Chapter 8
ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียหน่อย แต่จะให้ทำอย่างไรได้กันในเมื่อตอนนี้ยังว่างงานอยู่ [ไม่ช็อปหรอก ฉันแค่อยากคุยเล่นแหละ งั้นศุกร์นี้เจอกันนะ] “โอเค แล้วเจอกันจ้า” หญิงสาววางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะถอนหายใจออกมา แล้วเปิดอีเมลเพื่อส่งจดหมายสมัครงานต่อ ก่อนจะเดินออกจากห้องมายังห้องครัวเพื่อทำอาหารกินมื้อกลางวัน ลฎาภาใช้เวลาทำอาหารและรับประทานในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์เช่นเดิม คราวนี้ไม่ได้นั่งหาบริษัทเพื่อสมัครงาน แต่กลับเป็นการหาละครย้อนหลังดู จนกระทั่งมีอีเมลเด้งขึ้นมา หญิงสาวจึงกดพักละครเอาไว้แล้วเปิดอ่านทันที ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากอ้าค้างก่อนจะกรี๊ดลั่นออกมาเสียงดังแล้วลุกขึ้นวิ่งไปรอบห้องราวกับถูกรางวัลที่หนึ่ง เธอได้งานทำแล้ว ! ลฎาภาตั้งสติและเดินเข้ามาอ่านอีเมลอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดเหมือนว่าได้โชคใหญ่เข้ามา ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ทั้งที่ใจนั้นไม่กล้าคาดหวังเลยสักนิด แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันดีที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา... “เอกสารที่คุณเผิงต้องเซ็นอนุมัติครับ” แฟ้มเอกสารสีดำถูกวางลงบนโต๊ะ เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วหันมอง ก่อนเอื้อมมือหยิบแฟ้มงานขึ้นมาเปิดอ่านดู “เดือนหน้านี้จะมีลูกค้าจากต่างประเทศติดต่อมา นายจัดการหาคนไปรับรองเขาและนำเสนอแผนงานของบริษัทด้วย แล้วเรื่องการติดต่อส่งอาหารสำเร็จรูปไปต่างประเทศ ตอนนี้คืบหน้าไปถึงไปแล้ว” อวิ่นเยว่เอ่ยถามขึ้นขณะที่สายตายังมองเอกสารตรงหน้า เขาคือประธานบริษัท S คนปัจจุบันที่อายุไม่ถึงสามสิบและขึ้นบริหารงานต่อจากเผิงลู่เสียน ผู้เป็นมารดา ด้วยความสามารถและการบริหารงาน ทำให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยดีทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศ “ตอนนี้รอทางนั้นติดต่อกลับมาและทำสัญญากันครับ เขาบอกว่าให้คำตอบภายในสิ้นเดือนนี้” ผู้ช่วยหนุ่มตอบ อวิ่นเยว่พยักหน้าก่อนพูดต่อไปว่า “เรื่องเอกสารที่ลูกค้าติดต่อมารีบดำเนินการให้เสร็จด้วย” “ครับ เอ่อ...คือของที่ให้ผมนำไปคืนผู้หญิงคนนั้น...” เจตนิพัทธ์เกริ่นขึ้นอย่างไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมายที่เขาควรจะรายงาน อีกทั้งเจ้านายคงไม่สนใจอยู่แล้ว อวิ่นเยว่เงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไร ?” “เอ่อ เปล่าครับ” เจตนิพัทธ์ไม่กล้าบอกความจริงที่หญิงสาวคนนั้นขออาสาเลี้ยงอาหารหนึ่งมื้อแก่เจ้านาย อวิ่นเยว่ปิดแฟ้มเอกสารและส่งคืน สายตาก็เหลือบมองเห็นซองสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนหน้านั้น ซึ่งเขาเองก็ยุ่งกับการเจรจาธุรกิจกับลูกค้าจึงไม่ได้สนมากนัก “การ์ดแต่งงานของลูกชายคุณลภัสรดาครับ” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้น “งานแต่งงาน ?” ชายหนุ่มมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เขาเอื้อมมือหยิบซองสีชมพูที่วางอยู่หัวมุมโต๊ะขึ้นมาและเปิดดูทันที วันแต่งงานที่ใกล้ถึงในอีกไม่กี่สิบวันข้างหน้าและเป็นช่วงที่เขาไม่มีการเดินทางไปต่างประเทศพอดี จึงปฏิเสธที่จะไม่ไปก็ไม่ได้ เป็นถึงคู่ค้าคนสำคัญด้วย “ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอไปทำงานที่ค้างอยู่ต่อก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบเจตนิพัทธ์ก็เดินออกจากห้องทำงานไปทันที อวิ่นเยว่ถอนหายใจก่อนเก็บการ์ดลงในซองวางไว้ในลิ้นชักของโต๊ะทำงาน สายตาคมจ้องมองภายในลิ้นชักราวกับถูกมนตร์สะกด เขายังเก็บไว้อยู่อีกหรือ ? ...นึกว่าโยนทิ้งลงขยะไปซะแล้ว ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบรูปขึ้นมามองด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะขย้ำจนเป็นแค่กระดาษแล้วโยนทิ้งลงในถังขยะอย่างไม่ไยดี เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้อีก อวิ่นเยว่เรียกสติของตนเองกลับมา ก่อนจะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอีกครั้ง เสียงออดดังขึ้นบอกถึงเวลาเลิกเรียน ลฎาภาเดินเข้าในโรงเรียนอนุบาล พลางมองไปยังรถที่ขับเข้าออกและเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นเพื่อรอผู้ปกครองมารับกลับบ้านในช่วงตอนเย็น หญิงสาวเดินเข้ามานั่งรอด้านนอกที่โต๊ะม้าหินอ่อนจัดวางอยู่ จนกระทั่งถูกสะกิดเรียกจากทางด้านหลังจึงรีบหันไป มองแล้วพบกับเกณิกาเพื่อนที่เป็นครูประจำอยู่ที่นี่ “ยัยจอม ขอโทษนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหาพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ไม่เป็นไร” ลฎาภายิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เกณิกาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พักให้หายเหนื่อย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอกดรับและเมื่อได้ฟังฝ่ายตรงข้ามพูดทำให้แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา “แกวันนี้อาจจะต้องรอหน่อยนะ” เกณิกาพูดเสียงแผ่วด้วยความรู้สึกผิด ความจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่เวรช่วงเย็นแต่เพราะเพื่อนครูอีกคนดันติดธุระสำคัญขึ้นมาจึงฝากวานให้อยู่แทน “ไม่สิ อาจจะช้ามาก ๆ เลยก็ได้” ลฎาภาเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวเป็นเชิงสงสัย “ดูท่าวันนี้ พ่อของเด็กคนนั้นอาจจะมารับช้าอีกแล้วน่ะสิ” เมื่อพูดจบก็หันไปมองเด็กชายที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้ากลมน่ารัก ริมฝีปากเล็กสีชมพู ทว่าแววตานั้นกลับไม่สดใสเสียเลย “น่ารักอะแก” ลฎาภาเอ่ยปากชมพร้อมกับลุกขึ้น “แกรอฉันหน่อยนะ ฉันต้องรอจนกว่าพ่อของเขาจะมารับ” ลฎาภามองเด็กน้อยอย่างเพลินตา “เขาน่ารักมาก พ่อกับแม่เขาต้องสวยและหล่อมากแน่ ๆ” “แกเป็นเอามากนะ ชอบเด็กแต่ไม่อยากมีแฟน” “มันต่างกันนะยะ” หญิงสาวหันมาพูดอย่างหัวเสีย “ฉันชอบเด็ก แต่ไม่ได้อยากจะแต่งงานมีลูกสักหน่อย” “จ้ะ แม่คนรักเด็ก” “ฉันเข้าไปทักเด็กคนนั้นได้ไหมแก” ลฎาภาเอ่ยถามโดยที่สายตายังคงมองเด็กชายอยู่ “ก็ไปสิ แต่เด็กคนนั้นไม่ค่อยพูดนะ แกอาจจะไม่ชอบ...” ยังฟังไม่ทันจบลฎาภาก็ไม่อยู่ตรงนี้เสียแล้ว เกณิกามองเพื่อนสาวที่เดินเข้าไปหาและย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของเด็กชาย ลฎาภานั่งจ้องอยู่นานพอสมควรกว่าเด็กชายจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตรนัก ทว่าหญิงสาวก็ยังส่งยิ้มหวานให้กลับไป “ให้พี่เล่นเป็นเพื่อนไหม ?” เด็กน้อยจ้องมองและส่ายหน้าก่อนจะหันหลังหนีทันที ลฎาภามองเห็นเด็กชายนั่งกลิ้งลูกบอลพลาสติกเป็นเวลานาน จึงลุกขึ้นเดินไปย่อตัวนั่งที่หน้าของเด็กชายอีกครั้ง “เล่นคนเดียวเหงาน้า” เธอยังคงพูดพร้อมกับยิ้มหวานให้แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกลมนั้นยังไม่คิดที่จะคุยด้วยสักนิด “ป๊ะป๋าบอกว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้า คุณป้าเป็นคนแปลกหน้า” คุณป้า ?! หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อได้ยิน แต่เพราะความน่ารักและแก้มทั้งสองข้างนั้นทำให้เธอใจอ่อนอีกครั้ง “ยัยจอม ดูท่าแกจะชอบเด็กคนนี้มากเลยนะ” เกณิกาเดินเข้ามาหา “ก็น่ารักนี่ ฉันชอบเด็กผู้ชาย แก้มกลม ๆ ตาตี๋ น่าร๊ากอะ” หญิงสาวพูดขณะที่มองเด็กชายหันหน้าหนีและเล่นลูกบอลเพียงลำพัง ก่อนหันมาเอ่ยถามเกณิกาต่อไปว่า “แล้วพ่อของเขาจะมารับตอนไหนล่ะ” เกณิกาเมื่อได้ยินก็ถอนหายใจออกมา ไม่กล้าพูดเพราะเกรงใจเพื่อนรักนั่นเอง ทั้งที่เป็นฝ่ายนัดแท้ ๆ “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...”Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ่
Chapter 11 ‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ ป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็ม ลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก “เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !” หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร หลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่ง
Chapter 12 ผ่านมาสองวันแล้วที่ลฎาภาไม่ได้นั่งอยู่เฉยในบ้านเช่นเดิม หลังรับประทานอาหารมื้อเช้าช่วงสายเสร็จก็รีบจัดเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องใส่กล่องไว้เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากนั้นช่วงบ่าย หญิงสาวจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหางานพาร์ตไทม์ทำ “ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะคะ วันนี้ผู้จัดการร้านไม่เข้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับและรับกระดาษโน้ตมาเขียนข้อมูลลงไปก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านมา วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิมคือรอการติดต่อกลับไป เฮ้อ...บางทีอาจจะต้องกลับไปใช้เงินเก่าที่เก็บออมมาประทังชีวิตไปก่อนช่วงที่ยังว่างงาน “ร้านตรงนั้นก็ปิดรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ ตรงนี้ก็ด้วย จะไปหาที่ไหนดีล่ะ แถวนี้ก็ถามเกือบทุกร้านแล้วด้วย” ลฎาภาบ่นพึมพำเพียงลำพังขณะที่เดินหันมองไปยังร้านค้าด้วยสีหน้าสุดผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้วแท้ ๆ “งานก็หายาก เงินก็ต้องใช้ กลับบ้านไปดีไหมช่วงนี้น่ะ !” ลฎาภานิ่งค้างท่าที่ยืนตะโกนพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว เธอหันมองรอบ ๆ แล้วรีบเดินออกมาโดยไวทันที แต่ทว่ามีหญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาหา กล่าวทักทาย อย่างเป็
Chapter 13 ห้องทำงานบนชั้นสอง ภายในห้องเรียกว่าเป็นโทนน้ำตาลดำทั้งหมดจนดูน่าหม่นหมอง แต่ก็เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาวางของว่างบนโต๊ะทำงาน ครั้นเงยหน้าหันตัวก็พบกับตู้หนังสือจึงเดินเข้าไปหา แต่ละเล่มดูแล้วเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ ส่วนใหญ่เป็นของของวิลเลียม เชกสเปียร์ ดวงตากลมมองหนังสืออย่างหลงใหล ถึงแม้เธอจะไม่ใช่พวกหนอนหนังสือมากก็จริง แต่สมัยเรียนก็ชอบยืมหนังสืออ่านจากหอสมุดมาบ่อย ๆ “The Tempest” เธอพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับหนังสือตรงหน้าจำได้ว่าสมัยเรียนเคยจะยืมมาอ่านแต่ที่หอสมุดนั้นไม่มี และเธอก็ไม่อยากซื้อหนังสือเก็บจะลำบากตอนย้ายหอถ้าหากของเยอะ สายตามองอย่างอดใจ แม้จะเอื้อมมือแตะสันหนังสือที่วางอยู่โดยไม่หยิบออกมา “เฮ้อ...ตัดใจซะยัยจอม” ลฎาภาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันตัวออก “อุ๊ย !” หญิงสาวเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนจ้องมองอยู่ เธอยิ้มออกมาเจื่อน ๆ แล้วก้มหน้าลงก่อนจะเดินขยับข้างไปทีละนิด “ฉันนำอาหารว่างมาให้ค่ะ” เธอพูดขึ้นโดยไม่กล้าสบตามองเขาเพราะอีกฝ่ายเงียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่าโกรธ ไม่พอใจ หรืออะไรกันแน่ “วันนี้ป้าผ่องจะกลับบ้าน ช่วงเย็นหลังอาหย
Chapter 14 เจ้าตัวกลมไข้ลดและมีอาการดีขึ้นแล้วคุณหมอจึงให้กลับบ้านได้ ทีแรกลฎาภาคิดว่าคงต้องแยกกลับเพราะถ้านั่งรถเมล์อาจจะถึงช้ากว่า ทว่า อวิ่นเยว่เอ่ยปากออกมาว่า “ขึ้นรถสิ” นั่นทำให้เธอรู้สึกประหม่าจนบอกไม่ถูก ทันทีที่ถึงบ้านหญิงสาวก็ลงจากรถอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเกร็งมาตลอดทาง “เดี๋ยวฉันรีบไปเตรียมอาหารให้ก่อนนะคะ” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป อวิ่นเยว่มองแล้วเปิดประตูรถด้านหลังอุ้ม อาหยูออกมา ปกติแล้วเขาไม่ให้ผู้หญิงคนไหนนั่งติดรถมาด้วยเว้นมารดาเเละภรรยา แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจนี้มันคืออะไรที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาในครัว เธอยกมือขึ้นตบแก้มสองข้างเพื่อขจัดความคิดที่อยู่ในใจออกไป ก่อนจะรีบจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นและโต๊ะอาหาร จากนั้นเดินขึ้นไปยังห้องของเด็กชายที่ชายหนุ่มเฝ้าอยู่และทำงานไปด้วย หญิงสาวเคาะประตูก่อนจะเปิดแง้มเข้าไป เธอส่งสายตามองเขาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียง “คุณเผิงอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้วค่ะ จะให้ฉันยกขึ้นมาให้ไหมคะ ?” “เดี๋ยวผมลงไปกิน คุณกลับไปก่อนได้เลย” ลฎาภาพยักหน้า มองชายหนุ่มที่ก้มหน้าทำงานโดยไม่สนอะไร เธอเพียงรู้สึกว่ามื้อเย็นนี
Chapter 15 เขาจงใจ...! อวิ่นเยว่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดแต่ก็แอบเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เป็นระยะ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดใจให้ใครล้ำเส้นเข้ามา ลฎาภานั่งเกร็งอยู่ในรถโดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอีกเลย เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่สนใจที่เธอพูดสักนิด จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวจึงได้แต่จำใจเปิดประตูลงจากรถและรีบพูดขึ้นทันที “เอ่อ...คือว่า” เธออ้ำอึ้งพูดไม่ออก ทว่าเมื่อมือน้อยดึงที่ชายเสื้อจึงหันมอง เมื่อเห็นสายตาของเด็กชายที่ส่งอ้อนมองมา “ไปด้วยกันนะ คุณป้า” ลฎาภากะพริบตาเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายเปลี่ยนไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมองเธอด้วยความไม่พอใจอยู่เลย แต่จะปฏิเสธอาหยูได้อย่างไรกัน... หญิงสาวพยักหน้าตอบรับขณะที่เด็กชายเดินไปหาอวิ่นเยว่ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง เขาเดินนำไปได้ระยะหนึ่งเธอจึงเดินตามไปห่าง ๆ ทั้งที่คิดว่าพยายามหลีกตัวออกแล้ว แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันเล่า ! บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้ชวนอึดอัดเสียจริง ลฎาภานั่งเกร็งตลอดเวลาที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับอวิ่นเยว่ ทั้งที่ปฏิเสธแล้วแต่เป็นเพราะ
Chapter 16 “ในวันอังคารหน้าหน้าตอนเย็น มีลูกค้านัดรับประทานอาหารและเจรจาธุรกิจไปด้วย” เจตนิพัทธ์เอ่ยขึ้นขณะที่เดินตามอวิ่นเยว่เข้ามาในห้องทำงาน วันนี้เขาสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้านายที่ดูจะมีความสุขมากกว่าทุกวัน ชายหนุ่มหันมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่จดตารางงานไว้คร่าว ๆ ก่อนพูดขึ้น “อังคารหน้าตอนเย็น ฉันไม่ว่าง...เลื่อนมาช่วงบ่ายได้ไหม ?” “ได้ครับ ตอนแรกผมเห็นว่าคุณเผิงติดประชุม” “ฉันยกเลิกไปแล้วละ” อวิ่นเยว่พูดก่อนเดินอ้อมเข้ามานั่งที่เก้าอี้ทำงาน เอื้อมมือหยิบแฟ้มงานที่ถูกส่งขึ้นมาเปิดอ่านแล้วพูดต่อไปว่า “นายมีแฟนไหม ?” เจตนิพัทธ์ตาโตด้วยความตกใจกับคำถามที่ได้ยิน ตลอดหลายปีที่ทำงานกับเจ้านายมาไม่เคยได้ยินเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานสักนิด “เอ่อ...คุณเผิงถามทำไมครับ ?” อวิ่นเยว่ส่งสายตาให้เป็นเชิงบอกว่า...ตอบมาซะดี ๆ “มีครับ เอ่อ...”เจตนิพัทธ์ทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนเจ้านายถามถึง “ช่างเถอะ...ไม่สำคัญอะไร” อวิ่นเยว่ตัดบทที่จะพูดต่อ เขาก้มหน้าเซ็นเอกสารทันทีก่อนยื่นให้กับเจตนิพัทธ์ “ให้ฝ่ายขายสรุปยอดของเดือนก่อนส่งให้ฉันภายในสี่โมงของวันนี้” “ได้ครับ” เจตนิพัทธ์เอื้อมมือหยิบแฟ้มงานที่ถูกเซ็
Chapter 50“ป๊ะป๋า หม่าม้าจะไม่มาหาอาหยูแล้วเหรอ”เสียงของเจ้าตัวกลมเอ่ยขึ้นอวิ่นเยว่มองด้วยสายตาเรียบนิ่ง “มาสิ ช่วงนี้หม่าม้าไม่สบาย”ลฎาภามองรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจ้าตัวกลม เธอค่อย ๆ สาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น มือข้างหนึ่งเอื้อมสัมผัสที่ใบหน้าของเขา แม้จะจับต้องไม่ได้แต่ว่าเธอรับรู้ถึงความอบอุ่นจากเขาเป็นอย่างดี หยดน้ำตาที่พยายามกลั้นได้ไหลรินลงมาแวบหนึ่งความคิดที่ว่าเธอยังไม่อยากตาย อยากจะใช้เวลาอยู่กับเขาและเจ้าตัวกลมให้นานกว่านี้...แต่คงทำไม่ได้แล้วสินะ“เมื่อไหร่หม่าม้าจะหายเหรอ” เสียงงอแงของเจ้าตัวกลมเปล่งออกมา ทั้งรู้สึกเศร้าและคิดถึง แต่ก็ไม่อยากจะทำให้ป๊ะป๋ารู้สึกลำบากใจ “อาหยูคิดถึงหม่าม้า”“อืม” อวิ่นเยว่ครางรับก่อนหันหน้ามองลูกชายตัวน้อย “ป๊ะป๋าก็คิดถึงเหมือนกัน”‘คุณเผิงคะ ฉันอยู่ที่นี่ไงคะ’ เธอพูดด้วยเสียงสะอื้น รู้ดีว่าเขาจะไม่มีทางได้ยิน ถึงแม้จะพยายามโอบกอดเขามากเท่าไหร่กลับเป็นเพียงความว่างเปล่าลฎาภาขยับตัวออกห่างจากชายหนุ่ม
Chapter 49หญิงสาวรีบถอยหลังออกเดินด้วยความตกใจและหวาดกลัว จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็รู้สึกสั่งการไม่ได้ ทั้งยังมีเสียงสะท้อนดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง‘ถึงเวลาแล้วสินะ’เสียงสะท้อนที่ทำให้ร่างกายของหญิงสาวชาไปทั่ว เธอหันมองไปยังต้นเสียงและรู้ว่ามันดังมาจากศาลเจ้าที่เดินเข้าไปเมื่อกี้ลฎาภาพยายามตั้งสติและวิ่งหนีออกมาทันที แค่ไปให้ไกลเท่านั้นบ้าชะมัดเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !เธอสะดุ้งจากภวังค์เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก้มตัวลงรีบหยิบขึ้นดูปลายสายที่โทร. เข้ามาก่อนกดรับ[อ่านข้อความแล้วหรือยัง อย่าลืมที่นัดกันนะ]“อืม...” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่ว ขณะที่มองไปยังถนนข้างหน้าที่ห่างไม่ไกลนัก[แล้วนี่เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดูเหมือน...]คำถามสุดท้ายไม่ได้เข้าประสาทหูเลยสักนิด เพราะเสียงโวยวาย กรีดร้องทำให้หญิงสาวส่งสายตาไปข้างหน้ามองเหตุการณ์ที่กำลังชุลมุนจากการทะเละวิวาทกันของกลุ่มวัยรุ่น เธอไม่ได้สนใจแต่ก็ยืนอึ้งอยู่นาน จนกระทั่งเห็นใบมีดลอยเข้ามาใกล้ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อกำลังลอยผ่านอากาศมายังใบหน
Chapter 48“แล้วอาหยูเคยเจอหม่าม้าไหม ?”“เจอสิ เจอเกือบทุกวันเลย พอวันที่อาหยูไม่ไปโรงเรียน ป๊ะป๋าก็จะพาอาหยูกะหม่าม้าไปเที่ยวด้วยกัน ~” น้ำเสียงน่ารักของเจ้าตัวกลมเอ่ยออกมา พอพูดแล้วก็ยิ่งแสดงสีหน้ามีความสุข ตรงข้ามกับอวี้หลันที่แทบจะทนฟังต่อไปไม่ได้“หมายถึงหม่าม้าที่คลอดอาหยูออกมาน่ะ”เจ้าตัวกลมกะพริบตามองพลางเอียงคอ “หม่าม้าที่คลอดอาหยู ?”“หม่าม้าแท้ ๆ ของอาหยูไง คนที่คลอดอาหยูออกมา”เด็กชายทำท่าทางคิดหนักแล้วพยักหน้าอีกครั้ง “หม่าม้าคนนั้นนี่เอง ป๊ะป๋าบอกว่าหม่าม้าคนนั้นถูกคูณปีศาจลงโทษไปแล้ว”“หา ?”“เพราะว่าเป็นคนไม่ดี คูณปีศาจเลยลงโทษ”อวี้หลันอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก นี่คือคำตอบที่อวิ่นเยว่บอกลูกชายหรือไงกัน ?! เด็ก ๆ ก็ต้องการอยู่ใกล้แม่มากที่สุด ใช่ว่าจะไม่เคยถามเลย คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมถึงพูดอะไรที่ทำให้เข้าใจยากแบบนี้ออกไป“แล้วถ้าหม่าม้าคนนั้นโดนคูณปีศาจปล่อยตัวมาแล้ว อยากให้กลับมาไหม”“ไม่เอา” เจ้าต
Chapter 47“ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ” ลฎาภาพูดพร้อมหยิบกระเป๋าและลุกขึ้น ทว่าอวี้หลันลุกขึ้นและเข้ามานั่งเกาะขาไว้ทันที ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย “คุณจะทำอะไร ?!”“ขอร้องนะคะ คืนสามีให้ฉันเถอะค่ะ !”แน่นอนว่าไม่ใช่คำพูดเบา ๆ เหมือนที่สนทนากันก่อนหน้านี้ อวี้หลันจงใจพูดเสียงดังให้พนักงานในร้านและคนที่นั่งอยู่ออกไปไม่ไกลได้ยินอย่างชัดเจนลฎาภาอึ้งและตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้สติก็รีบพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกจากขา“คืนครอบครัวของฉันมาเถอะค่ะ ได้โปรด...ฉันแค่อยากอยู่กับลูกและสามีก็เท่านั้น”คำพูดนี้ยิ่งทำให้ลฎาภารู้สึกอายเมื่อคนที่นั่งอยู่ในร้านต่างหันมามอง หล่อนจงใจอยู่แล้วสินะ จงใจให้คนในร้านเห็นราวกับสร้างเรื่องว่าเธอเป็นเมียน้อยที่แย่งสามีมา จนสุดท้ายก็เลิกที่จะยื้อแกะมือของอีกฝ่ายออก“ฉันไม่รู้เหตุผลที่คุณทำแบบนี้นะคะ แต่คุณก็ทิ้งลูกกับสามีไปไม่ใช่เหรอคะ ? ทิ้งให้เขาอยู่ลำพัง...” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่น “คุณไปอยู่ที่ไหนมาคะ ? ทำไมถึงต้องทิ้งลูกตัวเอ
Chapter 46วันเวลาล่วงผ่านไปเกือบเดือนอวี้หลันไม่รู้เรื่องข่าวของบริษัทอวิ่นเยว่อีกเลย ทั้งที่พยายามถามแต่เขาไม่ค่อยจะบอก หน้าที่ตอนนี้เป็นเพียงสะใภ้ที่ต้องคอยดูลูกชายเท่านั้นหญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนักเพราะอวิ่นเยว่ดูเหมือนจะทำงานทั้งวันจนไม่มีเวลาให้ อีกทั้งเงินใช้จ่ายที่เคยได้ก็ลดลงไป“ป้าผ่อง คุณแม่ออกไปไหน”“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เห็นว่าช่วงเย็น ๆ จะกลับมาค่ะ”หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้นต่อไปว่า “ป้าผ่องว่างอยู่ใช่ไหม ? ฉันอยากจะฝากอาหยูไว้สักสามชั่วโมง”“จะออกไปซื้อของใช้เหรอคะ ให้ป้าไปแทนดีกว่าไหม”อวี้หลันมีสีหน้าหงุดหงิด“ไม่ค่ะ ฉันอยากจะออกไปเอง”“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจะดูแลอาหยูให้เอง” ป้าผ่องตอบรับก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเด็กทารกที่นอนอยู่ในแปลของห้องนั่งเล่น ส่วนหญิงสาวมองด้วยสายตารำคาญและใส่รองเท้าเดินออกจากบ้านไปทันทีอวี้หลันเดินออกมาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อไปห้างสรรพสินค้า ทั้งที่ก่อนหน้าตั้งใจจะอดทนอีกนิดเพื่อรั้งความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ถึงที่สุด ทว่าอวิ่น
Chapter 45“อวิ่นเยว่ !” อวี้หลันกำมือจิกแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ เพราะความเจ็บปวดและรักแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในใจ “ฉันรักคุณค่ะ”อวิ่นเยว่ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขากุมมือของลฎาภาเดินกลับเข้าไปข้างในทันที“จะไม่คุยกับเธอหน่อยหรือคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานเขาอวิ่นเยว่คลายมือออกจากมือของเธอโดยที่ไม่หันกลับมา“ไม่มีความจำเป็น”น้ำเสียงเยือกเย็นทำให้ลฎาภารู้สึกตกใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าอยากจะเห็นแก่ตัวมากกว่านี้แต่ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้าตัวกลมออกมาจึงทำใจไม่ลง “แต่เธอเป็นหม่าม้าของอาหยูนะคะ”ชายหนุ่มสะอึกก่อนจะหันมามองหญิงสาว “คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” พอรู้ตัวว่าอารมณ์กำลังขุ่นมัวอยู่ก็คิดได้ว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ควรเอ่ยเลย“สักพักแล้วค่ะ” ลฎาภาพูดต่อไป “เธอเคยมาหาฉัน...เรื่องของคุณ”อวิ่นเยว่มองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนหันหน้าหนีเบือนไปทางอื่น“ผมขอโทษที่ไม่เคยบอกคุณ”นั่นไม่ใช่ประเด็น
Chapter 44วันรุ่งขึ้นหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลฎาภาก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าตัวกลมเพราะบอกว่าอยากวาดภาพด้วยกันกับเธอ ทั้งยังทำเสียงอ้อนงอแงด้วย ส่วนอวิ่นเยว่นั้นกลับไปที่ห้องทำงานบอกว่ามีงานต้องสะสางให้เสร็จ จวบจนเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงเธอจึงปล่อยให้อาหยูนั่งระบายสีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นตามลำพังและเดินเข้ามาในครัว ช่วยป้าผ่องเตรียมโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน“วันนี้มื้อเย็นป้าผ่องจะทำอะไรบ้างคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นด้วยความเคยชิน“ป้าทำเสร็จหมดแล้วละเพราะช่วงเย็นป้าไม่อยู่ ลูกสะใภ้ป้าไม่สบายไม่มีใครดูแลหลาน ๆ เลย”“ป้ากลับเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวตรงนี้จอมจัดการเองค่ะ” ลฎาภาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทำให้ป้าผ่องมองหญิงสาวอย่างเอ็นดูและคิดว่าคุณเผิงคงเลือกผู้หญิงไม่ผิดแล้วจริง ๆ“เดี๋ยวป้าจัดการครัวและเก็บเสื้อผ้าก่อน ค่อยกลับจ้ะ”ลฎาภาพยักหน้ายิ้มรับขณะที่ยกกับข้าวออกไปวางที่โต๊ะอาหาร“หม่าม้า” อาหยูเดินจ้ำ ๆ เข้ามาหาพลางเอื้อมมือดึงชายเสื้อของเธอหญิงสาวหันไปหาเจ้าตัวกลม &l
Chapter 43เจ้าตัวกลมสะดุ้งและพยักหน้าหงึก ๆ เป็นการตกลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อสีหน้าของป๊ะป๋าน่ากลัวกว่าคุณปีศาจซะอีกอวิ่นเยว่ยิ้มอย่างพึงใจก่อนหันมาพูดกับหญิงสาว“คุณนั่งรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้”“คุณจะไปไหนคะ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก “ผมจะไปซื้อคุณหมีให้อาหยู”“ให้ฉันไปช่วยไหมคะ ?”อวิ่นเยว่ส่ายหน้า “ผมฝากคุณดูอาหยูสักพักแล้วจะรีบมา”“ได้ค่ะ” ลฎาภาตอบรับขณะเขาพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปในย่านซื้อของฝากทันทีทางด้านอาหยูพอป๊ะป๋าตอบรับว่าจะซื้อให้ก็ไม่ได้ดีใจ ตรงข้ามกันกลับงอนแก้มป่องควันออกหูอีก ลฎาภาสังเกตเจ้าตัวกลมก้มนั่งนิ่งแล้วยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูเธอยกมือลูบศีรษะของเด็กน้อย ขณะที่เจ้าตัวกลมหันมองและก้มหน้าซบลงที่ตักเป็นเชิงอ้อน“หม่าม้ารักอาหยูไหม”ลฎาภาชะงักมองอาหยูที่เงยหน้าส่งสายตารอคำตอบ“รักสิ” เธอตอบพลางใช้มือขยี้เส้นผมของเจ้าตัวกลม“ก็อาหยูน่ารักนี่นา”เจ้าตั
Chapter 42‘ได้โปรดให้ฉันได้พบเขานะคะ’‘คืนเขาให้ฉันนะคะ ได้โปรด...คืนครอบครัวให้ฉันนะคะ’หญิงสาวยกมือขึ้นปิดเสียงที่ดังขึ้นผ่านเข้ามาในหูจนไม่อาจทนรับได้อีกทั้งความเจ็บปวดที่ไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งความเศร้าที่ไม่สามารถรับไหว แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวและสับสน หยดน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว มือที่ปิดหูอยู่คลายออกเมื่อเสียงนั้นหายไป‘คุณยังรักเธอไหมคะ ?’เสียงของเธอ ไม่ผิดแน่ !แววตาลฎาภาสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงของตัวเองก้องในหู เธอหลับตาลง อยากหนีไปให้ไกล หากคำถามนี้เป็นคำถามที่ถามเขาเพื่อให้เลือกระหว่างเธอกับอวี้หลันแล้ว ไม่อยากรับรู้ ...หญิงสาวส่ายหน้าหนี ขยับตัวขึ้นจากบ่อน้ำพลางเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนู แต่จู่ ๆ ทุกอย่างรอบกายกลับกลายเป็นสีดำมืดมิดไปหมด เธอก้มลงมองร่างกายที่สวมเสื้อผ้าชุดทำงานที่ใส่ประจำเต็มไปด้วยเลือดสีแดง !ลฎาภาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดวงตากลมสั่นระริกมองไปยังความมืดเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ! นี่คงเป็นความฝันของเธอพื้นที่มืดมิดจนมองไม่เห็นแสง แม้สองเท้าจะพยายามก้าวเดินไปข