เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน
เธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัว
เสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”
เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา
“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีพลังแบบนี้”
เวสเปอร์เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาสีเขียวของเธอแฝงไปด้วยความสับสน เธอไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับพลังของเธอ ไม่ใช่เพราะเธอกลัวพวกเขาจะกลัว แต่เพราะเธอไม่อยากให้ใครมองเธอว่ามีพลังที่ไร้ประโยชน์
“ฉัน… ไม่อยากพูดถึงมัน” เธอตอบเบา ก่อนจะลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวฉันช่วยเก็บของ”
เพื่อนร่วมงานไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าและหันกลับไปจัดการกับชั้นวางสินค้าที่ล้มระเนระนาด
หลังจากทั้งสองคนช่วยกันเก็บกวาดจนร้านกลับมาอยู่ในสภาพที่พอใช้งานได้ เวสเปอร์เดินออกไปด้านหลังร้าน เธอเอนตัวพิงกำแพงเย็นๆและหลับตาลง เธอต้องการเวลาสักครู่เพื่อเรียกสติกลับมา
เสียงลมพัดเบาๆในความมืดทำให้เธอรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้องอยู่
“คุณทำได้ดีมากนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืด
เวสเปอร์ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเห็นหญิงสาวในชุดเกราะสีเงินที่เคยใช้พลังเพลิงเมื่อครู่ยืนอยู่ในเงามืด ไม่ไกลจากเธอ
“คุณ…” เวสเปอร์พูดเบาๆขณะที่เธอพยายามมองหาเหตุผลว่าทำไมหญิงคนนี้ยังอยู่ที่นี่
“ฉันชื่อไอริส” หญิงสาวพูดพร้อมกับก้าวออกมาสู่แสงไฟเล็กน้อย “ฉันอยากคุยกับคุณ”
เวสเปอร์ลังเล แต่สุดท้ายเธอก็พยักหน้า “คุยเกี่ยวกับอะไร?”
ไอริสยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พลังของคุณ ฉันไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงทิ้งชีวิตของผู้อเวคทั้งๆที่มีพลังที่หายากมาครอบครอง แต่ฉันเห็นสิ่งที่คุณทำเมื่อก่อนหน้านี้ และฉันคิดว่าคุณมีศักยภาพที่มากกว่าที่คุณคิด”
เวสเปอร์หลบสายตา เธอรู้สึกไม่สบายใจกับคำชมนี้
“ฉันไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น” เธอตอบ “ฉันแค่… พยายามช่วยคนอื่นเท่านั้น”
ไอริสหัวเราะเบาๆ “นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คุณพิเศษ คุณรู้ไหมว่ามีผู้อเวคกี่คนที่ใช้พลังของพวกเขาเพียงเพื่อตัวเอง แต่คุณกลับใช้มันเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แม้ว่าคุณจะรู้ว่าคุณอาจจะไม่รอดก็ตาม”
คำพูดของไอริสทำให้เวสเปอร์นิ่งไปชั่วขณะ เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ในมุมนี้มาก่อน
“ฉันแค่อยากให้คุณลองคิดดู” ไอริสพูดต่อ “ถ้าคุณสนใจที่จะพัฒนาพลังของคุณ และค้นหาว่าคุณสามารถทำอะไรได้อีกมากแค่ไหน คุณสามารถติดต่อฉันได้”
เธอยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆให้เวสเปอร์ ซึ่งมีที่อยู่และสัญลักษณ์ของกิลล์ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน
หลังจากไอริสจากไป เวสเปอร์ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอมองกระดาษในมือก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋าโดยไม่พูดอะไร
เธอกลับเข้ามาในร้าน เพื่อนร่วมงานของเธอกำลังนั่งพักอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาเงยหน้ามองเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกอย่างจะดีขึ้นนะ ฉันมั่นใจ”
เวสเปอร์ไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแต่พยักหน้าและนั่งลงข้างๆเขา ขณะที่ในใจของเธอยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยและความกลัว
คืนนั้น เวสเปอร์กลับมาที่ห้องเช่าของเธอ เธอวางตัวลงบนเตียงที่มีเพียงผ้าห่มบางๆและหมอนใบเล็ก เธอหยิบกระดาษที่ไอริสให้มาออกมาดูอีกครั้ง
คำถามในใจของเธอเริ่มเด่นชัดขึ้น “ฉันควรทำยังไงต่อไปดีนะ”
เธอรู้ดีว่าการเดินกลับเข้าไปในโลกของผู้อเวคอาจจะนำมาซึ่งอันตรายและความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้เธอเริ่มเชื่อว่าพลังของเธออาจมีค่าในแบบที่เธอไม่เคยเห็น
เวสเปอร์นอนอยู่บนเตียงแคบๆในห้องเช่าของเธอ แสงไฟจากถนนด้านนอกลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำแสงบางๆ เธอนอนไม่หลับ ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
กระดาษที่ไอริสให้ไว้วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียง เธอมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว
เธอเคยปิดกั้นตัวเองจากทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ระบบและพลังอเวค แต่คำพูดของไอริสทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง
สุดท้ายเธอลุกขึ้นนั่ง หยิบสร้อยคอเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักออกมา จี้บนสร้อยนั้นดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันเป็นกุญแจสำคัญที่เชื่อมโยงเธอกับระบบ
เธอกำสร้อยนั้นไว้แน่น สูดหายใจลึกก่อนเอ่ยคำที่ไม่ได้พูดออกมานานหลายปี
“ระบบ… เปิดสถานะ”
เสียงกลไกเบาๆดังขึ้นในหัวของเธอ และในทันทีนั้น หน้าต่างโปร่งแสงสีฟ้าปรากฏขึ้นกลางอากาศ ข้อมูลต่าง ๆ เริ่มแสดงขึ้นทีละบรรทัด
[ข้อมูลผู้อเวค]
ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า
แรงค์: F
พลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis)
ค่าประสบการณ์ (EXP) : 100/500
พลังชีวิต (HP) : 120/120
พลังเวท (MP) : 300/300
พลังโจมตี (ATK) : 15
พลังป้องกัน (DEF) : 10
ความเร็ว (SPD) : 12
[สกิลที่มี]
1. Time Flicker: ชะลอเวลารอบตัวเป็นเวลา 3 วินาที (MP 50)
2. Temporal Pause: หยุดการเคลื่อนไหวของเป้าหมายเป็นเวลา 1 วินาที (MP 100)
3. Chrono Step: เคลื่อนที่ย้อนกลับไปในตำแหน่งเดิม 2 วินาทีก่อนหน้า (MP 80)
เวสเปอร์จ้องมองค่าประสบการณ์ของเธอ 100/500 ตัวเลขนั้นปรากฏขึ้นชัดเจน เธอไม่เคยเห็นหน้าต่างนี้มานานหลายปี และเธอจำได้ว่าในครั้งสุดท้าย ค่าประสบการณ์ของเธออยู่ที่ศูนย์
“100? …” เธอพึมพำเบาๆความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ผุดขึ้นมาในหัว
ตอนที่เธอช่วยพาเด็กหญิงและชายหนุ่มออกจากร้าน ตอนที่เธอใช้พลังปกป้องพวกเขา ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ทั้งหมดนี้… คือสิ่งที่ระบบนับเป็นค่าประสบการณ์งั้นหรอ?
เธอรู้สึกทั้งตกใจและสับสน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็นำมาซึ่งความหวังเล็กๆ
เธอเลื่อนสายตาไปยังส่วนของสกิลที่แสดงอยู่ในหน้าต่างสถานะ สกิลที่เธอเคยคิดว่าไม่มีประโยชน์ ตอนนี้กลับดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่เธอไม่เคยเห็น
“Time Flicker…” เธอพูดชื่อสกิลแรกออกมาเบาๆ
เธอจำได้ว่าเคยลองใช้มันหลายครั้งในอดีต แต่ทุกครั้งมันไม่ได้ผลอย่างที่เธอหวัง เพราะช่วงเวลาที่ชะลอลงนั้นสั้นเกินไปสำหรับการจะทำอะไรสักอย่าง
เธอจ้องไปที่ปุ่มเล็กๆที่อยู่ใต้สกิล ซึ่งเขียนว่าพัฒนาสกิลใต้ปุ่มนั้นมีข้อความระบุเงื่อนไขชัดเจน
ต้องการ 100 ค่าประสบการณ์เพื่อพัฒนาสกิล
เธอหลับตาลงชั่วขณะ ในใจของเธอยังคงมีเสียงสองเสียงโต้เถียงกัน หนึ่งเสียงบอกให้เธอหยุด อย่ากลับไปสู่วังวนของโลกที่เธอเคยล้มเหลว ขณะที่อีกเสียงหนึ่งบอกให้เธอลองอีกครั้ง
ในที่สุด เธอสูดหายใจลึกและเอื้อมมือไปแตะปุ่มพัฒนาสกิลนั้น
ทันใดนั้น แสงสีทองจ้าปรากฏขึ้นจากหน้าต่างสถานะ เธอรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ไหลผ่านร่างกายของเธอ มันไม่ได้ทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันเหมือนกับการปลดล็อกบางสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่
ข้อความใหม่ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างสถานะ
“Time Flicker ได้รับการพัฒนาเป็น Time Fracture: ชะลอเวลารอบตัวเป็นเวลา 5 วินาที และลดความเร็วศัตรูลง 30%”
เวสเปอร์จ้องมองข้อความนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้อีกครั้ง เธอลุกขึ้นยืนและเดินไปยังพื้นที่ว่างในห้องและลองใช้สกิลที่พัฒนาแล้ว
“Time Fracture” เธอพูดเบาๆ
ทันใดนั้น เวลารอบตัวเธอเริ่มช้าลงอีกครั้ง แต่คราวนี้มันยาวนานกว่าที่เธอคาดคิด นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังดูเหมือนจะหยุดนิ่ง เธอเดินไปหยิบแก้วน้ำจากโต๊ะและวางมันกลับลงไปในตำแหน่งเดิมก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเร็วปกติ
เธอรู้สึกเหนื่อยน้อยลงกว่าที่คิด และสิ่งนี้ทำให้เธอเริ่มมองเห็นศักยภาพของพลังที่เธอเคยปฏิเสธ
“บางที… ฉันอาจไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่คิด” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ
ในคืนนั้น เวสเปอร์นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอทำในวันนี้คือก้าวแรกในการกลับเข้าสู่โลกที่เธอเคยหนีออกมา
เธอไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะนำพาเธอไปที่ใด แต่ในใจของเธอเริ่มมีความมุ่งมั่นที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ฉันจะลองอีกครั้ง” เธอกล่าวเบาๆราวกับสัญญากับตัวเอง “ฉันจะพัฒนาตัวเองและไปให้ไกลกว่านี้”
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร