Chapter 2
หลังจากที่เดินซื้อของรวมถึงแวะรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ กว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบสองทุ่ม หญิงสาวทั้งสองช่วยกันขนของจากท้ายรถเดินเข้ามาวางไว้บนโต๊ะในห้องครัว “เดือนหน้าที่บริษัทมีวันหยุดยาวจะกลับบ้านไหม ?” ถลัชนันท์เอ่ยถามขึ้นขณะที่วางของ “จริง ๆ วันหยุดยาวมีตั้งแต่วันนี้และยาวไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้” หญิงสาวตอบกลับพลางหยิบของที่ซื้อมาจัดใส่เข้าตู้เย็น “อย่าบอกนะว่าเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ?” “ใช่ที่ไหนล่ะ เพื่อนที่นี่ดีทุกคนแหละ แต่เดินทางไกล งานก็หนักเงินก็น้อย” หญิงสาวพูดพลางถอนหายใจออกมาเสียงดัง หันหน้ามามองพี่แล้วพูดต่อไปว่า “ก็มันกลับดึกนี่ ก็รู้ว่าขนาดวันหยุดบางทียังต้องเข้าไปเก็บผลการทดลองที่ทำค้างไว้เลย มันเหนื่อยและจอมก็อยากทำงานที่ขึ้นตำแหน่งสูงมากกว่านี้ได้ด้วย” “แล้วบอกแม่หรือยัง ?” ลฎาภาส่ายหน้าทันที “มีหวังให้กลับมาช่วยทำงานที่บ้านแน่ ๆ” คนเป็นพี่ยิ้มหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ แน่นอนว่ารู้นิสัยของน้องสาวดีที่ไม่ชอบกลับไปทำงานรีสอร์ทที่บ้านเกิด เพราะต้องรับมือกับแขกเดาไม่ได้และรวมถึงเธอด้วย “แต่แกจะมานั่ง ๆ นอน ๆ แบบนี้โดยไม่หางานทำไม่ได้นะ” ลฎาภามองแล้วยิ้มออกมาด้วยสายตาอ้อนออด “เอาน่า จอมสัญญาว่าจะรีบหางานใหม่ให้ได้เร็ว ๆ” เฮ้อ...เสียงถอนหายใจของถลัชนันท์ดังขึ้นอีกครั้ง พลางเหล่มองน้องสาวที่กะพริบตาให้ “เออ รีบ ๆ ด้วยละกัน เงินเก็บฉันจะหมดเพราะแกนี่แหละ” “น่ารักที่สุดเลย !” เธอพูดเสียงหวาน เดินเข้ามากอดถลัชนันท์แน่น ก่อนจะคลายวงแขนออกและยิ้มหวานให้ ขณะที่คนเป็นพี่มองแล้วส่ายหน้าออกมาก่อนเดินออกจากห้องครัวไป เหลือเพียงลฎาภาที่ยืนยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ถูกไล่ให้กลับบ้านไปสักพักหนึ่งละนะ... อยากจะบ้าตายสุด ๆ ไปเลย ลฎาภาสบถในใจพลางเอนตัวลงพิงที่พนักเก้าอี้ หลังจากที่รออีเมลตอบกลับจากบริษัทหลายแห่งมาหลายวันแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีการตอบกลับอีกเช่นเดิม เธอยกมือขยี้เส้นผมสีน้ำตาลสั้นประบ่า มือข้างหนึ่งก็เอื้อมหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากินเพราะยังรออีเมล แต่จะปล่อยให้ว่างงานไปหลายเดือน ก็ไม่ได้ มีหวังต้องโดนบ่นแน่ หญิงสาวถอนหายใจพลางเปิดเข้าไปดูโพสต์ที่อัพเดทรวมทั้งข้อความที่บ่นเพ้อของเพื่อนสมัยเรียน ก่อนขยับตัวลุกขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตัดใจ ดูท่าแล้วคงไม่มีจดหมายตอบรับจากบริษัทที่ส่งใบสมัครงานไปแน่ ๆ ลฎาภาเดินออกจากห้องนอนมายังห้องครัวเพื่อหาอาหารว่างรับประทาน ทว่าเสียงถอนหายใจดังนับสิบรอบ ขณะเดินกลับขึ้นมานั่งอยู่หน้าจอคอมเช่นเดิม ทันใดนั้นก็มีเสียงอีเมลตอบกลับมา เธอจึงไม่รอช้าที่จะเปิดอ่านทันที ครั้นได้อ่านใบหน้าสวยที่บูดบึ้งอยู่นั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา “ได้แล้ว ๆ” หญิงสาวร้องออกมาด้วยความดีใจ ขณะที่ลุกขึ้นเต้นราวกับว่าถูกรางวัลก้อนใหญ่ แม้จะยังไม่รู้ผลตอบรับการเข้าทำงาน แต่บริษัทเรียกสัมภาษณ์งานนั้นถือเป็นเรื่องน่ายินดี อีกอย่างบริษัทใหญ่มีการตลาดดีทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งสวัสดิการพนักงานก็ดีด้วย สวรรค์ช่วยลูกแล้ว ! ลฎาภาดีใจอยู่นานก่อนจะรีบวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าในทันที มองเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปวันสัมภาษณ์ในวันอังคารหน้า จนกระทั่งผ่านไปแล้วสิบนาที เสื้อผ้าทั้งตู้ก็ถูกขนออกมาจนเกือบหมดแล้วก็ยังหาตัวที่เหมาะสมกับการใส่ยังไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะจัดเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ดังเดิม “ไปซื้อใหม่ก็ได้ เผื่อจะได้งานที่นี่” ลฎาภาพูดแล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว หลังจากอาบน้ำเสร็จเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมามองสายที่โทร. เข้า ก่อนกดรับ “ว่าไงคะ คุณพี่” [วันนี้กลับดึกนะ กะว่าจะไปกินดินเนอร์กับพี่อาร์ตสักหน่อย] “พอดีเลย จอมจะออกไปซื้อของอยู่” [งั้นแค่นี้นะ ปิดประตูบ้านให้ดีล่ะ] “รับทราบค่า” ลฎาภาวางสายเดินมาแต่งหน้าแล้วหยิบกระเป๋าออกจากห้องไปทันที หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ.... ถลัชนันท์ยืนรออยู่หน้าประตูห้องคอนโด ฯ ของเขามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว พอโทร. หาแฟนหนุ่มก็ปิดเครื่องไม่รับสาย จนสุดท้ายตัดสินใจที่จะใช้กุญแจสำรองที่ได้ให้เปิดเข้าไปรอข้างใน เกือบสองอาทิตย์ที่ไม่ได้พบหน้ากับชายหนุ่มเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายงานเยอะ โทร. หรือส่งข้อความไปก็มักจะบอกว่า ติดประชุมบ้าง เจ้านายเร่งงานบ้าง หรือต้องออกไปพบปะลูกค้า จึงทำให้ไม่กล้าโทร. มากวนมากเท่าไหร่ แต่มันก็นานมากจนทำให้เธอรู้สึกว่าเริ่มห่างกันออกไป หญิงสาวถอนหายใจออกมาเดินดูไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ไม่นานนักเธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจึงรีบเดินไปทว่าก็ ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งแทรกเข้ามาทำให้หยุดชะงักลงและหาที่ซ่อนทันที “มาอยู่กับฉันแบบนี้ แฟนคุณจะไม่ว่าเหรอคะ ?” เสียงหวานน่ารักออดอ้อนดังขึ้นจากหน้าประตู ถลัชนันท์รีบซ่อนตัวอยู่ในห้องครัว ยกมือปิดปากเงียบเอี้ยวหูฟังบทสนทนาของทั้งสองคน จนกระทั่งแสงสะท้อนผ่านเห็นเป็นเงาจึงรู้ว่าทั้งสองคนนั้นอยู่ฝั่งตรงโต๊ะที่เธอหลบอยู่ หญิงสาวมองเงาเห็นเป็นรูปร่าง มือทั้งสองก็กดปิดปากแน่นกลั้นเสียงเอาไว้ หยดน้ำตาไหลลงมาไม่รู้ตัว ร่างกายสั่นเทาจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น พอมองจากเงาจึงรู้ว่าแฟนหนุ่มของเธอกำลังกอดและจูบฝ่ายหญิงอยู่ เธอทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องนอกใจเธอ ? “นี่ อย่าสิ...เดี๋ยวแฟนคุณมาจะไม่ดีนะ” หล่อนพูดเสียงหวานเป็นเชิงห้ามแต่ก็เป็นการเชิญชวนอีกฝ่ายให้เข้าหา “ไม่มาหรอก เราคบกันมาปีหนึ่งแล้วนะ ยังไม่ถูกจับได้เลย” “งั้นก็เลิกกับมันซะสิ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เรื่องนั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้เรามาสนุกกันดีกว่านะ” ถลัชนันท์ได้แค่ฟังเสียงครางของทั้งสองคน ขณะกลั้นเสียงตัวเองเอาไว้มองเงาที่ผ่านลงมายังผนังกำแพงด้วยความเจ็บปวดใจ ก่อนเงานั้นจะหายไปและตามด้วยเสียงปิดประตูห้อง เธอจึงรู้ว่าทั้งสองคนได้เข้าไปในห้องนอนแล้ว ร่างกายทรุดลงเรี่ยวแรงแทบไม่มีเมื่อได้รู้ความจริง เขาคบกับเธอมาห้าปีกว่าแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าจะทำแบบนี้ ทั้งที่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะแต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยแล้ว ถลัชนันท์หัวเราะสมเพชกับตัวเองพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา ไม่ใช่ว่าไม่เคยอกหักหรือถูกนอกใจ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเจียนตาย หญิงสาวเดินออกมาหันมองไปยังประตูห้องนอนที่มีเสียงดังครางของทั้งสองคนเป็นระยะ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยจิตใจล่องลอย จะมีสักคนที่เชื่อใจได้จริง ๆ ไหม ? สักคนที่ไม่นอกใจ ถลัชนันท์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดด้วยซ้ำว่าได้เดินออกมานอกประตูคอนโดฯ ของชายหนุ่มแล้ว พอได้ยินเสียงแตรรถบีบเรียกให้ได้สติขึ้นมาก็หันมองแสงไฟที่ส่องจ้า แล้วรู้ว่าตัวเองนั้นได้ยืนอยู่ท่ามกลางถนน จึงรีบสาวเท้าวิ่งข้ามฝั่งอย่างรวดเร็ว ครั้นก่อนเดินต่อไปก็หันมองคอนโด ฯ อีกครั้ง และรีบหมุนตัวสาวเท้าเดินไปเพื่อขับรถออกไปทันที... “กลับมาแล้วเหรอ ?” เสียงใสของลฎาภาเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ลำพัง แต่ก็ต้องงุนงงเมื่อพี่สาวเดินผ่านไปโดยไม่ทักตอบ หญิงสาวไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะหยิบรีโมตที่อยู่ข้างตัวกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ทางด้านถลัชนันท์หลังจากที่ประตูห้องปิดลงแล้ว ก็ทรุดตัวนั่งลงร้องไห้สะอื้นออกมา ยังทำใจยอมรับความเจ็บปวดและภาพที่แสนจะบาดตานั้นไม่ได้ ไม่เคยรู้ที่เขาคบหญิงอื่นมาตลอดหนึ่งปีทั้ง ๆ ที่มอบความเชื่อใจให้ ...เธอนั่งเศร้าอยู่นาน พยายามทำใจให้เข้มแข็งและเลิกสนใจผู้ชายเฮงซวยคนนั้นก่อนตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปหยิบของทั้งหมดที่แฟนหนุ่มซื้อมาให้ในโอกาสต่าง ๆ ใส่ลงถุงขยะ ก่อนจะเปิดประตูห้องและขนออกมาให้หมดในรอบเดียวแล้วแบกลงมาชั้นล่างจนครบทั้งหมด “ทำอะไรน่ะ” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นหันมองด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นพี่สาวขนของจำนวนมากลงมาจากห้องนอน บางชิ้นเธอจำได้ว่าเป็นของที่เคยบอกว่าสำคัญเพราะแฟนหนุ่มเป็นคนซื้อให้ “ของแบบนี้ เอาไปทิ้งให้หมดเลย !” ถลัชนันท์ตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่น “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?” ถลัชนันท์นิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม เอาแต่ร้องไห้สะอื้นออกมาจนคนมองพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ลฎาภาเอ่ยถามอีกครั้ง ถลัชนันท์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ครั้นอยากจะเอ่ยปากเล่าทว่ายังทำใจไม่ได้ “ทำ…ไม…ฮือ ๆ …” “พี่อาร์ตบอกเลิกเหรอ” ลฎาภาเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางส่งสายตามองพี่สาว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา พี่สาวเอาแต่ร้องไห้ออกมา ครั้นจะพูดก็พูดไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพื่อที่จะพูดมันออกมา “เขานอกใจ…คนเลว…ฮือ ๆ…”Chapter 3“ทำ…ไม…ฮือ ๆ …”“พี่อาร์ตบอกเลิกเหรอ”ลฎาภาเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางส่งสายตามองพี่สาว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา พี่สาวเอาแต่ร้องไห้ออกมา ครั้นจะพูดก็พูดไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพื่อที่จะพูดมันออกมา“เขานอกใจ…คนเลว…ฮือ ๆ…”ลฎาภาก้าวมาใกล้ดึงพี่สาวเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมโดยไม่ถามอะไรเป็นการซ้ำเติม“ถ้าอยากจะร้องไห้ วันนี้ก็เสียใจให้สุด ๆ ไปเลยนะ แค่วันเดียว”หญิงสาวปลอบพลางใช้มือลูบหลัง เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มปัจจุบันที่คบกันอยู่นั้นพี่สาวจริงจังมากถึงขั้นอยากแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าเขานอกใจก่อนที่จะแต่งงาน“จอม…พี่รักเขานะ…ฮือ…พี่ยังรักเขา”ลฎาภาได้แค่เงียบเพราะไม่เคยมีแฟนจึงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่“เขานอกใจ…พี่…มะ…มาตลอดหนึ่งปี...”หญิงสาวฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองแทนเพราะว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาพี่สาวของหล่อนไม่เคยนอกใจฝ่ายชายเลยสักนิด แม้จะมีผู้ชายมากมายเข้ามาจีบหรือขอคุยด้วยแก้เหงาก็ตาม“จำที่แม่เคยบอกได้ไหม ? ผู้ชายที่รักจริง จะไม่มีวันนอกใจเด็ดขาด”คำนี้ถลัชนันท์ไม่เคยลืม ทว่าหัวใจข้างในจุกจนแทบหายใจไม่ออก
Chapter 4ลฎาภายกมือบีบกำแน่น ลูบใบหน้าแล้วเดินไปเดินมาในห้องน้ำสี่เหลี่ยมเพราะยังออกไปไหนไม่ได้ เป็นเวลาหลายนาทีจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาและข้อความที่เข้ามา แต่ก็ยังมีคนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดประตูออกไป สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่นั่งอยู่บนฝาชักโครก เธอหันไปวางโทรศัพท์บนชักโครกรวมถึงเอกสาร แล้วลุกขึ้นแนบหูกับประตู เพื่อฟังเสียงฝีเท้าอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงก๊อกเปิดล้างมือแล้วจึงก้มมองเงาที่ผ่านออกไป...รอจนกระทั่งทุกอย่างในห้องน้ำไม่มีเสียงลฎาภาหยิบกระเป๋าแล้วค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออกส่งสายตามองผ่านช่อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เธอจึงเปิดประตูออก ทว่า...“เฮ้ย...!!”เสียงอุทานดังขึ้นทำให้ลฎาภาตกใจและรีบก้มหน้าลงทันทีก่อนจะรีบหันตัวและวิ่งออกจากห้องน้ำไป แต่ก็ไม่ระวังเพราะมัวแต่ตกใจและอายจึงชนกับคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ“ผม...เข้าห้องผิด ?”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจพลางเดินถอยหลังดูสัญลักษณ์ข้างหน้าอีกครั้ง ทว่าคนชนทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี“มะ...ไม่ค่ะ ขอโทษค่ะ
Chapter 5 “ว่าไง” ถลัชนันท์พูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย [วันนี้จะไม่กลับบ้านหรือไง นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะ ไปอยู่ไหนน่ะ...แล้วนี่เสียงอะไรดังน่ารำคาญ...] “อยู่ที่ผับน่ะ วันนี้เครียดนิดหน่อย แกปิดบ้านเข้านอนไปก่อนเลย” หญิงสาวตอบก่อนกดวางสายทันที ดวงตากลมมองไปยังแสงสีเบื้องหน้าที่มีผู้คนมากมายต่างเต้นเย้าสะโพกส่ายไปมา แต่กับเธอเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่อยู่คนเดียวยิ่งทำให้เป็นบ้าตายเอาจริง ๆ “มาคนเดียวหรือครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ถลัชนันท์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ” เธอตอบแล้วหันหน้าหนี พลางยกเครื่องดื่มจิบไปเรื่อย ๆ ครั้นชายหนุ่มขยับตัวมาใกล้เธอจึงเหลือบมองและถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ช่วยกรุณาไปไกล ๆ หน้าด้วยนะคะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวเสียมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อหญิงสาวไม่เล่นด้วยเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ถลัชนันท์มองแล้วหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และสั่งเครื่องดื่ม “ผมเลี้ยงไหม
Chapter 6ผ่านมาแล้วหนึ่งวันกับการพยายามโทร. เข้าเครื่องของเธอเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายที่เก็บเครื่องไปนั้นจะยอมรับสายและยังไม่นำเครื่องของเธอไปขายทิ้งก่อน สุดท้ายแล้วก็เริ่มตัดใจเมื่อไม่มีคนรับ อีกทั้งยังถูกปิดเครื่องไปดื้อ ๆ อีกลฎาภานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พลางเอื้อมมือกดรีโมตโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ต้องรอผลการสัมภาษณ์อย่างไร้ความหวังนั้น ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน แม้ว่าจะติดต่อไปหลายบริษัท ทว่าช่วงนี้ยังไม่มีการรับพนักงานใหม่บ้าง หรือบางบริษัทก็มีพนักงานเต็มอัตราอยู่แล้ว เหมือนแสงที่ริบหรี่มากกริ๊ง—กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หญิงสาวจึงขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ยกขึ้น[ทำไมพี่โทร. เข้าเครื่องแล้วไม่รับล่ะ]“โทรศัพท์หาย แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวกลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน อันที่จริงเมื่อก่อนที่จะคบกับแฟนหนุ่มก็เคยเป็นอยู่บ้าง จนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ทว่า...นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว[เออน่า...วันนี้พี่ลางาน กำลังจะกลับบ้าน เมื่อวานเมามาก]“เมาแล้วไปนอนที่ไหนมาอะ”[เรื่องนั้นไม่ต้องยุ่งหรอกน่า.
Chapter 7 “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอต
Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง