ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด
“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก
“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง
“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตา
ทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้า
รอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก
“เอซ…นั่นมัน…”
“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
จากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์
“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย” เวสเปอร์พูดพลางกำหมัดแน่น
“เธอไม่มีทางเลือก” เอซตอบ “ถ้าเธอไม่จัดการมันตอนนี้ มันจะกลายเป็นภัยที่ใหญ่กว่านี้ และถ้าคิดว่าจะรอให้กิลล์มาถึงล่ะก็เลิกคิดไปได้เลย”
เวสเปอร์สูดลมหายใจลึกก่อนจะเรียกพลังที่เธอฝึกฝนมา “Time Fracture!”
เวลารอบตัวชะลอลง มอนสเตอร์ตัวนั้นดูเหมือนจะเคลื่อนไหวช้าลง เวสเปอร์พุ่งตัวเข้าไปใกล้ ใช้แรงทั้งหมดที่มีเตะเข้าที่ขาของมัน แต่มันกลับไม่ล้มลงง่ายๆ
มอนสเตอร์คำรามลั่นก่อนจะสะบัดขาหน้าของมันเข้าใส่เธอ เวสเปอร์หลบได้อย่างหวุดหวิด แต่แรงลมจากการโจมตีทำให้เธอเสียสมดุลและล้มลง
“เธอจะต้องเร็วและแม่นยำกว่านี้!” เอซตะโกน
มอนสเตอร์อีกตัวปรากฏตัวจากรอยแยก เวสเปอร์ที่ยังไม่ทันตั้งตัวถูกมันพุ่งเข้าจู่โจมจากด้านหลัง เธอหันกลับมาแต่ไม่ทันหลบ เล็บของมันเฉียดไปที่แขนซ้ายของเธอ ทิ้งรอยแผลตื้นๆแต่เจ็บแสบ
“โอ๊ย!” เวสเปอร์ร้องออกมา
“เธอช้าเกินไป!” เอซตะโกนพลางใช้พลังแรงโน้มถ่วงผลักมอนสเตอร์ตัวนั้นออกไปชั่วคราว
เวสเปอร์พยายามลุกขึ้น แต่ร่างกายของเธอเริ่มรู้สึกหนักจากความเหนื่อยล้า มอนสเตอร์สามตัวล้อมรอบเธอ เหมือนกับว่าพวกมันรอเวลาที่จะโจมตีพร้อมกัน
“ฉันไม่ไหวแล้ว…” เวสเปอร์พึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
ทันใดนั้น เสียงคำรามของมอนสเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับที่พวกมันพุ่งเข้าหาเธอในเวลาเดียวกัน เวสเปอร์หลับตาเตรียมรับชะตากรรม แต่แทนที่จะรู้สึกถึงแรงกระแทก เธอได้ยินเสียงระเบิดเบาๆและสัมผัสได้ถึงแรงลมรุนแรง
เมื่อเธอลืมตาขึ้น เธอเห็นชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เขาสูงโปร่ง ผมสีเงินยาวสลวยสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น ดวงตาสีทองของเขาเจิดจ้าราวกับแสงดาว เสื้อคลุมสีดำพริ้วไหวตามสายลม และรอยยิ้มกึ่งกวนกึ่งอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าที่ดูหล่อเหลา
“เธอเกือบไปแล้วนะเวสเปอร์” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เธอคุ้นเคย
“เอซ…นี่นายเหรอ?” เวสเปอร์ถามด้วยความตกตะลึง
“แน่นอน” เขาตอบพลางสะบัดมือเบาๆแรงโน้มถ่วงรุนแรงทำให้มอนสเตอร์สามตัวลอยขึ้นกลางอากาศและตกลงมา
“นั่งพักเถอะเวสเปอร์” เอซพูดโดยไม่หันกลับมามอง เงาของเขาบดบังมอนสเตอร์ที่กำลังขยับเข้ามาใกล้
“แต่ว่า...”
“ฟังฉัน” เอซพูดเสียงต่ำ แต่ชัดเจน “ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ อย่าฝืน”
เวสเปอร์กัดฟันแน่น แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอรู้ว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงพอที่จะช่วยอะไรได้ เธอจึงพยายามถอยไปนั่งพิงต้นไม้ใกล้ๆปล่อยให้เอซรับมือกับมอนสเตอร์ตรงหน้า
มอนสเตอร์ตัวแรกพุ่งเข้าใส่เอซอย่างรวดเร็ว กรงเล็บยาวของมันสะท้อนแสงจันทร์จนดูน่ากลัว แต่เอซกลับยืนนิ่ง เขาเพียงยกมือขึ้นเล็กน้อย พลังแรงโน้มถ่วงที่มองไม่เห็นพุ่งออกมาจากฝ่ามือ
ทันใดนั้น มอนสเตอร์ตัวนั้นก็ถูกกดลงกับพื้น เสียงคำรามของมันแหลมสูงขณะที่ร่างของมันบิดเบี้ยวจากแรงที่กดทับ
“หนึ่งตัว” เอซพูดพลางสะบัดมือเบาๆก่อนที่มอนสเตอร์ตัวนั้นจะแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
มอนสเตอร์อีกสองตัวไม่รอช้า พวกมันพุ่งเข้ามาพร้อมกัน เอซหมุนตัวหลบได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความสง่างาม แต่ก็แฝงด้วยความรุนแรง
เอซยกมือขึ้นอีกครั้ง พลังแรงโน้มถ่วงพุ่งออกไปกดมอนสเตอร์ตัวหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ เขาบีบมือแน่น เสียงกระดูกของมันดังลั่นก่อนที่ร่างของมันจะระเบิด
ตัวสุดท้ายพยายามโจมตีจากด้านหลัง เอซหมุนตัวกลับมา ดวงตาสีทองของเขาประกายวูบวาบ เขายกเท้าขึ้นและกระแทกพื้น แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้มอนสเตอร์เสียหลักและล้มลง
“ไม่รู้จักเรียนรู้เลยสินะ” เอซพูดเบาๆก่อนจะปล่อยแรงโน้มถ่วงที่กดทับจนร่างของมันแหลกสลาย
ในขณะที่เอซกำลังจะหันกลับไปหาเวสเปอร์ รอยแยกสีดำเริ่มขยายตัวอีกครั้ง ร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่โผล่ออกมา ผิวหนังของมันเป็นเงาดำที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวได้เอง ดวงตาสีแดงฉายแสงราวกับเปลวเพลิง
“ดูเหมือนจะมีอะไรพิเศษมาให้เราเล่นอีกแล้ว” เอซกล่าวพลางยิ้มเล็กๆ
“นั่นมัน…บอสเหรอ” เวสเปอร์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ใช่” เอซตอบ “และมันใหญ่กว่าที่ฉันคาดไว้”
บอสคำรามเสียงดังจนพื้นดินสะเทือน มันพุ่งเข้ามาหาเอซด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
เอซยกมือขึ้นเพื่อหยุดการโจมตีของบอส แต่แรงจากกรงเล็บของมันกลับทะลวงผ่านเกราะแรงโน้มถ่วงของเขา เขาถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลัก
“แรงดีนี่” เขาพูดพลางยิ้มมุมปาก
บอสไม่ปล่อยให้เขาได้พัก มันพุ่งเข้ามาอีกครั้ง เอซหลบด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะใช้พลังแรงโน้มถ่วงสร้างพื้นที่ไร้น้ำหนักขึ้นรอบตัวบอส
“ลองแบบนี้ดูสิ” เขากล่าวก่อนจะเพิ่มแรงกดในพื้นที่นั้น
บอสคำรามลั่น ร่างของมันบิดเบี้ยวจากแรงที่กดทับ แต่กลับต้านทานได้อย่างน่าประหลาด เอซขมวดคิ้ว
“เวสเปอร์!” เขาตะโกน “ฉันต้องการให้เธอช่วย”
เวสเปอร์ที่ยังนั่งพักอยู่พยายามลุกขึ้น แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า แต่เธอก็พยายามรวบรวมพลังที่เหลืออยู่
“ฉันต้องทำอะไร” เธอถาม
“ใช้ Time Fracture!” เอซตอบ “ทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลง ฉันจะจัดการที่เหลือเอง”
เธอพยักหน้า สูดลมหายใจลึก และเรียกพลังของเธอออกมา
“Time Fracture!”
เวลารอบตัวชะลอลง บอสที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้เริ่มช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เอซฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าหามัน เขาใช้พลังแรงโน้มถ่วงเพิ่มน้ำหนักของหมัดตัวเอง ก่อนจะโจมตีเข้าที่หัวใจของบอส
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของบอสแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
เวสเปอร์ทรุดตัวลงกับพื้น หายใจหอบหนัก ส่วนเอซกลับยืนอยู่อย่างสง่างาม แม้จะดูเหนื่อยเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ
“เธอทำได้ดี” เขากล่าวขณะเดินเข้ามาหา “แต่เธอต้องพัฒนาอีกเยอะ”
“ขอบคุณที่ช่วย” เวสเปอร์ตอบ “แต่ครั้งหน้า…นายอย่าปล่อยให้ฉันเกือบตายอีกได้ไหม”
เอซหัวเราะเบาๆ “ไม่มีใครเรียนรู้จากการอยู่ในที่ปลอดภัย”
หลังจากที่บอสแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน ร่างของมันทิ้งบางสิ่งไว้บนพื้น ท่ามกลางเศษซากที่ยังหลงเหลือ แสงสว่างสีฟ้าจางๆเปล่งออกมาจากวัตถุทรงกลมเล็กๆที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
เอซเดินไปหยุดยืนตรงนั้น เขาเอื้อมมือหยิบวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมา ก่อนจะหันกลับไปหาเวสเปอร์ที่ยังคงนั่งพักอยู่ไม่ไกลกันนัก
“นี่ไง ของรางวัลสำหรับเธอ” เอซกล่าวพร้อมเดินเข้ามาใกล้
เอซส่งมอบวัตถุทรงกลมสีฟ้าใสให้กับเวสเปอร์ วัตถุนั้นมีลักษณะคล้ายคริสตัลขนาดเท่าฝ่ามือ ผิวของมันเรียบเนียนและเรืองแสงเบาๆราวกับมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
“นี่คืออะไร” เวสเปอร์ถามพลางรับมันมาด้วยความสงสัย
“Crystal of Timeflow” เอซตอบ น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความภูมิใจ “มันเป็นไอเทมที่ช่วยเสริมพลังของผู้ใช้เวลาหรือพลังที่เกี่ยวข้องกับมิติ เธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้มัน”
รายละเอียดของไอเทม
ชื่อไอเทม: Crystal of Timeflow
ประเภท: ไอเทมเสริมพลัง
การใช้งาน: เมื่อผู้ใช้ถือคริสตัลนี้ มันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมเวลาของพวกเขา ทั้งในด้านความแม่นยำและระยะเวลาที่พลังสามารถทำงานได้
คุณสมบัติพิเศษ:
1. Time Efficiency Boost: ลดการใช้ MP ของสกิลที่เกี่ยวข้องกับเวลา 20%
2. Enhanced Precision: เพิ่มความแม่นยำในการควบคุม Time Fracture ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตและระยะเวลาได้ดีขึ้น
3. Time Recovery: ช่วยฟื้นฟู MP เล็กน้อยทุกครั้งที่ใช้พลังควบคุมเวลา
เงื่อนไขการใช้งาน:
• ไอเทมนี้ต้องการการเชื่อมโยงกับพลังของผู้ใช้อย่างสมบูรณ์
• ประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นตามระดับความชำนาญของผู้ใช้
เวสเปอร์จ้องมองคริสตัลในมือ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากมัน มันดูเหมือนจะตอบสนองต่อพลังในตัวเธอ
“ลองดูสิ” เอซกล่าวพร้อมยิ้มเล็กๆ
เวสเปอร์สูดลมหายใจลึก ก่อนจะปล่อยพลังบางส่วนเข้าสู่คริสตัล แสงสีฟ้าจากวัตถุนั้นเรืองแสงเจิดจ้า ชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับมัน
“มัน…ทำให้ฉันรู้สึกมั่นคงขึ้น” เวสเปอร์พูดด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เพราะมันปรับจูนพลังของเธอให้สมดุล” เอซอธิบาย “ลองใช้ Time Fracture ดูสิ”
เวสเปอร์พยักหน้าและเรียกพลังออกมาอีกครั้ง
“Time Fracture”
เวลารอบตัวเธอชะลอลงเหมือนเคย แต่คราวนี้เธอรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง การเคลื่อนไหวของเธอแม่นยำขึ้น และพลังที่ใช้ก็น้อยลง
“นี่มันเหลือเชื่อมาก!” เวสเปอร์พูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“มันจะช่วยให้เธอฝึกฝนได้ง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ต้องพัฒนา” เอซกล่าวเตือน “ไอเทมเป็นเพียงเครื่องมือ มันขึ้นอยู่กับเธอว่าจะใช้มันได้ดีแค่ไหน”
หลังจากทดลองใช้งานคริสตัล เวสเปอร์รู้สึกถึงความหวังใหม่ที่เกิดขึ้นในใจ แม้การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบที่ยากลำบาก แต่รางวัลที่ได้มานั้นก็คุ้มค่า
“ขอบคุณนะ เอซ” เวสเปอร์พูดพร้อมมองคริสตัลในมือ
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน ขอบคุณตัวเธอเองที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้” เอซตอบ ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้าที่เริ่มกลับสู่ความสงบ
“เอาล่ะ เราควรจะหาทางกลับห้องพักก่อนที่กิลล์จะมาแล้วเรื่องมันจะยุ่งยากกว่าเดิม”
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างค้นหาเอกลักษณ์และคุณค่าของตนเอง บางคนเกิดมาพร้อมสิ่งที่เรียกว่า พลังอเวค มันไม่ใช่สิ่งที่ใครเลือกได้ แต่เป็นพรจากธรรมชาติ หรือในบางครั้งอาจเป็นคำสาปที่มอบให้โดยไร้ความเมตตาพลังเหล่านี้คือความสามารถเฉพาะตัวที่ปรากฏในมนุษย์ตั้งแต่กำเนิด บางคนอาจเกิดมาพร้อมกับพลังที่ยิ่งใหญ่ เช่น การควบคุมเปลวเพลิง การรักษาบาดแผล หรือการบงการธาตุธรรมชาติ ขณะที่บางคนได้รับพลังที่ดูเหมือนไร้ประโยชน์ในตอนแรก เช่น การเร่งการเติบโตของพืช หรือการได้ยินเสียงกระซิบจากระยะไกล แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความไม่แน่นอน ทุกพลังล้วนซ่อนศักยภาพที่คาดไม่ถึง การค้นพบพลังและจุดเริ่มต้นของความแตกต่างพลังอเวคเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อสองศตวรรษก่อน มันมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เหตุการณ์ธรรมชาติอันรุนแรง หรือบางทีอาจเป็นผลพวงของพลังจักรวาลที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจ พลังนี้ทำให้ผู้คนแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครในครอบครัวเดียวกันจะมีพลังเหมือนกัน มันคือเครื่องหมายเฉพาะตัวที่ฟ้ากำหนดเด็กที่แสดงพลังอเวคตั้งแต่อายุยังน้อย มักจะถูกจับตามอง หากพลังนั้นดูมีประโยชน์ พวกเขาอาจถูกยกย่องให้เป็น ผ
ยามเช้าที่อึมครึมด้วยแสงอาทิตย์จางๆ และเสียงนกร้องในระยะไกล เวสเปอร์ มอนต์ทีร่า ก้าวออกจากห้องเช่าขนาดเล็กในย่านชานเมืองที่แออัด เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีเทาหม่นที่พอดีตัว กางเกงสีดำเรียบง่าย และรองเท้าผ้าใบที่เคยเป็นสีขาวสะอาดแต่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนบ่งบอกถึงความเก่า เธอรวบผมสีดำยาวที่เป็นประกายราวกับไหมพรมซึ่งตัดกับดวงตาสีเขียวที่ดูสงบนิ่งและแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง เธอมีผิวพรรณขาวซีดราวกับคนที่ไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้น รูปร่างของเธอกลับดูสมส่วน มีความสง่างามที่แฝงอยู่ในท่าทางการเดินที่มั่นคงเธอใช้เวลาเดินเพียงไม่กี่นาทีจากที่พักไปยังร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานอยู่ ร้านตั้งอยู่ที่มุมถนนใหญ่ ใกล้กับทางแยกที่มีรถราขวักไขว่ เธอผลักประตูกระจกที่เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือออก เสียงกระดิ่งเล็กๆเหนือประตูดังขึ้นเบาๆก่อนที่เธอจะเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วและเริ่มเช็ดเคาน์เตอร์โดยไม่รอให้ใครสั่งเธอทำงานที่นี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอล้มเลิกความฝันในการเป็นผู้อเวค การใช้พลังควบคุมเวลาที่ใครหลายคนมองว่าเป็นพรสวรรค์ที่หายากของเธอ ไม่ได้นำพาเธอไปสู่ความยิ่งใหญ่ แต่กลับผลักเธอลงไปในมุมอั
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
หลังจากกลับมาถึงห้องพัก เวสเปอร์และเอซต่างปล่อยตัวเองลงบนโซฟา ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการฝึกที่หนักหน่วงในวันนั้น ขณะที่เอซนั่งอยู่บนพนักโซฟา เขายังคงใช้ดวงตาสีทองอันแหลมคมจับจ้องเธอเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเวสเปอร์หันไปมองเขาด้วยความสงสัย “นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”“ฉันกำลังคิดว่า…การฝึกในลานฝึกอย่างเดียวมันไม่พอ” เอซตอบ“นายคิดว่าไม่พอเหรอ แต่ฉันรู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้วนะ” เวสเปอร์พูดพลางหัวเราะเบาๆ“เธออยากจะเป็นแค่ผู้อเวคแรงค์ F ไปตลอดชีวิตไหมล่ะ” เอซถามเสียงเย็นคำพูดของเขาทำให้เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ความจริงที่เจ็บปวดทำให้เธอไม่มีคำตอบ“ถ้าเธออยากพัฒนา เธอต้องก้าวออกจากเขตปลอดภัย และเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” เอซพูดต่อ “ดันเจี้ยนคือสถานที่เดียวที่จะทำให้เธอเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง”เวสเปอร์ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเอซพูดถูก แม้ความคิดที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับดันเจี้ยนอีกครั้งจะทำให้เธอหวั่นใจ แต่ลึกๆแล้วเธอรู้ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ“ก็ได้…งั้นเราจะไปดันเจี้ยนกัน” เวสเปอร์ตอบในช่วงบ่ายของวันถัดมา เวสเปอร์และเอซใช้เวลาจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง พวกเขาเ
แสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ในยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างห้องพัก เสียงนกร้องคลอเคล้าสายลมเย็นๆที่พัดผ่านม่าน เวสเปอร์ลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกที่เต็มไปด้วยพลังใหม่ ร่างกายของเธอยังคงรู้สึกตึงเล็กน้อยจากการฝึกหนักและการต่อสู้ในดันเจี้ยนเมื่อวันก่อน แต่ในใจของเธอกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเอซที่เปลี่ยนไปเป็นร่างแมวนั่งขดตัวอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาสีทองของมันจ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ“ตื่นแล้วสินะ” เอซพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ฉันคิดว่าเธอคงจะนอนยาวไปทั้งวัน”เวสเปอร์หัวเราะเบาๆ “นายก็รู้ว่าฉันนอนไม่ได้นานขนาดนั้น ยังมีอะไรอีกเยอะที่ต้องทำ”“งั้นก่อนจะเริ่มวันใหม่ ลองเปิดระบบดูสิ” เอซพูดขึ้น “ฉันอยากเห็นว่าพลังของเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน”เวสเปอร์พยักหน้าและยกมือขึ้นเรียกหน้าต่างระบบ ข้อมูลที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด[ข้อมูลผู้อเวค]ชื่อ: เวสเปอร์ มอนต์ทีร่าแรงค์: Fพลังหลัก: การควบคุมเวลา (Chronokinesis) ค่าประสบการณ์ (EXP) : 0/500พลังชีวิต (HP) : 160/160 (+20 จาก Crystal of Timeflow) พลังเวท (MP) : 400/400 (+40 จาก Crystal of Timeflow) พลังโจมตี (ATK) : 22 (+4
หลังจากที่เวสเปอร์และเอซเดินออกมาจากสนามต่อสู้อันโหดร้าย ร่างกายของเธอยังคงเหนื่อยล้าจากการเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์และบอสในดันเจี้ยน แม้พวกเขาจะออกจากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย แต่ความตึงเครียดยังคงลอยอยู่ในอากาศเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นจากระยะไกล เงาของกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์ โลโก้สีทองของ กิลด์เซเลสเทียร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิลด์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งผู้อเวคสะท้อนกับแสงจางๆ“ให้ตายเถอะ ดันมาเจอจนได้” เอซพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะเวสเปอร์หันไปมองกลุ่มคนที่กำลังใกล้เข้ามา ท่าทางของพวกเขาดูจริงจังและเต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพท่ามกลางกลุ่มผู้อเวคที่มากับกิลด์เซเลสเทียร์ หญิงสาวคนหนึ่งดึงดูดสายตาของทุกคน เธอก้าวเดินอย่างมั่นคงด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจและเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตาได้เธอคือ แคลร์ คาเซลิน ประธานของ สมาพันธ์อเวคสมาพันธ์ที่คอยควบคุมดูแลกิลด์ต่างๆทั่วโลก ความสง่างามของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างต้องหลบสายตาด้วยความเกรงขามแคลร์มีเรือนผมสีแดงสดที่ยาวสยายถึงกลางหลัง มันเปล่งประกายเหมือนเปลวไฟที่ไม่อาจดับได้ ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทำให้ผู้ที่จ้องมองรู้ส
ยามเย็นที่เงียบสงบพัดผ่านร่างของเวสเปอร์และเอซขณะที่พวกเขาเดินทางกลับห้องพัก แสงสีส้มอ่อนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ซ่อนเร้นความลึกลับบางอย่างในเงามืด“วันนี้ฉันทำได้ดีไหม” เวสเปอร์เอ่ยถาม ขณะที่ขยับแขนที่รู้สึกเมื่อยล้าจากการฝึกหนัก“ก็ดี…ในแบบของมือใหม่” เอซตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจัง“ขอบคุณสำหรับคำชมที่เหมือนกำลังเหน็บแนม” เวสเปอร์พูดพร้อมกลอกตาทั้งสองเดินผ่านพื้นที่เปิดโล่งที่เป็นทางลัดกลับห้องพัก บรรยากาศดูเงียบสงบจนผิดปกติ ทันใดนั้น ลมแรงกว่าปกติพัดผ่าน ทำให้ต้นไม้รอบๆโยกไหว เสียงแหลมแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้ารอยแยกสีดำสนิทปรากฏขึ้นกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เคยอบอุ่นกลับกลายเป็นมืดมน เงามืดที่แผ่ออกมาจากรอยแยกนั้นดูเหมือนจะกลืนกินทุกสิ่ง เวสเปอร์หยุดเดิน หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นตระหนก“เอซ…นั่นมัน…”“ดันเจี้ยน” เอซตอบ ดวงตาสีทองของมันจับจ้องไปยังรอยแยกโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆจากรอยแยกนั้น มอนสเตอร์ตัวแรกปรากฏออกมา มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่า ผิวหนังเป็นเงามืดที่เหมือนกับควัน ดวงตาสีแดงสดของมันจับจ้องไปที่เวสเปอร์“ครั้งแรกของฉันกับมอนสเตอร์…ดู
แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเล็กๆ เช่นทุกวัน เสียงนกร้องรับอรุณผสานกับสายลมเย็นที่พัดเบาๆทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มเจิดจ้า เธอเห็นเอซนอนขดตัวอยู่บนโต๊ะเล็กข้างหน้าต่าง มันดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่ทันทีที่เธอขยับตัว เสียงหาวเบาๆของมันก็ดังขึ้น“เช้านี้ตื่นช้าจังนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียนกึ่งจริงจังเวสเปอร์ยกคิ้วพลางยืดแขนออก “ฉันไม่ได้ขี้เกียจนะ นายเองต่างหากที่ดูเหมือนจะชอบตื่นก่อนฉันทุกวัน”“แน่นอน หน้าที่ของฉันคือเฝ้าดูว่าเธอจะขี้เกียจหรือเปล่า” เอซตอบด้วยรอยยิ้มกวนๆเธอหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อเธอจัดการตัวเองเรียบร้อย เอซก็เดินนำเธอออกจากห้องเพื่อไปยังลานฝึกที่พวกเขาใช้เป็นประจำเมื่อมาถึงลานฝึก เวสเปอร์สังเกตว่าบรรยากาศวันนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย อาจเป็นเพราะความเงียบสงบที่เหมือนจะซ่อนพลังงานบางอย่างเอาไว้ หรืออาจเป็นเพราะสายตาของเอซที่ดูจริงจังผิดปกติ“วันนี้นายดูเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษนะ” เวสเปอร์กล่าวขณะวางกระเป๋าของเธอลง“แน่นอน” เอซตอบขณะเดินขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ “วันนี้เธอจะ
เสียงนกร้องรับแสงแรกของวันดังก้องอยู่ในอากาศ เวสเปอร์ตื่นขึ้นจากการหลับใหลด้วยความเมื่อยล้าจากการฝึกหนักในวันก่อน แต่เมื่อเธอหันไปมองเห็นเอซกำลังนั่งบนโต๊ะเล็กใกล้หน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองทองของมันจ้องมองเธอราวกับกำลังบอกว่าการพักผ่อนของเธอสิ้นสุดลงแล้ว“ตื่นได้แล้ว เวสเปอร์” เอซพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เร่งเร้า แต่ฟังดูมีความจริงจังพอที่จะทำให้เธอลุกจากเตียงเธอลุกขึ้นและยืดร่างกายเบาๆก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็กๆขณะมองตัวเองในกระจก เธอเห็นดวงตาที่อ่อนล้า แต่กลับมีแววของความมุ่งมั่นหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ เธอก็พบว่าเอซได้ออกมายืนรออยู่ตรงประตูทางออกของห้องเช่า“วันนี้ฉันคิดว่าเธอจะตื่นสายกว่านี้เสียอีก” เอซพูดพลางหาวเบาๆ “โชคดีที่เธอยังรู้หน้าที่”“อย่ากวนได้ไหม ฉันก็ลุกขึ้นมาพร้อมแล้วนี่ไง” เวสเปอร์ตอบกลับเอซยิ้มเย้ยๆก่อนจะเดินนำเธอไปยังลานฝึกลานฝึกยามเช้านั้น แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมายังลานฝึกทำให้พื้นที่รกร้างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เศษซากอาคารเก่ายังคงอยู่ที่เดิม แต่ต้นไม้เล็กๆรอบข้างดูเหมือนจะเขียวชอุ่มขึ้นเอซกระโดดขึ้นไปนั่งบนก้อนหินขนาดใหญ่ตรงกลางลานก่อนจะหันมามองเวสเป
แสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ เธอรู้สึกถึงไออุ่นของแสงแดดที่ทอดผ่านม่านบางๆ ลงบนใบหน้า เสียงนกร้องแผ่วเบาในยามเช้าช่วยปลุกให้เธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลเธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตายังปรับตัวกับแสงที่เริ่มจ้า เธอหันไปมองแมวตัวโตเต็มวัยที่นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะ มันกำลังหายใจสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลับลึก“นี่คือผู้ช่วยของฉันเหรอจริงๆเหรอเนี่ย” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางถอนหายใจทันใดนั้น ดวงตาสีเหลืองทองของแมวตัวนั้นก็ลืมขึ้น และเอซก็ยืดตัวขึ้นอย่างเกียจคร้านก่อนจะหาว“อย่าคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เธอพูดนะ” เอซกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่แฝงไปด้วยความขบขัน “และใช่ ฉันคือผู้ช่วยของเธอ แต่ถ้าเธอยังสงสัย ฉันก็ไม่ว่าอะไร เราจะได้พิสูจน์กันวันนี้แหละ ว่าเธอสมควรได้รับความช่วยเหลือจากฉันหรือเปล่า”เวสเปอร์ขมวดคิ้ว เธอพยายามจะไม่ใส่ใจกับคำพูดกวนๆของเอซมากนัก และลุกขึ้นไปล้างหน้าเตรียมตัวสำหรับวันใหม่หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย เวสเปอร์พบว่าเอซกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเล็กในท่าที่ดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง ดวงตาของมันจับจ้องเธอราวกับกำลังประเมิน“พร้อมจะเริ่มหรือยัง” เอซถามด้วยน้ำเส
เช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเช่าของเวสเปอร์ปลุกเธอให้ตื่น เธอลืมตาช้าๆพลางจ้องมองเพดานห้องเล็กๆที่เธออาศัยอยู่มาหลายปี มันเป็นห้องที่คุ้นเคยและแสนธรรมดา แต่วันนี้กลับรู้สึกต่างออกไปภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงชัดเจนอยู่ในหัวของเธอ เสียงคำรามของมอนสเตอร์ ความรู้สึกของเวลาที่ชะลอลงเมื่อเธอใช้พลัง และคำพูดของไอริสที่ยังคงก้องอยู่ในใจหลังจากลุกขึ้นเตรียมตัว เธอเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อที่เธอทำงานตามปกติ แต่ทันทีที่มาถึง เธอก็พบกับบางสิ่งที่ไม่คาดคิด ประตูร้านถูกปิดและป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ปิดปรับปรุง ถูกแขวนอยู่ด้านหน้า“เวสเปอร์!” เสียงของลุงมาร์ต เจ้าของร้านดังขึ้นจากด้านในร้านเวสเปอร์เดินเข้าไปหาเขาด้วยความสงสัย “ลุงคะ เกิดอะไรขึ้น?”ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตเก่าๆมองเธอด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เมื่อคืนร้านเราพังเละเทะใช่ไหมล่ะ ทางรัฐบาลบอกว่าจะเข้ามาช่วยซ่อมแซมให้ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะปิดร้านสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อปรับปรุงทุกอย่างให้เรียบร้อย”“แล้วพวกเราล่ะคะ จะให้ช่วยอะไรไหม” เวสเปอร์ถามอย่างกังวล“ไม่ต้องหรอก” ลุงมาร์ตตอบพลางโบกมือ “ฉันอยากให้พวกเธอพักผ่อนกันบ้าง ใช้เวลานี้ทำอะ
เวสเปอร์ยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อ แม้เวลาจะล่วงเลยไปถึงช่วงกลางดึกแล้ว แต่เธอยังรู้สึกเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ กลิ่นไหม้จากมอนสเตอร์และเศษกระจกที่กระจัดกระจายบนพื้นยังคงเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเธอเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำจากเคาน์เตอร์ มือของเธอสั่นเล็กน้อย เธอไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือความหวาดกลัวเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้เธอหันไปมอง เพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาจากด้านหลังร้านพร้อมกับผ้าขี้ริ้วในมือ เขาเหลือบมองเศษซากความเสียหายก่อนจะถอนหายใจหนักๆ“นี่มันเละเทะไปหมดเลย…” เขาพูดเบาๆพร้อมกับเริ่มเช็ดเศษเลือดและเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่บนเคาน์เตอร์ “ฉันไม่รู้ว่าเราจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมเองหรือเปล่า แต่หวังว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”เวสเปอร์พยักหน้าช้าๆโดยไม่ได้ตอบอะไร เธอจ้องมองมือของตัวเองที่ยังมีรอยแดงจากการจับถังดับเพลิงเมื่อก่อนหน้านี้ ภาพมอนสเตอร์ที่พุ่งเข้าหาเธอยังคงติดตา“เธอ… โอเคไหม?” เพื่อนร่วมงานถาม เขาดูเหมือนจะลังเลก่อนจะพูดต่อ “ฉันหมายถึง… ที่เธอใช้พลังเมื่อกี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะ ฉันไม่เคยร