Chapter 3
“ทำ…ไม…ฮือ ๆ …” “พี่อาร์ตบอกเลิกเหรอ” ลฎาภาเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางส่งสายตามองพี่สาว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา พี่สาวเอาแต่ร้องไห้ออกมา ครั้นจะพูดก็พูดไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพื่อที่จะพูดมันออกมา “เขานอกใจ…คนเลว…ฮือ ๆ…” ลฎาภาก้าวมาใกล้ดึงพี่สาวเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมโดยไม่ถามอะไรเป็นการซ้ำเติม “ถ้าอยากจะร้องไห้ วันนี้ก็เสียใจให้สุด ๆ ไปเลยนะ แค่วันเดียว” หญิงสาวปลอบพลางใช้มือลูบหลัง เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มปัจจุบันที่คบกันอยู่นั้นพี่สาวจริงจังมากถึงขั้นอยากแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าเขานอกใจก่อนที่จะแต่งงาน “จอม…พี่รักเขานะ…ฮือ…พี่ยังรักเขา” ลฎาภาได้แค่เงียบเพราะไม่เคยมีแฟนจึงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่ “เขานอกใจ…พี่…มะ…มาตลอดหนึ่งปี...” หญิงสาวฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองแทนเพราะว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาพี่สาวของหล่อนไม่เคยนอกใจฝ่ายชายเลยสักนิด แม้จะมีผู้ชายมากมายเข้ามาจีบหรือขอคุยด้วยแก้เหงาก็ตาม “จำที่แม่เคยบอกได้ไหม ? ผู้ชายที่รักจริง จะไม่มีวันนอกใจเด็ดขาด” คำนี้ถลัชนันท์ไม่เคยลืม ทว่าหัวใจข้างในจุกจนแทบหายใจไม่ออก หล่อนได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น จริงอยู่ถูกอย่างที่น้องสาวบอก ผู้ชายแบบนี้ไม่ คู่ควรกับพ่อของลูก ไม่คู่ควรที่จะฝากชีวิตเอาไว้ด้วย “อืม” ถลัชนันท์ขานรับในลำคอพลางหันมองของที่ขนลงมา มันเคยมีค่ามากที่สุดจนถึงวันนี้ที่กลายเป็นเพียงขยะที่กำลังจะทิ้ง ความรู้สึกดี ๆ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็กำลังหายไปเพราะความเลวของคน เธอรู้ดีว่ามันยากที่จะลืมแต่ก็ต้องลืมให้ได้... วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านมาถลัชนันท์ไม่ได้ออกไปไหนจากห้องนอนเลย แม้กระทั่งอาหารก็รับประทานเพียงนิดเดียว ถึงจะบอกว่าควรทำใจได้ ไม่ควรเสียเวลาเศร้าไป ทว่าก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีท่าทีที่หญิงสาวจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิด จนกระทั่งประตูเปิดออกมา ภายในห้องมืดสนิทแม้กระทั่งผ้าม่านก็ปิดไม่รับแสงตะวันจากด้านนอก “พี่ควรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วนะ” ลฎาภาเดินเข้ามาในห้องมองคนบนเตียงที่นอนหันหลังให้ อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าพี่สาวนั้นจะคิดทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ถึงแม้รู้ดีว่าเพียงเวลาสองวันไม่อาจจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปได้ แต่การที่พี่สาวเธอซึมเศร้าแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา “จอมควรโทรบอกพี่ชายสุดน่ารักให้มาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม ?” “ไม่ต้องมาขู่เลย !” “ไม่ได้ขู่ แต่จะโทร. จริง ๆ เพราะถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปมีอัตราเสี่ยงสูงที่คิดจะทำอะไรบ้า ๆ” “แกจะไม่โทร. บอกใช่ไหม ?” ถลัชนันท์เอ่ยถามขึ้นเพราะกลัวว่านอกจากจะได้กลับบ้านแล้วบางทีแฟนหนุ่มอาจจะไม่รอดด้วยซ้ำ เธอกลัวว่าจะมีปัญหาใหญ่ตามมาทีหลัง ยิ่งพี่ชายเป็นคนหัวร้อนง่ายอยู่ด้วยเกี่ยวกับเรื่องของคนในครอบครัว “ก็ต้องอยู่ที่ว่าพี่เป็นยังไง” ถลัชนันท์พลิกตัวหันมาขยับตัวขึ้นนั่ง ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา พลางยกมือขึ้นเช็ดลวก ๆ สูดหายใจเข้า แล้วสบตามองน้องสาว “โอเคแล้ว แกไม่ต้องโทร. ไปบอกนะ” ลฎาภาหัวเราะ “ก็ดี งั้นลงไปกินข้าวกันได้แล้ว” ถลัชนันท์พยักหน้าขยับตัวลงจากเตียงขณะที่ลฎาภาลุกขึ้น พลันหันมองส่องไปยังกระจกที่อยู่ห่างไม่ไกลนักก็กรีดร้องออกมาด้วยท่าทางตกใจ “กรี๊ดดด...นี่หน้าฉันเหรอ ทำไมถึงโทรมแบบนี้” ถลัชนันท์รีบลุกขึ้นวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งทันที เดิมทีใบหน้าสวยไม่มีริ้วรอยของวัย อีกทั้งใต้ตาก็ไม่หมองคล้ำเท่ากับตอนนี้ หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้าตามริ้วรอยและความหมองคล้ำ รับไม่ได้อย่างแรง เท้าทั้งสองที่ยืนอยู่ก็กระทืบพื้นหลายทีก่อนจะหันมามองน้องสาวที่ยืนขำอยู่ “พี่ควรดูแลตัวเองมากกว่านะ ไม่งั้นอาจจะขึ้นคานจริง ๆ” “ยัยจอม !” “งั้นลงไปรอข้างล่างนะ” ลฎาภาพูดพร้อมกับรีบเดินออกจากห้องเมื่อเห็นสายตาค้อนมองมา เพราะรู้ดีว่าพี่สาวรักสวยรักงามมากขนาดไหน หลังจากที่ประตูห้องปิดลงแล้วถลัชนันท์ก็หันมาส่องกระจกอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าสองวันที่ปล่อยตัวเองไม่ดูแลจะโทรมได้มากถึงขนาดนี้ หญิงสาวถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเพื่อหยิบโทรศัพท์ ควรจะทำอย่างไรดี จะนัดเขาเพื่อมาคุยกันหรือว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป รอวันที่เขามาขอเลิกเธอ สองวันที่ผ่านมาเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะที่เห็นใบหน้าโทรมราวกับผีดิบของตัวเอง ก็เพิ่งคิดได้ว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นมาที่จะเศร้าต่อไป... อากาศเช้านี้สดใสไม่มีท่าทีบอกว่าฝนจะตกลงมา ช่างเป็นเวลาที่ดี ลฎาภาใส่เสื้อผ้าชุดใหม่พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานในวันนี้ และไม่ลืมที่จะเตรียมเอกสารเผื่อไว้ให้ครบ ก่อนจะส่องมองความเรียบร้อยในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหยิบกระเป๋าออกจากห้องลงมาชั้นล่าง “ตื่นแล้วเหรอ ?” ถลัชนันท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นว่าน้องสาวเดินลงมารับประทานอาหารในตอนเช้า ครั้นสังเกตการแต่งตัวก็ยิ่งสงสัยว่าจะไปทำอะไร เพราะนานครั้งมากที่จะเห็นแต่งตัวเป็นทางการและเรียบร้อยแบบนี้ “แล้วนี่จะออกไปไหน” “สัมภาษณ์งานค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงดีใจและตื่นเต้นเหมือนกับว่าเพิ่งได้งานทำครั้งแรก “เขาเรียกตัวแล้วเหรอ ?” ลฎาภาพยักหน้าแทนการตอบพลางขยับเก้าอี้แล้วนั่งลง ดวงตากลมมองอาหารมื้อเช้าตรงหน้าก่อนจะหยิบช้อนขึ้นตักรับประทาน “วันนี้พี่จะใช้รถออกไปพบลูกค้า จะให้ไปส่งที่บริษัทก่อนไหม ?” ถลัชนันท์พูดขึ้นขณะที่วางช้อนส้อมลง “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จอมไม่มีทางขึ้นรถเมล์ไปแน่ ๆ ผมเสียทรงแย่” ลฎาภาพูดก่อนตักอาหารเข้าปาก ครั้นเหลือบมองพี่สาวที่กลับมาเป็นปกติก็ยังอดห่วงอยู่ไม่ได้แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มประดับเช่นเดิม แต่ในใจอาจจะ ไม่ใช่อย่างที่แสดงออกมา เพราะใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันแล้วทุกอย่างจะลืมหายไป “ทำใจได้แล้วใช่ไหม ? กับเรื่องของพี่อาร์ต” “อืม” ถลัชนันท์พยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้กับน้องสาว แววตานั้นสั่นระริกจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอยังไม่ได้บอกว่าเลิกกับเขาอย่างจริงจัง ที่รู้เพราะเป็นความบังเอิญในความโชคร้ายเสียมากกว่า “ไปกันเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวรถจะติดเอา” เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นหยิบจานเดินเข้าไปไว้ในห้องครัว ถลัชนันท์ยืนนิ่งอยู่นานพลางคิดหาวิธีที่จะจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ภายในใจให้จบสิ้น วันนี้เธอควรจะนัดคุยกับเขาหรือไม่ก็ส่งข้อความไปบอกเลิกเสีย เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบเดินออกมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ในกระเป๋าส่งข้อความหาแฟนหนุ่มในทันที วันนี้หลังเลิกงานพี่อาร์ตว่างไหมคะ ? รักมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ค่ะ ลฎาภาหันมองขณะลุกขึ้นนำจานไปไว้ที่ห้องครัว ก่อนจะเดินออกมาสังเกตสีหน้าของพี่สาวที่ดูไม่ดีนัก “ไปกันเถอะ” ถลัชนันท์ไม่ปริปากพูดอะไร ได้แต่พยักหน้าและเดินออกไปทันที ขณะที่ลฎาภาหยิบกระเป๋าออกมาแล้วปิดประตูบ้านก่อนจะขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว เธอต้องผ่านสัมภาษณ์นี้...! ลฎาภาบอกกับตัวเองแบบนั้นขณะที่เอียงตัวมองคนที่มานั่งรอการสัมภาษณ์ตามบัตรคิว เธอรู้สึกประหม่าจนร่างกายและมือเย็นจนสั่นแทบทำอะไรไม่ถูก แม้จะไม่ใช่การสมัครงานครั้งแรกทว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเงินเดือนดี สวัสดิการ ดีด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องวิตก นั่งรอมาเกือบสองชั่วโมงแล้วมีคนเดินเข้าเดินออกจากห้อง บ้างสีหน้าก็ดูมั่นใจ บ้างก็แสดงถึงความกังวล ลฎาภาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองมือที่เย็นเฉียบจนกระทั่งมีคนเรียกชื่อจึงรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปข้างในทันที เวลาผ่านไปจนกระทั่งการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ลฎาภาเดินออกจากห้องแทบหมดแรง ทั้งคำถามและการพูดคุยที่ชวนทำให้เธอต้องกลั้นอดทน ลฎาภาเดินเข้ามาห้องน้ำ ปิดประตูวางเอกสารและกระเป๋าด้วยสีหน้าละห้อย จากการสัมภาษณ์เมื่อครู่ทำให้รู้ว่าพลาดแล้วแน่นอน ! เฮ้อ...เธอยืนถอนหายใจพิงประตูอยู่นาน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้า มือและร่างกายยังคงสั่นเพราะรู้สึกประหม่าไม่หาย จนกระทั่งมีเสียงผู้ชายดังขึ้น หญิงสาวจึงเอี้ยวหูฟังแล้วขบคิดในใจว่า ‘นี่ห้องน้ำชายงั้นเหรอ’ “คืนนี้ไปดื่มกันไหม ? ฉันมีนัดบอดกับสาวๆ ด้วย” เข้าห้องน้ำผิดอีกแล้วเหรอเนี่ย !Chapter 4ลฎาภายกมือบีบกำแน่น ลูบใบหน้าแล้วเดินไปเดินมาในห้องน้ำสี่เหลี่ยมเพราะยังออกไปไหนไม่ได้ เป็นเวลาหลายนาทีจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาและข้อความที่เข้ามา แต่ก็ยังมีคนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดประตูออกไป สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่นั่งอยู่บนฝาชักโครก เธอหันไปวางโทรศัพท์บนชักโครกรวมถึงเอกสาร แล้วลุกขึ้นแนบหูกับประตู เพื่อฟังเสียงฝีเท้าอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงก๊อกเปิดล้างมือแล้วจึงก้มมองเงาที่ผ่านออกไป...รอจนกระทั่งทุกอย่างในห้องน้ำไม่มีเสียงลฎาภาหยิบกระเป๋าแล้วค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออกส่งสายตามองผ่านช่อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เธอจึงเปิดประตูออก ทว่า...“เฮ้ย...!!”เสียงอุทานดังขึ้นทำให้ลฎาภาตกใจและรีบก้มหน้าลงทันทีก่อนจะรีบหันตัวและวิ่งออกจากห้องน้ำไป แต่ก็ไม่ระวังเพราะมัวแต่ตกใจและอายจึงชนกับคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ“ผม...เข้าห้องผิด ?”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจพลางเดินถอยหลังดูสัญลักษณ์ข้างหน้าอีกครั้ง ทว่าคนชนทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี“มะ...ไม่ค่ะ ขอโทษค่ะ
Chapter 5 “ว่าไง” ถลัชนันท์พูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย [วันนี้จะไม่กลับบ้านหรือไง นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะ ไปอยู่ไหนน่ะ...แล้วนี่เสียงอะไรดังน่ารำคาญ...] “อยู่ที่ผับน่ะ วันนี้เครียดนิดหน่อย แกปิดบ้านเข้านอนไปก่อนเลย” หญิงสาวตอบก่อนกดวางสายทันที ดวงตากลมมองไปยังแสงสีเบื้องหน้าที่มีผู้คนมากมายต่างเต้นเย้าสะโพกส่ายไปมา แต่กับเธอเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่อยู่คนเดียวยิ่งทำให้เป็นบ้าตายเอาจริง ๆ “มาคนเดียวหรือครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ถลัชนันท์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ” เธอตอบแล้วหันหน้าหนี พลางยกเครื่องดื่มจิบไปเรื่อย ๆ ครั้นชายหนุ่มขยับตัวมาใกล้เธอจึงเหลือบมองและถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ช่วยกรุณาไปไกล ๆ หน้าด้วยนะคะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวเสียมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อหญิงสาวไม่เล่นด้วยเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ถลัชนันท์มองแล้วหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และสั่งเครื่องดื่ม “ผมเลี้ยงไหม
Chapter 6ผ่านมาแล้วหนึ่งวันกับการพยายามโทร. เข้าเครื่องของเธอเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายที่เก็บเครื่องไปนั้นจะยอมรับสายและยังไม่นำเครื่องของเธอไปขายทิ้งก่อน สุดท้ายแล้วก็เริ่มตัดใจเมื่อไม่มีคนรับ อีกทั้งยังถูกปิดเครื่องไปดื้อ ๆ อีกลฎาภานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พลางเอื้อมมือกดรีโมตโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ต้องรอผลการสัมภาษณ์อย่างไร้ความหวังนั้น ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน แม้ว่าจะติดต่อไปหลายบริษัท ทว่าช่วงนี้ยังไม่มีการรับพนักงานใหม่บ้าง หรือบางบริษัทก็มีพนักงานเต็มอัตราอยู่แล้ว เหมือนแสงที่ริบหรี่มากกริ๊ง—กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หญิงสาวจึงขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ยกขึ้น[ทำไมพี่โทร. เข้าเครื่องแล้วไม่รับล่ะ]“โทรศัพท์หาย แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวกลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน อันที่จริงเมื่อก่อนที่จะคบกับแฟนหนุ่มก็เคยเป็นอยู่บ้าง จนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ทว่า...นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว[เออน่า...วันนี้พี่ลางาน กำลังจะกลับบ้าน เมื่อวานเมามาก]“เมาแล้วไปนอนที่ไหนมาอะ”[เรื่องนั้นไม่ต้องยุ่งหรอกน่า.
Chapter 7 “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอต
Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง
Chapter 9 “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...” ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน” “ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย” หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง “มาโยนบอลเล่นกันไหม ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ” ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ” “ไม่เอา” หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด “งั้นเรามาเล่นกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ ก