หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศ
เสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ
“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะ
เวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพ
ท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้
เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขาม
แคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งในที่นั้น
เธอสวมเสื้อคลุมยาวสีดำปักลายเงินที่ดูเรียบง่าย แต่กลับเปล่งอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ท่าทางของเธอสงบนิ่ง แต่ทุกก้าวที่เธอเดินดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศรอบตัวสั่นสะเทือน
“นี่คือจุดที่ดันเจี้ยนปรากฏใช่ไหม?” แคลร์เอ่ยถาม น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น
หนึ่งในสมาชิกของกิลด์เซเลสเทียร์พยักหน้า “ครับ เราตรวจสอบแล้ว และพบว่าไม่มีการคุกคามหลงเหลืออยู่”
แคลร์พยักหน้าเบาๆก่อนจะหันมามองเวสเปอร์และเอซ ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปที่เวสเปอร์ราวกับจะเจาะลึกถึงแก่นแท้
“พวกคุณสองคนคือคนที่จัดการกับดันเจี้ยนนี้ใช่ไหม” แคลร์ถาม
เวสเปอร์ที่ยังเหนื่อยล้าพยักหน้าเล็กน้อย
เอซขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มกวนๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา “ใช่แล้ว พวกเราเพิ่งฝึกเสร็จและก็เจอกับเรื่องนี้พอดี ดูเหมือนพวกคุณจะมาช้านะ”
คำพูดของเอซทำให้สมาชิกกิลด์บางคนแสดงสีหน้าไม่พอใจ ท่าทางและสายตาของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที แต่แคลร์กลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆเธอเพียงจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่สงบนิ่ง
“พวกมือสมัครเล่นอย่างพวกนายคิดจะมาดูถูกกิลด์เซเลสเทียร์งั้นเหรอ” หนึ่งในผู้อเวคของกิลด์กล่าวเสียงเย็น
เวสเปอร์รู้สึกถึงแรงกดดันจากคำพูดนั้น เธอพยายามสงบสติอารมณ์และก้าวถอยหลังเล็กน้อย แต่เอซกลับยืนอยู่ในที่เดิมโดยไม่แสดงความสะทกสะท้าน
“พวกเราจัดการดันเจี้ยนได้โดยที่ไม่มีพวกคุณ นั่นเป็นข้อเท็จจริง” เอซตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
คำพูดนั้นทำให้ชายคนเดิมแค่นหัวเราะ “จัดการดันเจี้ยน? แค่รอดมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว ดูจากแรงค์และพลังของพวกนาย ฉันไม่เชื่อว่าพวกนายจะทำอะไรได้มากไปกว่าการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด”
สายตาของสมาชิกอีกคนจับจ้องไปที่เวสเปอร์ “เธอเป็นผู้อเวคระดับ F ใช่ไหม? ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าคนระดับนี้จะอยู่รอดในดันเจี้ยนได้”
เวสเปอร์รู้สึกเหมือนถูกกระแทกด้วยคำพูด เธอกำหมัดแน่น และพยายามควบคุมตัวเอง
“อย่าดูถูกคนที่นายไม่รู้จักดี” เอซกล่าวพร้อมจ้องมองชายคนนั้นด้วยดวงตาสีทองที่เย็นชา “บางครั้งคนที่นายมองว่าด้อยค่า อาจมีศักยภาพมากกว่านายเสียอีก”
“พอได้แล้ว” เสียงของแคลร์ดังขึ้น ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกแช่แข็ง ทุกคนหยุดการโต้เถียงและหันไปมองเธอ
แคลร์เดินเข้ามาใกล้ ดวงตาสีฟ้าของเธอจับจ้องไปที่ชายที่พูดจาดูหมิ่นเวสเปอร์
“เรามาที่นี่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ไม่ใช่เพื่อเริ่มต้นความขัดแย้ง” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้ชายคนนั้นต้องหลบสายตา
แคลร์หันมามองเวสเปอร์และเอซ ใบหน้าของเธอยังคงสงบนิ่ง “พวกคุณสองคนทำได้ดีในการจัดการกับดันเจี้ยน แต่โปรดจำไว้ว่าความพยายามของคุณไม่ได้ทำให้คุณอยู่เหนือคำวิจารณ์”
“ฉันเข้าใจ” เวสเปอร์ตอบเสียงเบา แม้ในใจยังคงสั่นไหวจากคำพูดก่อนหน้านี้
แคลร์หันกลับไปหากิลด์เซเลสเทียร์ “จัดการพื้นที่นี้ให้เรียบร้อย บันทึกข้อมูลของดันเจี้ยน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีภัยคุกคามหลงเหลืออยู่”
สมาชิกกิลด์รีบปฏิบัติตามคำสั่งทันที ไม่มีใครกล้าต่อต้านน้ำเสียงของเธอ
“ฉันหวังว่าจะไม่ต้องมาแก้ปัญหาอะไรที่นี่อีก” แคลร์กล่าวเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินนำกิลด์ออกจากพื้นที่
เมื่อกิลด์เซเลสเทียร์และแคลร์จากไป เวสเปอร์ถอนหายใจยาว ความกดดันที่เธอรู้สึกเหมือนจะหายไปพร้อมกับพวกเขา
“เธอ…น่ากลัวกว่าบอสในดันเจี้ยนอีก” เวสเปอร์พูดเบาๆ
“นั่นแหละคือแคลร์ คาเซลิน” เอซตอบ “ใช่ เธอเป็นคนที่ไม่ควรทำให้ไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด”
“นายรู้จักเธอดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
เอซยิ้มเล็กๆ “ก็อาจจะ”
หลังจากแยกตัวออกมาจากสถานการณ์ตึงเครียด เวสเปอร์และเอซเดินไปตามถนนที่เงียบสงบ เสียงฝีเท้าของพวกเขาเบาไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐเก่า แสงไฟจากเสาไฟถนนให้บรรยากาศอบอุ่น ต่างจากความตึงเครียดที่พวกเขาเพิ่งผ่านพ้น
“เหนื่อยไหม” เอซถามพลางเหลือบตามองเวสเปอร์ที่ยังดูเหนื่อยล้าจากการต่อสู้
“เหนื่อยสิ” เธอตอบพลางยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก “แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่เรื่องทั้งหมดจบลง”
“งั้นคืนนี้เรามาหาอะไรดีๆกินกันหน่อยเป็นไง”
“นายจะทำอาหาร?” เวสเปอร์ยกคิ้วอย่างไม่เชื่อถือ
“ฉันไม่ได้บอกว่าจะทำเอง” เอซตอบพร้อมหัวเราะ
เวสเปอร์ถอนหายใจ แต่ในใจเธอก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายเล็กน้อย “ตกลง ไปซูเปอร์มาร์เก็ตกันก่อนแล้วกัน”
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็มาถึงซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมือง แสงไฟจากป้ายร้านส่องสว่างให้บรรยากาศอบอุ่น เสียงเปิดประตูอัตโนมัติดังขึ้นเมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปข้างใน
ภายในร้านเต็มไปด้วยชั้นวางสินค้าที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นหอมอ่อนๆของขนมปังสดใหม่ลอยมาแตะจมูก เวสเปอร์หยิบตะกร้าช้อปปิ้งขึ้นมา ส่วนเอซเดินตามหลังเธออย่างเกียจคร้าน
“เราจะทำอะไรกินดี” เวสเปอร์ถามพลางมองไปยังชั้นวางสินค้า
“เนื้อหมูทอดน่าจะดีนะ” เอซตอบ “ทงคัตสึอะไรแบบนั้น”
เวสเปอร์พยักหน้า “ฟังดูดี งั้นเริ่มจากเนื้อหมูก่อนแล้วกัน”
พวกเขาเดินไปยังโซนเนื้อสด ชั้นวางเต็มไปด้วยแพ็คเนื้อที่จัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย เวสเปอร์หยิบแพ็คเนื้อหมูขึ้นมาพิจารณา
“ดูเหมือนเธอจะจริงจังกับการเลือกของนะ” เอซแซวขณะเอนตัวพิงชั้นวางใกล้ๆ
“ก็แน่นอนสิ ถ้าเนื้อไม่ดีอาหารก็ไม่อร่อย” เวสเปอร์ตอบขณะตรวจสอบเนื้อหมูแต่ละชิ้น
เธอเลือกแพ็คเนื้อที่ดูสดใหม่ที่สุด ก่อนจะหยิบไปใส่ตะกร้า “ต่อไปก็แป้ง เกล็ดขนมปัง แล้วก็น้ำมัน”
“แล้วซอสล่ะ” เอซถาม
“ฉันทำเองได้ ไม่ต้องซื้อน้ำซอสสำเร็จรูป”
ทั้งสองเดินผ่านชั้นวางแป้งทอดกรอบ เกล็ดขนมปัง และน้ำมัน เวสเปอร์หยิบสิ่งที่ต้องการลงตะกร้า เอซหยิบเกล็ดขนมปังขึ้นมาดู
“นี่มันต่างกันยังไง” เอซถามพลางมองสองแพ็คที่มีหน้าตาเหมือนกัน
“นี่ละเอียดกว่า ส่วนอีกอันหยาบกว่า” เวสเปอร์ตอบ “เลือกแบบละเอียดไปก่อน มันจะเคลือบเนื้อได้ดีกว่า”
“เธอรู้เรื่องนี้เยอะเหมือนกันนะ” เอซพูดพร้อมยิ้ม “ดูไม่เหมือนคนที่ทำอาหารเป็นเลย”
“ก็หลายปีมานี้ฉันพึ่งตัวเองมาตลอดนี่นา” เวสเปอร์ตอบกลับ
หลังจากได้ของครบตามที่ต้องการ ทั้งสองไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ เวสเปอร์หยิบเงินออกจากกระเป๋าในขณะที่เอซมองสินค้าบนชั้นใกล้เคาน์เตอร์ด้วยความสนใจ
“นี่นายจะช่วยถือของบ้างไหม” เวสเปอร์ถามหลังจากจ่ายเงินเสร็จ
“แน่นอน” เอซตอบพร้อมหยิบถุงของขึ้นมา “แต่เธอต้องทำอาหารเองนะ”
เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “รู้แล้วน่า”
เมื่อกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์เริ่มเตรียมวัตถุดิบทันที เธอใช้มีดหั่นเนื้อหมูออกเป็นชิ้นหนาเท่าๆกันก่อนจะใช้ค้อนทุบเนื้อจนเนื้อนุ่ม เอซนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆมองดูการทำงานของเธอด้วยความสนใจ
“เธอดูชำนาญจัง” เอซพูด
“ก็ต้องมีบ้างล่ะ” เวสเปอร์ตอบขณะโรยเกลือและพริกไทยลงบนเนื้อหมู
เธอเตรียมแป้งทอดกรอบ ไข่ไก่ และเกล็ดขนมปังในชามแยกกัน ก่อนจะชุบเนื้อหมูในแป้ง ไข่ และเกล็ดขนมปังตามลำดับ
เวสเปอร์ตั้งกระทะเทน้ำมันลงไป และรอจนมันร้อนพอ ก่อนจะค่อยๆวางเนื้อหมูลงไปทอด เสียงน้ำมันเดือดดังขึ้นพร้อมกลิ่นหอมของเนื้อหมูทอดที่ลอยฟุ้งไปทั่วห้อง
“หอมดีแฮะ” เอซพูดขณะดมกลิ่น
“อดใจรออีกนิด” เวสเปอร์ตอบ
เมื่อเนื้อหมูทอดจนกรอบสีทองสวย เธอตักขึ้นมาวางบนกระดาษซับน้ำมันก่อนจะจัดใส่จาน
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะเล็กๆในห้องพัก เวสเปอร์ตักซอสทงคัตสึที่เธอทำเองลงบนเนื้อหมูทอด เอซใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อขึ้นมาชิม
“อืม…อร่อยมาก” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงประทับใจ
“แน่นอนสิ ฝีมือฉันเลยนะ” เวสเปอร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม
มื้ออาหารที่เรียบง่ายกลายเป็นช่วงเวลาที่ช่วยคลายความตึงเครียด ทั้งสองพูดคุยเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก่อนจะจบมื้ออาหารด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
.
.
แสงจากโคมไฟระย้าสีเงินสะท้อนกับกระจกบานใหญ่ในห้องประชุมของสมาพันธ์อเวค
ห้องที่เต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันและเยือกเย็น โต๊ะประชุมทรงรีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ขอบโต๊ะปักลายโลโก้ของสมาพันธ์อย่างประณีตแคลร์ คาเซลิน นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า ผมสีแดงสดของเธอเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟ เธอสวมชุดคลุมสีดำเรียบหรูที่ช่วยเสริมบุคลิกอันทรงพลัง
“รายงานเกี่ยวกับดันเจี้ยนเมื่อเย็นนี้ ส่งมาที่โต๊ะฉันแล้วหรือยัง?” แคลร์ถามเสียงเรียบ
เลขาส่วนตัวของเธอซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆรีบตอบทันที “ครับท่านประธาน ทุกอย่างถูกรวบรวมเรียบร้อยแล้ว เราพบว่าดันเจี้ยนปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันในพื้นที่นั้น แต่ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่ามีการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์มาก่อน”
แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ดันเจี้ยนไม่ควรจะเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ความผิดพลาดนี้เป็นของใคร”
ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เรากำลังตรวจสอบต้นเหตุ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเกิดจากอะไรครับ”
แคลร์เอนหลังพิงเก้าอี้ ท่าทางของเธอยังคงสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความคิดที่ซับซ้อน
"ผู้ที่จัดการดันเจี้ยนครั้งนี้คือใคร” เธอถาม
“เป็นผู้อเวคสองคนครับ หนึ่งในนั้นเป็นมือใหม่แรงค์ F ชื่อเวสเปอร์ มอนต์ทีร่า อีกคนไม่ใช่สมาชิกของกิลด์ใดๆ เลย”
แคลร์หรี่ตาลงเล็กน้อย “มือใหม่ระดับ F ที่จัดการดันเจี้ยนได้งั้นเหรอ มันดูไม่สมเหตุสมผล”
แคลร์หยิบปากกาขึ้นมาหมุนเล่นในมือขณะที่จ้องมองเอกสารตรงหน้า “บันทึกนี้บอกอะไรเกี่ยวกับเวสเปอร์บ้าง”
เลขาเปิดแฟ้มอีกเล่มขึ้นมา “เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า เป็นผู้อเวคระดับต่ำสุด มีพลังควบคุมเวลา แต่พลังนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาเต็มที่ เธอเคยสมัครเข้ากิลด์เล็กๆแต่ก็ถูกปฏิเสธหลายครั้ง”
“พลังเวลา…” แคลร์พึมพำเบาๆก่อนจะพูดต่อ “และอีกคนคือใคร”
“ไม่มีข้อมูลชัดเจนครับ” เลขาตอบ “เขาไม่ได้เป็นสมาชิกกิลด์ใดๆและไม่มีประวัติในฐานข้อมูลของสมาพันธ์”
คำตอบนั้นทำให้แคลร์นิ่งคิด เธอเคาะปลายปากกาลงบนโต๊ะเบาๆเสียงนั้นก้องในห้องประชุมที่เงียบสงัด
“ฉันต้องการให้ติดตามความเคลื่อนไหวของเวสเปอร์และผู้ชายอีกคนที่อยู่กับเธอ” แคลร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่กลายเป็นภัยต่อสมาพันธ์ และถ้าจำเป็น ฉันต้องการไปพบพวกเขาด้วยตัวเอง”
“รับทราบครับท่านประธาน”
เมื่อทุกคนในห้องประชุมพยักหน้า แคลร์ก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีฟ้าของเธอฉายแววเย็นชา “พวกคุณทุกคนควรจำไว้ว่า สมาพันธ์ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อควบคุมพลังที่อาจเป็นอันตรายต่อโลกด้วย”
หลังจากจบการประชุม แคลร์เดินออกจากห้องไป เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอดังก้องในทางเดินยาว เธอหยุดอยู่ที่หน้าต่างบานใหญ่ มองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
“เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า…” เธอพึมพำเบาๆ ชื่อของหญิงสาวคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างค้นหาเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง บางคนเกิดมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่า พลังอเวค มันไม่ใช่สิ่งที่ใครเลือกได้ แต่เป็นพรจากธรรมชาติ หรือในบางครั้งอาจเป็นคำสาปที่มอบให้โดยไร้ความเมตตาพลังเหล่านี้คือความสามารถเฉพาะตัวที่ปรากฏในมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด บางคนอาจเกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่ เช่น การควบคุมเปลวเพลิง การรักษาบาดแผล หรือการบงการธาตุธรรมชาติ ขณะที่บางคนได้รับพลังที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ในตอนแรก เช่น การเร่งการเติบโตของพืช หรือการได้ยินเสียงกระซิบจากระยะไกล แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความไม่แน่นอน ทุกพลังล้วนซ่อนศักยภาพที่คาดไม่ถึง การค้นพบพลังและจุดเริ่มต้นของความแตกต่างพลังอเวคเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อสองศตวรรษก่อน มันมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เหตุการณ์ธรรมชาติอันรุนแรง หรือบางทีอาจเป็นผลพวงของพลังจักรวาลที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ พลังนี้ทำให้ผู้คนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครในครอบครัวเดียวกันจะมีพลังเหมือนกัน มันคือเครื่องหมายเฉพาะตัวที่ฟ้ากำหนดเด็กที่แสดงพลังอเวคตั้งแต่อายุยังน้อย มักจะถูกจับตามอง หากพลังนั้นดูมีประโยชน์ พวกเขาอาจถูกยกย่องให้เป็น ผ
ยามเช้าที่อึมครึมด้วยแสงอาทิตย์จางๆ และเสียงนกร้องในระยะไกล เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า ก้าวออกจากห้องเช่าขนาดเล็กในย่านชานเมืองที่แออัด เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาหม่นที่พอดีตัว กางเกงสีดำเรียบง่าย และรองเท้าผ้าใบที่เคยเป็นสีขาวสะอาดแต่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนบ่งบอกถึงความเก่า เธอรวบผมสีดำยาวที่เป็นประกายราวกับไหมพรมซึ่งตัดกับดวงตาสีเขียวที่ดูสงบนิ่งและแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง เธอมีผิวพรรณขาวซีดราวกับคนที่ไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้น รูปร่างของเธอกลับดูสมส่วน มีความสง่างามที่แฝงอยู่ในท่าทางการเดินที่มั่นคงเธอใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาทีจากที่พักไปยังร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานอยู่ ร้านตั้งอยู่ที่มุมถนนใหญ่ ใกล้กับทางแยกที่มีรถราขวักไขว่ เธอผลักประตูกระจกที่เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือออก เสียงกระดิ่งเล็กๆเหนือประตูดังขึ้นเบาๆก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วและเริ่มเช็ดเคาน์เตอร์โดยไม่รอให้ใครสั่งเธอทำงานที่นี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอล้มเลิกความฝันในการเป็นผู้อเวค การใช้พลังควบคุมเวลาที่ใครหลายคนมองว่าเป็นพรสวรรค์ที่หายากของเธอ ไม่ได้นำพาเธอไปสู่ความยิ่งใหญ่ แต่กลับผลักเธอลงไปในมุมอั
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร