าประตูอยู่ พวกเขาสวมชุดเกราะสีดำที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง พร้อมกับตราสัญลักษณ์ของรัฐบาลบนหน้าอก
“มีคนเฝ้าดันเจี้ยนด้วยแฮะ” เวสเปอร์พูดเสียงเบา
“แน่นอน” เอซตอบ “รัฐบาลมีหน้าที่ควบคุมดันเจี้ยนและป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์หลุดออกมา นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้อเวคที่ไม่มีความพร้อมเข้าไปเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น”
เวสเปอร์พยักหน้า เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเดินเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่
“เธอเป็นผู้อเวคใช่ไหม?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ใช่ค่ะ ฉันอยากจะเข้าไปสำรวจดันเจี้ยนนี้” เวสเปอร์ตอบ
“แรงค์อะไร?”
“F ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดันเจี้ยนนี้ไม่เหมาะกับผู้อเวคแรงค์ F ที่มาคนเดียวนะ เธอแน่ใจเหรอว่าอยากเข้าไป”
“ฉันแน่ใจค่ะ” เวสเปอร์ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
สายตาของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาหันมามองเอซที่นั่งอยู่บนไหล่ของเวสเปอร์
“แล้ว…แมวตัวนี้ล่ะ” เขาถามด้วยความสงสัย “มันมาด้วยทำไม”
“แค่…คู่หูของฉันน่ะค่ะ” เวสเปอร์ตอบพร้อมกับพยายามกลั้นหัวเราะ
“งั้นเหรอ...” เจ้าหน้าที่หรี่ตา “มันดูไม่ธรรมดาเลย”
เอซที่นั่งอยู่บนไหล่ของเวสเปอร์ทำเพียงหาวเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันเป็นแค่แมวที่ฉลาดกว่าตัวอื่นๆก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรต้องกังวล”
เจ้าหน้าที่มองเขาด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจนัก “แมว...พูดได้เหรอ!?”
“แน่นอนสิ ฉันเป็นแมวฉลาดนี่นา” เอซตอบพร้อมยักหางอย่างไม่ใส่ใจ
แม้เจ้าหน้าที่จะยังคงสงสัยและตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“เธอรู้ใช่ไหมว่าการเข้าไปในดันเจี้ยนมีความเสี่ยง” เจ้าหน้าที่พูดก่อนจะเปิดสมุดบันทึก “ฉันต้องจดชื่อและแรงค์ของเธอไว้ในระบบ ถ้าเธอหายไป เราจะรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน”
“เข้าใจค่ะ” เวสเปอร์ตอบ
เธอให้ข้อมูลของตัวเองและรอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
ก่อนที่จะเดินเข้าไปในดันเจี้ยน เวสเปอร์หันมามองเอซ “นายคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีใช่ไหม”
“แน่นอน” เอซตอบพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทุกก้าวที่เธอเดินเข้าไปคืออีกก้าวที่ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น”
เมื่อประตูดันเจี้ยนเปิดออก กลิ่นอับชื้นและกลิ่นโลหะอ่อนๆลอยออกมาต้อนรับพวกเขา เสียงหินกระทบกันเบาๆดังมาจากส่วนลึกของทางเดิน เหมือนจะเป็นเสียงสะท้อนของบางสิ่งที่ไม่อาจระบุได้
เวสเปอร์เดินเข้าไปข้างในอย่างช้าๆแสงจากด้านนอกค่อยๆจางหายไป ทิ้งให้ทางเดินเต็มไปด้วยเงามืด เธอหยิบไฟฉายขนาดเล็กจากกระเป๋าและเปิดมัน แสงไฟสีขาวส่องผ่านอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่น
“นี่มัน…น่ากลัวกว่าที่ฉันคิด” เวสเปอร์พูดเบาๆ
“ดันเจี้ยนทุกแห่งมีเอกลักษณ์ของมันเอง” เอซตอบขณะที่ยังคงนั่งบนไหล่ของเธอ “แต่อย่าลืมว่าเธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อชมวิว”
ภายในดันเจี้ยนเป็นอุโมงค์หินที่มีลักษณะคล้ายถ้ำ พื้นผิวผนังมีรอยขีดข่วนเหมือนถูกกรงเล็บขนาดใหญ่ขูด เศษหินและซากไม้กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น บางส่วนยังมีรอยเลือดเก่าที่แห้งกรัง
“ดูเหมือนที่นี่จะเคยมีการต่อสู้มาก่อน” เวสเปอร์พูดพลางสังเกตสิ่งรอบตัว
เอซกระโดดลงจากไหล่ของเธอและเดินไปยังรอยขีดข่วนที่ผนัง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องไปที่มันอย่างพินิจพิเคราะห์
“จากขนาดของรอยกรงเล็บ มันน่าจะเป็นมอนสเตอร์ประเภทสัตว์ป่า อาจจะพวกเฟนริสหรือวูล์ฟลอร์ด” เอซพูดพลางหันมามองเวสเปอร์
“เฟนริส วูล์ฟลอร์ด พวกนั้นแรงค์อะไร?”
“ปกติจะอยู่ที่แรงค์ D ถึง C” เอซตอบ “แต่ถ้าเป็นตัวที่วิวัฒนาการ อาจสูงถึงแรงค์ B หรือมากกว่านั้น”
เวสเปอร์กลืนน้ำลายเสียงดัง เธอรู้สึกเหมือนความกดดันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ฉันว่าฉันควรจะถามเจ้าหน้าที่ก่อนเข้ามา” เวสเปอร์พูดพร้อมถอนหายใจ
“ใช่ เราควรถามพวกเขา” เอซหันมามองด้วยสายตาเยาะๆ “นี่คือบทเรียนที่ดีนะเวสเปอร์ ความไม่พร้อมคือสิ่งที่อันตรายที่สุดในดันเจี้ยน”
“เวรละไง”
“งั้นเธอควรจะจดไว้ในสมุดว่าคราวหน้าต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้” เอซพูดพลางเดินไปข้างหน้า
ทั้งคู่เดินลึกเข้าไปในดันเจี้ยน ขณะที่พื้นเริ่มเปลี่ยนเป็นโคลนเหนียว เวสเปอร์สังเกตเห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ที่มีกรงเล็บยาวจมลงไปในพื้นโคลน
“นี่มัน…” เวสเปอร์ชี้ไปที่รอยเท้า
“จากขนาดรอยนี้…เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นวูล์ฟลอร์ด” เอซพูดขณะสำรวจรอยเท้า “ดูเหมือนมันจะเคลื่อนไหวอยู่ในดันเจี้ยนนี้ไม่นานมานี้”
“แล้วมันอยู่ใกล้เราแค่ไหน”
“ไม่ไกลเกินไป” เอซตอบ “แต่ไม่ต้องกังวล ถ้าเราเจอจริงๆเธอก็แค่ต้องสู้”
คำพูดนั้นทำให้เวสเปอร์รู้สึกกังวลมากขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมจะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ในระดับนี้หรือไม่
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกังวลที่สุด”
อากาศในดันเจี้ยนเริ่มเปลี่ยนไป มันเย็นลงอย่างรวดเร็ว และมีเสียงลมแผ่วเบาที่ดูเหมือนจะไม่เป็นธรรมชาติ
“ทำไมอากาศถึงเย็นแบบนี้” เวสเปอร์ถามพลางลูบแขนตัวเองด้วยความหนาว
“มันเป็นลักษณะเฉพาะของดันเจี้ยน” เอซตอบ “บางดันเจี้ยนมีพลังงานที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม ถ้าเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่าเธอกำลังเข้าใกล้ศูนย์กลางของมัน”
ทันใดนั้น เสียงคำรามต่ำดังขึ้นจากส่วนลึกของดันเจี้ยน เวสเปอร์หยุดเดินทันที เธอหันไปมองเอซที่ดูนิ่งสงบผิดปกติ
“มันเริ่มแล้ว” เอซพูดพลางหันไปมองทางต้นเสียง
“เริ่มอะไร?” เวสเปอร์ถามด้วยน้ำเสียงสั่น
“การเผชิญหน้าที่แท้จริง” เอซตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
แสงไฟจากไฟฉายของเวสเปอร์ส่องไปยังเงามืดเบื้องหน้า และในที่สุด เธอก็เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ส่องประกายสีแดงอยู่ในความมืด
“นั่นคือ…”
“เฟนริส” เอซตอบเสียงเบา
เสียงคำรามต่ำลึกสะท้อนในอากาศ มันไม่ได้ดังจนแสบแก้วหู แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกหนักอึ้ง เงาดำขนาดใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏตัวให้เห็นเต็มตา
เฟนริส เป็นมอนสเตอร์แรงค์ D ที่มีลักษณะคล้ายหมาป่ายักษ์ ร่างกายของมันสูงเกือบสองเมตรเมื่อยืนเต็มที่ ขนสีดำสนิทของมันดูเหมือนจะกลืนแสงไฟที่ส่องถึง กรงเล็บและเขี้ยวแหลมคมสะท้อนแสงรางๆในอากาศเย็น
ดวงตาสีแดงเพลิงของมันดูเหมือนจะมองทะลุถึงจิตวิญญาณ ทุกการเคลื่อนไหวของมันเงียบสงัดผิดธรรมชาติ ทำให้มันเป็นนักล่าที่อันตราย แม้เพียงเสียงลมหายใจของมันก็ดูจะข่มขวัญเป้าหมายได้แล้ว
“เฟนริสเป็นสัตว์ล่าเหยื่อที่ชาญฉลาด” เอซเอ่ยพลางกระโดดลงมายืนข้างเวสเปอร์ “มันไม่ใช่มอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าโจมตีแบบไร้จุดหมาย มันชอบวางแผนล้อมเหยื่อก่อนจะโจมตี”
เฟนริสคำรามอีกครั้ง เสียงนั้นทำให้พื้นดินสั่นเล็กน้อย มันก้มตัวลงต่ำก่อนจะพุ่งเข้าหาเวสเปอร์ด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
“ระวัง!” เอซตะโกน
เวสเปอร์เบี่ยงตัวหลบด้วยความตื่นตัว แต่กรงเล็บของมันยังเฉียดแขนเธอไปจนรู้สึกถึงแรงลมที่ตามมา
เธอถอยหลังไปสองก้าว ยกมือขึ้นรวบรวมพลังเวทย์พื้นฐาน พลังงานสีฟ้าอ่อนเริ่มก่อตัวที่ฝ่ามือของเธอ ก่อนจะปล่อยออกไปในแนวตรง
พลังงานนั้นกระแทกเข้าที่สีข้างของเฟนริส มันหยุดชะงักเล็กน้อย แต่กลับคำรามดังขึ้นและพุ่งเข้าใส่เธออีกครั้ง
“เวรละ...”
การโจมตีด้วยพลังเวทย์พื้นฐานของเวสเปอร์ยังคงไม่รุนแรงมากนักเพราะเธอพึ่งเริ่มฝึก แทนที่จะสร้างบาดแผลให้มันแต่กลับดูเหมือนว่ากำลังทำให้มันโกรธยิ่งกว่าเดิม
“อย่าใช้พลังเวทย์แบบไม่มีแผน” เอซเตือน “พลังของเธออาจจะพอจัดการมันได้ แต่ต้องคิดให้รอบคอบ!”
เวสเปอร์พยายามตั้งสมาธิ เธอหลบการโจมตีของเฟนริสในจังหวะที่มันกระโจนเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยพลังเวทย์อีกลูกโจมตีใส่ขาของมัน
พลังเวทย์กระแทกเข้าที่ขาหลังของเฟนริส มันเสียหลักไปเล็กน้อย แต่กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เฟนริสเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี มันเดินวนรอบตัวเวสเปอร์ ดวงตาสีแดงของมันจ้องมองอย่างจับจ้องราวกับกำลังวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเธอ
“มีสติเข้าไว้ อย่าชะล่าใจแม้แต่วิเดียวเวสเปอร์” เอซกล่าว
“ฉันรู้!” เวสเปอร์ตอบกลับ พลางเตรียมตัวให้พร้อม
ทันใดนั้น เฟนริสกระโจนเข้ามาจากด้านข้าง เวสเปอร์ปล่อยพลังเวทย์พื้นฐานโจมตีสวนกลับ แต่มันกลับหลบหลีกได้อย่างคล่องตัว ก่อนจะหมุนตัวกลับมาโจมตีอีกครั้ง
กรงเล็บของมันเฉียดไปใกล้ใบหน้าของเธอ เวสเปอร์เบี่ยงตัวหลบไปทางขวา แต่กลับเสียหลักและล้มลง
เฟนริสไม่ปล่อยโอกาส มันกระโจนเข้าหาเธอด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
“Chrono Step!” เวสเปอร์ตะโกนพร้อมเรียกใช้สกิล
เวลารอบตัวเธอหยุดชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะย้อนกลับไปยังจุดที่ปลอดภัยกว่า เฟนริสพุ่งตัวผ่านจุดเดิมและกระแทกเข้ากับหินขนาดใหญ่
“ดีมาก” เอซพูดพร้อมยิ้มบางๆ “ตอนนี้โจมตีมันซะ!”
เวสเปอร์ยกมือขึ้นรวบรวมพลังอีกครั้ง ขนาดของพลังเวทย์ที่ใหญ่กว่าเดิมพุ่งตรงเข้าหาเฟนริส กระแทกเข้าที่กลางลำตัวของมันอย่างจัง
เฟนริสคำรามเสียงดังลั่น มันพยายามลุกขึ้น แต่ดูเหมือนการโจมตีครั้งล่าสุดจะทำให้มันอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
“มันใกล้จะจบแล้ว” เอซกล่าว “แต่เธอต้องระวัง มอนสเตอร์แบบนี้มักจะโจมตีครั้งสุดท้ายที่รุนแรงที่สุด”
เฟนริสพุ่งตัวเข้าหาเวสเปอร์อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอหลบได้อย่างแม่นยำและปล่อยพลังเวทย์พื้นฐานโจมตีใส่หัวของมันด้วยความรุนแรง
เฟนริสล้มลงกับพื้น ดวงตาสีแดงของมันค่อยๆหม่นลงก่อนจะนิ่งสนิท
เวสเปอร์ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หายใจหอบหนัก เธอมองดูร่างของเฟนริสที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า
“ฉันทำได้…” เธอพูดเบาๆ
“ใช่ เธอทำได้” เอซตอบพลางเดินเข้ามาหาเธอ “แต่ยังไม่ดีพอ”
“นายไม่เคยพูดอะไรที่ฟังดูปลอบใจเลยใช่ไหม”
เอซหัวเราะเบาๆ “ฉันพูดสิ่งที่เธอจำเป็นต้องได้ยิน ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ยิน”
ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างค้นหาเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง บางคนเกิดมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่า พลังอเวค มันไม่ใช่สิ่งที่ใครเลือกได้ แต่เป็นพรจากธรรมชาติ หรือในบางครั้งอาจเป็นคำสาปที่มอบให้โดยไร้ความเมตตาพลังเหล่านี้คือความสามารถเฉพาะตัวที่ปรากฏในมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด บางคนอาจเกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่ เช่น การควบคุมเปลวเพลิง การรักษาบาดแผล หรือการบงการธาตุธรรมชาติ ขณะที่บางคนได้รับพลังที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ในตอนแรก เช่น การเร่งการเติบโตของพืช หรือการได้ยินเสียงกระซิบจากระยะไกล แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความไม่แน่นอน ทุกพลังล้วนซ่อนศักยภาพที่คาดไม่ถึง การค้นพบพลังและจุดเริ่มต้นของความแตกต่างพลังอเวคเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อสองศตวรรษก่อน มันมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เหตุการณ์ธรรมชาติอันรุนแรง หรือบางทีอาจเป็นผลพวงของพลังจักรวาลที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ พลังนี้ทำให้ผู้คนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครในครอบครัวเดียวกันจะมีพลังเหมือนกัน มันคือเครื่องหมายเฉพาะตัวที่ฟ้ากำหนดเด็กที่แสดงพลังอเวคตั้งแต่อายุยังน้อย มักจะถูกจับตามอง หากพลังนั้นดูมีประโยชน์ พวกเขาอาจถูกยกย่องให้เป็น ผ
ยามเช้าที่อึมครึมด้วยแสงอาทิตย์จางๆ และเสียงนกร้องในระยะไกล เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า ก้าวออกจากห้องเช่าขนาดเล็กในย่านชานเมืองที่แออัด เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาหม่นที่พอดีตัว กางเกงสีดำเรียบง่าย และรองเท้าผ้าใบที่เคยเป็นสีขาวสะอาดแต่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนบ่งบอกถึงความเก่า เธอรวบผมสีดำยาวที่เป็นประกายราวกับไหมพรมซึ่งตัดกับดวงตาสีเขียวที่ดูสงบนิ่งและแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง เธอมีผิวพรรณขาวซีดราวกับคนที่ไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้น รูปร่างของเธอกลับดูสมส่วน มีความสง่างามที่แฝงอยู่ในท่าทางการเดินที่มั่นคงเธอใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาทีจากที่พักไปยังร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานอยู่ ร้านตั้งอยู่ที่มุมถนนใหญ่ ใกล้กับทางแยกที่มีรถราขวักไขว่ เธอผลักประตูกระจกที่เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือออก เสียงกระดิ่งเล็กๆเหนือประตูดังขึ้นเบาๆก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วและเริ่มเช็ดเคาน์เตอร์โดยไม่รอให้ใครสั่งเธอทำงานที่นี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอล้มเลิกความฝันในการเป็นผู้อเวค การใช้พลังควบคุมเวลาที่ใครหลายคนมองว่าเป็นพรสวรรค์ที่หายากของเธอ ไม่ได้นำพาเธอไปสู่ความยิ่งใหญ่ แต่กลับผลักเธอลงไปในมุมอั
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร