Chapter 4
ลฎาภายกมือบีบกำแน่น ลูบใบหน้าแล้วเดินไปเดินมาในห้องน้ำสี่เหลี่ยมเพราะยังออกไปไหนไม่ได้ เป็นเวลาหลายนาทีจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาและข้อความที่เข้ามา แต่ก็ยังมีคนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทำให้ยังไม่สามารถเปิดประตูออกไป สิบนาทีผ่านไปหลังจากที่นั่งอยู่บนฝาชักโครก เธอหันไปวางโทรศัพท์บนชักโครกรวมถึงเอกสาร แล้วลุกขึ้นแนบหูกับประตู เพื่อฟังเสียงฝีเท้าอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมีเสียงก๊อกเปิดล้างมือแล้วจึงก้มมองเงาที่ผ่านออกไป ...รอจนกระทั่งทุกอย่างในห้องน้ำไม่มีเสียง ลฎาภาหยิบกระเป๋าแล้วค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออกส่งสายตามองผ่านช่อง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เธอจึงเปิดประตูออก ทว่า... “เฮ้ย...!!” เสียงอุทานดังขึ้นทำให้ลฎาภาตกใจและรีบก้มหน้าลงทันทีก่อนจะรีบหันตัวและวิ่งออกจากห้องน้ำไป แต่ก็ไม่ระวังเพราะมัวแต่ตกใจและอายจึงชนกับคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ “ผม...เข้าห้องผิด ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจพลางเดินถอยหลังดูสัญลักษณ์ข้างหน้าอีกครั้ง ทว่าคนชนทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี “มะ...ไม่ค่ะ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวพูดไม่เต็มเสียงพลางก้มหน้าก้มตาเดินออกจากห้องน้ำไปโดยที่ไม่แม้แต่มองหน้าชายหนุ่มที่เดินชน เขาส่งสายตามองเธอพลางยิ้มขำออกมากับท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าก่อนเดินเข้าห้องน้ำไป... ลฎาภายกมือขึ้นเขกขมับตัวเองด้วยความอาย ตั้งแต่เดินออกจากห้องน้ำชายมาจนกระทั่งถึงป้ายรถเมล์ เป็นครั้งที่เท่าไหร่กันแล้วเวลาตื่นเต้นมักเดินเข้าห้องน้ำผิด เธอล้วงมือหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเป็นเวลานาน ใบหน้าเริ่มซีดเพราะเพิ่งนึกออกว่าลืมวางไว้พร้อมกับเอกสารในห้องน้ำชาย สวรรค์ ! นี่เธอต้องเดินกลับไปเอาใช่หรือไม่ ?! หญิงสาวกัดริมฝีปากขมวดคิ้วด้วยใบหน้าคิดหนัก เดินวนไปมาเป็นวงกลมจนกระทั่งตัดสินใจได้ว่าจะต้องเดินกลับไปเอา เธอยกมือขึ้นตบแก้มทั้งสองข้างเพื่อเรียกสติกลับคืนมา หันไปทางบริษัทที่เพิ่งเดินออกมา ลฎาภายืนอยู่หน้าตึกสูงพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวเข้าไป จนกระทั่งหยุดอยู่ที่บริเวณใกล้หน้าห้องน้ำชาย ดวงตากลมโตมองไปยังทางเข้าแล้วก็ยกมือขึ้นเขกศีรษะอีกครั้ง ให้เดินเข้าไปอีกก็คงไม่กล้า เธอยืนรออยู่นานราวเกือบยี่สิบนาทีเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้าออกห้องน้ำชายแล้วจึงรีบเดินเร็วเข้าไปทันที ไม่มี ! หญิงสาวเดินเข้าออกห้องน้ำทุกห้องแต่กลับไม่พบโทรศัพท์มือถือและเอกสารที่ลืมวางไว้บนที่กดชัดโครก “จะทำยังไงล่ะเนี่ย !” เธอยกมือขึ้นขยี้เส้นผมด้วยความหงุดหงิดเมื่อรู้ว่าของที่ลืมวางไว้ได้หายไปแล้ว ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความวุ่นวาย เสียงพูดคุยและคนก็ได้เดินเข้ามาในห้องน้ำ ลฎาภาตกใจจึงรีบก้มหน้าขอโทษและวิ่งออกมาโดยทันที นอกจากอายยังซวยซ้ำซวยซ้อนไม่สิ้นสุด ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นเข้าห้อง— น้ำผิดและลืมเอาของออกมาอีก ลฎาภายืนพิงกับเสาต้นใหญ่ที่ห่างไม่ไกลจากห้องน้ำชายมากนักพลางถอนหายใจขยับตัวเพื่อหันมองไปยังฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง “แล้วของของฉันล่ะ ใครจะเป็นคนเก็บไป” แน่นอนว่ายังไม่ละความพยายามที่จะตามหาของคืนมา หญิงสาวเดินไปยังประชาสัมพันธ์เพื่อถามแต่ก็ไม่พบอะไร หนำซ้ำยังหน้าแตกและอายกลับมาอีก จนสุดท้ายแล้วก็ลองโทรเข้าที่เบอร์ของเธอดูแต่ไม่มีใครรับสายเป็นหลายครั้งจนต้องตัดใจและนั่งรถกลับบ้านอย่างผิดหวังสุด ๆ ในชีวิต งานก็ยังไม่มีโทรศัพท์ดันมาหายอีก ! สวรรค์ทำร้ายเธอจริง ๆ ทันทีที่ถึงเวลาเลิกงานปุ๊บ ถลัชนันท์เก็บของบนโต๊ะและหยิบกระเป๋าเดินออกไป เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ก็มองด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร หญิงสาวใช้เวลาขับรถไม่นานก็มายังร้านที่นัดหมายกับแฟนหนุ่ม วันนี้เป็นวันที่เธอต้องกล้าพูดและทำใจยอมรับจบความสัมพันธ์กับเขาสักที ถลัชนันท์เดินมานั่งรอมุมหนึ่งของร้านที่คนน้อยที่สุด ก่อนสั่งเครื่องดื่มไปพลาง ๆ รอชายหนุ่มมา ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมาเขาทำให้เธอมีความสุขมาก แต่จะให้ยอมรับและให้อภัยนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งที่คบกับเธอแต่มีผู้หญิงอื่นควงไปไหนมาไหนด้วย ทำราวกับว่าเธอเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมงจวนพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ถลัชนันท์ก็ยังคงนั่งรอแฟนหนุ่มอยู่ที่เดิม กาแฟที่สั่งมาก็จิบไปพลาง ๆ จนหมดแต่ไม่เห็นวี่แววเขาเลยสักนิด เขาจะอ่านข้อความที่เธอส่งให้เมื่อเช้าแล้วหรือยัง ? หญิงสาวถอนหายใจออกมาจนนับไม่ถ้วน ครั้นมองออกไปนอกร้านฝั่งตรงข้ามสายตาก็สะดุดเข้ากับใครบางคน แววตาเธอสั่นระริกกับสิ่งที่เห็น มือเรียวที่เคยผ่อนคลายอยู่นั้นกำแน่น ดวงตาแผ่วร้อนและน้ำตาเริ่มปริ่มออกมา ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารฝรั่งขึ้นชื่อ อีกทั้งยังมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับร้านอาหารทั่วๆ ไป ถลัชนันท์หัวเราะให้กับตัวเองอย่างสมเพช ไม่คิดเลยว่าต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เขามาดินเนอร์กับผู้หญิงคนอื่นโดยที่ปล่อยให้เธอนั่งรออย่างนั้นเหรอ ? กำลังตอกย้ำกันใช่หรือไม่ ! หญิงสาวลุกขึ้นเดินออกจากร้านไปทันที เธอยังคงจอดรถไว้ที่ร้านกาแฟและเดินข้ามถนนมายังอีกฝั่ง สายตามองส่องเข้าไปในร้าน เห็นแฟนหนุ่มกำลังยิ้มหวานให้กับหญิงสาวอีกคนอยู่ เขาไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือไงกัน ?! ถลัชนันท์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผลักประตูร้านเดินเข้าไปข้างใน โดยไม่ได้สนใจพนักงานที่เข้ามากล่าวทักทาย แต่สาวเท้าเดินตรงไปยังโต๊ะของแฟนหนุ่มทันที “มีความสุขจริงนะคะ พี่อาร์ต” หญิงสาวกัดฟันพูด ส่งสายตามองแฟนหนุ่มและหญิงสาวที่นั่งอยู่ อรรถนนท์เบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นมาหา พูดแก้ต่างตัวเองทันที “เอ่อ นี่เพื่อนที่ทำงานน่ะ” ถลัชนันท์หัวเราะสมเพช ถ้าวันนั้นไม่เจอว่ากำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน วันนี้ก็คงจะเชื่อหมดใจอย่างที่พูดออกมา “เพื่อนพี่ที่ทำงานเหรอคะ ?” เธอกัดฟันพูดส่งสายตาจิกมองไปยังหญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูที่นั่งอยู่ด้วยความเหลืออด “ชะ...ใช่” อรรถนนท์ตอบไม่เต็มเสียง เขาได้แต่ภาวนาให้แฟนสาวเชื่อว่าสิ่งที่พูดเป็นจริง “แล้วรู้ไหมคะ ? ว่าวันนี้รักนัดพี่อาร์ตตอนเย็น...” เธอพูดเสียงสั่น “เอ่อ...พี่ติดงานเลยไม่ได้เปิดข้อความ ไว้วันหลังพี่จะชดเชยให้นะ” ชดเชยอย่างนั้นเหรอ...ช่างน่าขันเสียจริง ถลัชนันท์ยิ้มหวานให้ ก่อนจะมองด้วยสายตาดูแคลน “ไม่ต้องหรอกค่ะ ความจริงแล้วที่นัดก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย...” เธอยังคงควบคุมอารมณ์มองสีหน้าของเขาที่เริ่มมีเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย “แค่จะบอกพี่อาร์ตว่า...” ถลัชนันท์ยังคงยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม เอื้อมมือหยิบแก้วน้ำขึ้นมาแล้วสาดไปที่หน้าเขาก่อนวางคืนดังเดิม “ว้าย !” หญิงสาวที่นั่งอยู่ลุกขึ้นมาทันที หล่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองเดินมาเช็ดใบหน้าชายหนุ่ม “ทำไมทำกับพี่แบบนี้” อรรถนนท์พยายามควบคุมสีหน้าและอารมณ์เพราะคนในร้านก็ต่างมองกันเป็นสายตาเดียว “พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ” ไม่ทำอะไรผิด... หญิงสาวหัวเราะออกมายกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะฉีกยิ้มส่งให้เขา “ถ้าอย่างนั้น ทีหลังพี่ควรจะบอกเลิกรัก ก่อนที่จะ...” ถลัชนันท์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อไปว่า “ไปมีคนใหม่” “เดี๋ยวรัก นี่กำลังเข้าใจผิดแล้วนะ” อรรถนนท์พูดขึ้นทว่าหญิงสาวข้างตัวนั้นรั้งเขาไว้ไม่ให้เดินไปหา แต่เขาก็สะบัดมือออกเดินตามไป “พี่ไม่ได้มีคนอื่นเลยนะ...” “ไม่มีคนอื่น ไม่มีบ้าอะไร !” ถลัชนันท์ตะโกนใส่หน้าเขาด้วยความโมโหที่ยังไม่ยอมรับความจริง หนำซ้ำยังจะแถไปเรื่อยอีก “ฉันได้ยินเต็มสองหู เห็นสองตา ว่าพี่กับเธอมีอะไรกัน ครางเสียงดังทั่วห้องเลย !” หมดความอดทนแล้ว และก็ไม่อายด้วย เพราะตอนนี้โมโหถึงมากที่สุด “เอาเถอะ ถือว่าฉันกับพี่ไม่ติดค้างอะไรกันอีก เราจบกัน !” “รัก คือพี่...” อรรถนนท์เอื้อมมือรั้งหญิงสาวไว้ “ไปตายซะ ไอ้เฮงซวย !” ถลัชนันท์ตะโกนใส่พร้อมกับสะบัดมือทิ้งอย่างแรง แล้วเดินออกจากร้านไปทันที ทุกคนต่างมองและมีเสียงซุบซิบมากมาย ทว่าหญิงสาวกลับมองผ่านเป็นเรื่องเล็กน้อยและรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ระบายความรู้สึกนี้ออกจากใจไปChapter 5 “ว่าไง” ถลัชนันท์พูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย [วันนี้จะไม่กลับบ้านหรือไง นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะ ไปอยู่ไหนน่ะ...แล้วนี่เสียงอะไรดังน่ารำคาญ...] “อยู่ที่ผับน่ะ วันนี้เครียดนิดหน่อย แกปิดบ้านเข้านอนไปก่อนเลย” หญิงสาวตอบก่อนกดวางสายทันที ดวงตากลมมองไปยังแสงสีเบื้องหน้าที่มีผู้คนมากมายต่างเต้นเย้าสะโพกส่ายไปมา แต่กับเธอเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่อยู่คนเดียวยิ่งทำให้เป็นบ้าตายเอาจริง ๆ “มาคนเดียวหรือครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ถลัชนันท์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ” เธอตอบแล้วหันหน้าหนี พลางยกเครื่องดื่มจิบไปเรื่อย ๆ ครั้นชายหนุ่มขยับตัวมาใกล้เธอจึงเหลือบมองและถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ช่วยกรุณาไปไกล ๆ หน้าด้วยนะคะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวเสียมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อหญิงสาวไม่เล่นด้วยเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ถลัชนันท์มองแล้วหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และสั่งเครื่องดื่ม “ผมเลี้ยงไหม
Chapter 6ผ่านมาแล้วหนึ่งวันกับการพยายามโทร. เข้าเครื่องของเธอเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายที่เก็บเครื่องไปนั้นจะยอมรับสายและยังไม่นำเครื่องของเธอไปขายทิ้งก่อน สุดท้ายแล้วก็เริ่มตัดใจเมื่อไม่มีคนรับ อีกทั้งยังถูกปิดเครื่องไปดื้อ ๆ อีกลฎาภานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พลางเอื้อมมือกดรีโมตโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ต้องรอผลการสัมภาษณ์อย่างไร้ความหวังนั้น ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน แม้ว่าจะติดต่อไปหลายบริษัท ทว่าช่วงนี้ยังไม่มีการรับพนักงานใหม่บ้าง หรือบางบริษัทก็มีพนักงานเต็มอัตราอยู่แล้ว เหมือนแสงที่ริบหรี่มากกริ๊ง—กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หญิงสาวจึงขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ยกขึ้น[ทำไมพี่โทร. เข้าเครื่องแล้วไม่รับล่ะ]“โทรศัพท์หาย แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวกลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน อันที่จริงเมื่อก่อนที่จะคบกับแฟนหนุ่มก็เคยเป็นอยู่บ้าง จนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ทว่า...นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว[เออน่า...วันนี้พี่ลางาน กำลังจะกลับบ้าน เมื่อวานเมามาก]“เมาแล้วไปนอนที่ไหนมาอะ”[เรื่องนั้นไม่ต้องยุ่งหรอกน่า.
Chapter 7 “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอต
Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง
Chapter 9 “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...” ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน” “ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย” หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง “มาโยนบอลเล่นกันไหม ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ” ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ” “ไม่เอา” หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด “งั้นเรามาเล่นกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ ก
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ