Chapter 8
ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียหน่อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้กันในเมื่อตอนนี้ยังว่างงานอยู่ [ไม่ช็อปหรอก ฉันแค่อยากคุยเล่นแหละ งั้นศุกร์นี้เจอกันนะ] “โอเค แล้วเจอกันจ้า” หญิงสาววางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะถอนหายใจออกมา แล้วเปิดอีเมลเพื่อส่งจดหมายสมัครงานต่อ ก่อนจะเดินออกจากห้องมายังห้องครัวเพื่อทำอาหารกินมื้อกลางวัน ลฎาภาใช้เวลาทำอาหารและรับประทานในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์เช่นเดิม คราวนี้ไม่ได้นั่งหาบริษัทเพื่อสมัครงาน แต่กลับเป็นการหาละครย้อนหลังดู จนกระทั่งมีอีเมลเด้งขึ้นมา หญิงสาวจึงกดพักละครเอาไว้แล้วเปิดอ่านทันที ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากอ้าค้างก่อนจะกรี๊ดลั่นออกมาเสียงดังแล้วลุกขึ้นวิ่งไปรอบห้องราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง เธอได้งานทำแล้ว ! ลฎาภาตั้งสติและเดินเข้ามาอ่านอีเมลอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดเหมือนว่าได้โชคใหญ่เข้ามา ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ทั้งที่ใจนั้นไม่กล้าคาดหวังเลยสักนิด แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา... “เอกสารที่คุณเผิงต้องเซ็นอนุมัติครับ” แฟ้มเอกสารสีดำถูกวางลงบนโต๊ะ เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหันมอง ก่อนเอื้อมมือหยิบแฟ้มงานขึ้นมาเปิดอ่านดู “เดือนหน้านี้จะมีลูกค้าจากต่างประเทศติดต่อมา นายจัดการหาคนไปรับรองเขาและนำเสนอแผนงานของบริษัทด้วย แล้วเรื่องการติดต่อส่งอาหารสำเร็จรูปไปต่างประเทศ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไปแล้ว” อวิ่นเยว่เอ่ยถามขึ้นขณะที่สายตายังมองเอกสารตรงหน้า เขาคือประธานบริษัท S คนปัจจุบันที่อายุไม่ถึงสามสิบและขึ้นบริหารงานต่อจากเผิงลู่เสียน ผู้เป็นมารดา ด้วยความสามารถและการบริหารงาน ทำให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยดีทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศ “ตอนนี้รอทางนั้นติดต่อกลับมาและทำสัญญากันครับ เขาบอกว่าให้คำตอบภายในสิ้นเดือนนี้” ผู้ช่วยหนุ่มตอบ อวิ่นเยว่พยักหน้าก่อนพูดต่อไปว่า “เรื่องเอกสารที่ลูกค้าติดต่อมารีบดำเนินการให้เสร็จด้วย” “ครับ เอ่อ...คือของที่ให้ผมนำไปคืนผู้หญิงคนนั้น...” เจตนิพัทธ์เกริ่นขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายที่เขาควรจะรายงาน อีกทั้งเจ้านายคงไม่สนใจอยู่แล้ว อวิ่นเยว่เงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไร ?” “เอ่อ เปล่าครับ” เจตนิพัทธ์ไม่กล้าบอกความจริงที่หญิงสาวคนนั้นขออาสาเลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อแก่เจ้านาย อวิ่นเยว่ปิดแฟ้มเอกสารและส่งคืน สายตาก็เหลือบมองเห็นซองสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านั้น ซึ่งเขาเองก็ยุ่งกับการเจรจาธุรกิจกับลูกค้าจึงไม่ได้สนมากนัก “การ์ดแต่งงานของลูกชายคุณลภัสรดาครับ” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้น “งานแต่งงาน ?” ชายหนุ่มมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เขาเอื้อมมือหยิบซองสีชมพูที่วางอยู่หัวมุมโต๊ะขึ้นมาและเปิดดูทันที วันแต่งงานที่ใกล้ถึงในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าและเป็นช่วงที่เขาไม่มีการเดินทางไปต่างประเทศพอดี จึงปฏิเสธที่จะไม่ไปก็ไม่ได้ เป็นถึงคู่ค้าคนสำคัญด้วย “ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปทำงานที่ค้างอยู่ต่อก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบเจตนิพัทธ์ก็เดินออกจากห้องทำงานไปทันที อวิ่นเยว่ถอนหายใจก่อนเก็บการ์ดลงในซองวางไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงาน สายตาคมจ้องมองภายในลิ้นชักราวกับถูกมนตร์สะกด เขายังเก็บไว้อยู่อีกหรือ ? ...นึกว่าโยนทิ้งลงขยะไปซะแล้ว ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบรูปขึ้นมามองด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะขย้ำจนเป็นแค่กระดาษแล้วโยนทิ้งลงในถังขยะอย่างไม่ไยดี เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้อีก อวิ่นเยว่เรียกสติของตนเองกลับมา ก่อนจะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอีกครั้ง เสียงออดดังขึ้นบอกถึงเวลาเลิกเรียน ลฎาภาเดินเข้าในโรงเรียนอนุบาล พลางมองไปยังรถที่ขับเข้าออกและเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นเพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้านในช่วงตอนเย็น หญิงสาวเดินเข้ามานั่งรอด้านนอกที่โต๊ะม้าหินอ่อนจัดวางอยู่ จนกระทั่งถูกสะกิดเรียกจากทางด้านหลังจึงรีบหันไป มองแล้วพบกับเกณิกาเพื่อนที่เป็นครูประจำอยู่ที่นี่ “ยัยจอม ขอโทษนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ไม่เป็นไร” ลฎาภายิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เกณิกาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พักให้หายเหนื่อย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอกดรับและเมื่อได้ฟังฝ่ายตรงข้ามพูดทำให้แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา “แกวันนี้อาจจะต้องรอหน่อยนะ” เกณิกาพูดเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิด ความจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่เวรช่วงเย็นแต่เพราะเพื่อนครูอีกคนดันติดธุระสำคัญขึ้นมาจึงฝากวานให้อยู่แทน “ไม่สิ อาจจะช้ามาก ๆ เลยก็ได้” ลฎาภาเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวเป็นเชิงสงสัย “ดูท่าวันนี้ พ่อของเด็กคนนั้นอาจจะมารับช้าอีกแล้วน่ะสิ” เมื่อพูดจบก็หันไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้ากลมน่ารัก ริมฝีปากเล็กสีชมพู ทว่าแววตานั้นกลับไม่สดใสเสียเลย “น่ารักอะแก” ลฎาภาเอ่ยปากชมพร้อมกับลุกขึ้น “แกรอฉันหน่อยนะ ฉันต้องรอจนกว่าพ่อของเขาจะมารับ” ลฎาภามองเด็กน้อยอย่างเพลินตา “เขาน่ารักมาก พ่อกับแม่เขาต้องสวยและหล่อมากแน่ ๆ” “แกเป็นเอามากนะ ชอบเด็กแต่ไม่อยากมีแฟน” “มันต่างกันนะยะ” หญิงสาวหันมาพูดอย่างหัวเสีย “ฉันชอบเด็ก แต่ไม่ได้อยากจะแต่งงานมีลูกสักหน่อย” “จ้ะ แม่คนรักเด็ก” “ฉันเข้าไปทักเด็กคนนั้นได้ไหมแก” ลฎาภาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงมองเด็กชายอยู่ “ก็ไปสิ แต่เด็กคนนั้นไม่ค่อยพูดนะ แกอาจจะไม่ชอบ...” ยังฟังไม่ทันจบลฎาภาก็ไม่อยู่ตรงนี้เสียแล้ว เกณิกามองเพื่อนสาวที่เดินเข้าไปหาและย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของเด็กชาย ลฎาภานั่งจ้องอยู่นานพอสมควรกว่าเด็กชายจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก ทว่าหญิงสาวก็ยังส่งยิ้มหวานให้กลับไป “ให้พี่เล่นเป็นเพื่อนไหม ?” เด็กน้อยจ้องมองและส่ายหน้าก่อนจะหันหลังหนีทันที ลฎาภามองเห็นเด็กชายนั่งกลิ้งลูกบอลพลาสติกเป็นเวลานาน จึงลุกขึ้นเดินไปย่อตัวนั่งที่หน้าของเด็กชายอีกครั้ง “เล่นคนเดียวเหงาน้า” เธอยังคงพูดพร้อมกับยิ้มหวานให้แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกลมนั้นยังไม่คิดที่จะคุยด้วยสักนิด “ป๊ะป๋าบอกว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้า คุณป้าเป็นคนแปลกหน้า” คุณป้า ?! หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่เพราะความน่ารักและแก้มทั้งสองข้างนั้นทำให้เธอใจอ่อนอีกครั้ง “ยัยจอม ดูท่าแกจะชอบเด็กคนนี้มากเลยนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหา “ก็น่ารักนี่ ฉันชอบเด็กผู้ชาย แก้มกลม ๆ ตาตี๋ น่าร๊ากอะ” หญิงสาวพูดขณะที่มองเด็กชายหันหน้าหนีและเล่นลูกบอลเพียงลำพัง ก่อนหันมาเอ่ยถามเกณิกาต่อไปว่า “แล้วพ่อของเขาจะมารับตอนไหนล่ะ” เกณิกาเมื่อได้ยินก็ถอนหายใจออกมา ไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจเพื่อนรักนั่นเอง ทั้งที่เป็นฝ่ายนัดแท้ ๆ “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...”Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง
Chapter 9 “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...” ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน” “ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย” หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง “มาโยนบอลเล่นกันไหม ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ” ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ” “ไม่เอา” หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด “งั้นเรามาเล่นกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ ก
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ
Chapter 11‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็มลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก“เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !”หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรหลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่งเป็นขอ
Chapter 12 ผ่านมาสองวันแล้วที่ลฎาภาไม่ได้นั่งอยู่เฉยในบ้านเช่นเดิม หลังรับประทานอาหารมื้อเช้าช่วงสายเสร็จก็รีบจัดเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องใส่กล่องไว้เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากนั้นช่วงบ่าย หญิงสาวจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหางานพาร์ตไทม์ทำ “ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะคะ วันนี้ผู้จัดการร้านไม่เข้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับและรับกระดาษโน้ตมาเขียนข้อมูลลงไปก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านมา วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิมคือรอการติดต่อกลับไป เฮ้อ...บางทีอาจจะต้องกลับไปใช้เงินเก่าที่เก็บออมมาประทังชีวิตไปก่อนช่วงที่ยังว่างงาน “ร้านตรงนั้นก็ปิดรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ ตรงนี้ก็ด้วย จะไปหาที่ไหนดีล่ะ แถวนี้ก็ถามเกือบทุกร้านแล้วด้วย” ลฎาภาบ่นพึมพำเพียงลำพังขณะที่เดินหันมองไปยังร้านค้าด้วยสีหน้าสุดผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้วแท้ ๆ “งานก็หายาก เงินก็ต้องใช้ กลับบ้านไปดีไหมช่วงนี้น่ะ !” ลฎาภานิ่งค้างท่าที่ยืนตะโกนพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว เธอหันมองรอบ ๆ แล้วรีบเดินออกมาโดยไวทันที แต่ทว่ามีหญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาหา กล่าวทักทาย อย่างเป
Chapter 13 ห้องทำงานบนชั้นสอง ภายในห้องเรียกว่าเป็นโทนน้ำตาลดำทั้งหมดจนดูน่าหม่นหมอง แต่ก็เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาวางของว่างบนโต๊ะทำงาน ครั้นเงยหน้าหันตัวก็พบกับตู้หนังสือจึงเดินเข้าไปหา แต่ละเล่มดูแล้วเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ ส่วนใหญ่เป็นของของวิลเลียม เชกสเปียร์ ดวงตากลมมองหนังสืออย่างหลงใหล ถึงแม้เธอจะไม่ใช่พวกหนอนหนังสือมากก็จริง แต่สมัยเรียนก็ชอบยืมหนังสืออ่านจากหอสมุดมาบ่อย ๆ “The Tempest” เธอพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับหนังสือตรงหน้าจำได้ว่าสมัยเรียนเคยจะยืมมาอ่านแต่ที่หอสมุดนั้นไม่มี และเธอก็ไม่อยากซื้อหนังสือเก็บจะลำบากตอนย้ายหอถ้าหากของเยอะ สายตามองอย่างอดใจ แม้จะเอื้อมมือแตะสันหนังสือที่วางอยู่โดยไม่หยิบออกมา “เฮ้อ...ตัดใจซะยัยจอม” ลฎาภาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันตัวออก “อุ๊ย !” หญิงสาวเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนจ้องมองอยู่ เธอยิ้มออกมาเจื่อน ๆ แล้วก้มหน้าลงก่อนจะเดินขยับข้างไปทีละนิด “ฉันนำอาหารว่างมาให้ค่ะ” เธอพูดขึ้นโดยไม่กล้าสบตามองเขาเพราะอีกฝ่ายเงียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่าโกรธ ไม่พอใจ หรืออะไรกันแน่ “วันนี้ป้าผ่องจะกลับบ้าน ช่วงเย็นหลังอาห
Chapter 16 “ในวันอังคารหน้าหน้าตอนเย็น มีลูกค้านัดรับประทานอาหารและเจรจาธุรกิจไปด้วย” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้นขณะที่เดินตามอวิ่นเยว่เข้ามาในห้องทำงาน วันนี้เขาสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้านายที่ดูจะมีความสุขมากกว่าทุกวัน ชายหนุ่มหันมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่จดตารางงานไว้คร่าว ๆ ก่อนพูดขึ้น “อังคารหน้าตอนเย็น ฉันไม่ว่าง...เลื่อนมาช่วงบ่ายได้ไหม ?” “ได้ครับ ตอนแรกผมเห็นว่าคุณเผิงติดประชุม” “ฉันยกเลิกไปแล้วละ” อวิ่นเยว่พูดก่อนเดินอ้อมเข้ามานั่งที่เก้าอี้ทำงาน เอื้อมมือหยิบแฟ้มงานที่ถูกส่งขึ้นมาเปิดอ่านแล้วพูดต่อไปว่า “นายมีแฟนไหม ?” เจตนิพัทธ์ตาโตด้วยความตกใจกับคำถามที่ได้ยิน ตลอดหลายปีที่ทำงานกับเจ้านายมาไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานสักนิด “เอ่อ...คุณเผิงถามทำไมครับ ?” อวิ่นเยว่ส่งสายตาให้เป็นเชิงบอกว่า...ตอบมาซะดี ๆ “มีครับ เอ่อ...”เจตนิพัทธ์ทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนเจ้านายถามถึง “ช่างเถอะ...ไม่สำคัญอะไร” อวิ่นเยว่ตัดบทที่จะพูดต่อ เขาก้มหน้าเซ็นเอกสารทันทีก่อนยื่นให้กับเจตนิพัทธ์ “ให้ฝ่ายขายสรุปยอดของเดือนก่อนส่งให้ฉันภายในสี่โมงของวันนี้” “ได้ครับ” เจตนิพัทธ์เอื้อมมือหยิบแฟ้มงานที่ถูกเซ็