Chapter 7
“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ลฎาภามองและขยับตัวลุกขึ้นตามด้วยเช่นกัน ก่อนจะนั่งลงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์แล้วบันทึกเบอร์ของชายหนุ่มที่เพิ่งโทร. เข้าไว้ “ตายละ ลืมถามชื่อ...” เธอนั่งนิ่งอยู่นานเพื่อนึกชื่อพิมพ์สำหรับจำ แต่ในเมื่อไม่รู้จักเขาอย่างเป็นทางการก็ต้องบันทึกอะไรที่ทำให้นึกออกง่ายเอาไว้ก่อน “แบบนี้ละกัน” หลังจากที่บันทึกเบอร์โทรศัพท์แล้ว หญิงสาวก็กดโทร. ออกหาพี่สาว [ยัยจอม ! ทำไมไม่รับสายที่บ้าน นี่แกหาโทรศัพท์เจอแล้วเหรอ] ยังไม่ทันจะพูดเสียงปลายสายทำให้ต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู “หาเจอแล้ว นี่ก็จะโทร. มาถามว่าวันนี้จะกลับมากินมื้อเย็นไหม” [ไม่น่ะ พี่มีนัดกับเพื่อน] “งั้นก็ดีเลย จอมขี้เกียจทำเหมือนกัน” หญิงสาวตอบพลางเอื้อมมือหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่ม [แค่นี้ก่อนนะ พี่รีบ] เมื่ออีกฝ่ายพูดจบก็วางสายไป หญิงสาวได้แต่นั่งงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วรีบหยิบของทั้งหมดเดินออกจากร้านไปทันที เวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง หลังจากซื้อของไปพลางๆ ทว่าก็ไม่ได้เลือกซื้ออะไรมากมาย นั่นเพราะต้องประหยัดเงินในบัญชีประคองจนกว่าจะได้งานใหม่ทำ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะถูกพี่สาวส่งกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้ ลฎาภาถอนหายใจออกมาเดินมองหาร้านอาหารก่อนจะเข้าไปนั่งรับประทานเพียงลำพัง... ถลัชนันท์กลอกตาซ้ายทีขวาที เพื่อมองการสนทนาระหว่างชายหนุ่มและแม่ของเขาบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น แม้ว่าในร้านอาหารนี้จะหรูและแพง รสชาติอาหารเป็นที่ร่ำลือ ทว่าเมื่อเธอตักเข้าปากแล้วกลับรู้สึกขมคอจนอยากจะอ้วกออกมา ตอนนี้ทำเพียงแค่เงียบนิ่งและไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น ก้มหน้าตักกินโดยไม่รับรู้ความอึดอัดนี้ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายถึงขึ้นต้องแต่งงานรับผิดชอบด้วยซ้ำ แต่เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายออกปากมาเอง...เธอก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ ที่สำคัญไม่ใช่แค่ครอบครัวเขาดูมีฐานะดีเท่านั้น แต่ยังรวยมากด้วย ถึงจะแต่งงานเพราะไม่ใช่ความรัก แต่ถ้าต่างคนต่างอยู่ไปเธอก็ยินดี ในเมื่อไม่มีอะไรจะให้เสียหายอีกแล้ว ทั้งถูกแฟนนอกใจ ทั้งเสีย ครั้งแรกให้คนแปลกหน้า ไม่มีอะไรที่โชคร้ายและน่าเศร้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว เอาเป็นว่า...ปลงกับชีวิตแล้วกัน “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ” ลภัสรดาพูดขณะหยิบผ้าเช็ดปากเช็ด โดยที่ไม่สนสีหน้าและแววตาไม่พอใจของลูกชายแม้แต่น้อย “ส่วนเธอ...เร็ว ๆ นี้จะทำเรื่องสู่ขอทางผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ยังไงก็...” “เออ...คือตอนนี้หนูอยู่กับน้องสาวแค่สองคนค่ะ” หญิงสาวพูดปด เพราะไม่ต้องการให้ทางครอบครัวรู้เรื่องนี้ “แล้วญาติผู้ใหญ่คนอื่นล่ะ” “ไม่มีค่ะ” ถลัชนันท์รีบตอบกลับทันที “คุณแม่ครับ...” “งั้นเรื่องงานแต่งนี้ ทางป้าจะเป็นฝ่ายจัดการให้เองแล้วกัน” ลภัสรดาพูดแทรกโดยไม่สนลูกชายเลยสักนิด ความจริงแล้วหญิงสาวตรงหน้าก็ไม่ได้เป็นดังที่หวังไว้มากนัก เพราะเธอตั้งใจอยากจะให้ลูกชายเพียงคนเดียวแต่งงานกับลูกสาวบ้านที่มีฐานะเทียมกัน ทว่านั่นก็เป็นเรื่องยากไปเสียหน่อยเพราะ ศรันภัทรไม่เคยยอมมานัดดูตัวตามที่บอก ถึงมาก็ทำเรื่องที่เกินคาดจนฝ่ายผู้ใหญ่รับไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าโชคเข้าข้าง แม้จะไม่ชอบเรื่องฐานะของฝ่ายหญิงแต่โดยรวมก็ถือว่าไม่ได้แย่มากนัก “เอ่อ...ค่ะ” ถลัชนันท์ตามน้ำอีกฝ่าย ทว่าในใจก็กลัวเรื่องที่ตามมาอีก “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ทันทีที่พูดจบศรันภัทรก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “งั้นก็ไปส่งว่าที่ภรรยาของแกด้วยเลยละกัน จะได้รู้จักกันมากขึ้น” ลภัสรดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าสายตากลับจ้องมองและบอกเป็นเชิงสั่งว่าต้องทำ “เอ่อ..ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองดีกว่า” หญิงสาวพูดปฏิเสธอย่างเกรงใจ ทั้งที่จริงกลับคิดว่าหากต้องนั่งรถกลับกับเขาแล้วคงทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องนั่งรถมากับเขาจนได้ ถลัชนันท์ได้แต่นิ่งเงียบตลอดทาง มีเพียงการบอกทางเป็นระยะ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาในซอยเกือบจะถึงหน้าบ้านชายหนุ่มก็หยุดจอดลง นั่นเพราะว่ามีรถอีกคันมาจอดขวางอยู่หน้าประตูบ้านก่อนหน้าแล้ว ถลัชนันท์ส่งสายตามองด้วยความตกใจเล็กน้อย มือและร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ แน่นอนว่าไม่เคยลืมเลยว่ารถคันนี้เป็นของใคร ผู้ชายเลว ๆ คนนั้นนั่นเอง... ดวงตากลมมองด้วยความตกใจและสั่นเทา ถลัชนันท์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันมองศรันภัทรทันทีที่รถหยุดจอดลง แล้วฝืนยิ้มหวานให้ชายหนุ่มตรงหน้าราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไร “ขอบคุณค่ะ” ทันทีที่กล่าวจบก็รีบหันตัวเพื่อเปิดประตูออก ทว่า... “แฟนคุณใช่ไหม ?” ศรันภัทรเอ่ยถามออกมาทำให้เธอหยุดชะงักลง ถลัชนันท์หันกลับมา “ก็แค่เคยเป็นค่ะ ทำไมหรือคะ?” “เปล่า” ศรันภัทรตอบเสียงสูงแล้วเงียบนิ่งไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งหญิงสาวเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว เขาก็ส่งสายตามองไปยังรถที่จอดอยู่ตรงหน้านั้นทันที นั่นเป็นสิ่งที่เดาไม่ผิดอย่างแน่นอนว่าเธอยังคงมีใจให้ผู้ชายคนนั้นอยู่ ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ ชายหนุ่มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง ทางด้านถลัชนันท์ก็เดินมาที่หน้าประตูโดยไม่คิดจะสนใจรถที่จอดอยู่ แม้ว่าเจ้าของนั้นจะเดินก้าวเข้ามาหาก็ตาม “เดี๋ยวสิรัก คุยกับพี่ก่อน” อรรถนนท์วิ่งเข้าไปหาและเอื้อมมือคว้าที่ต้นแขน ทำให้ถลัชนันท์หันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะใช้แรงพยายามสะบัดออกทันที “เอามือสกปรกออกไป !” “ฟังพี่ก่อนสิ ได้ไหม ?” ถลัชนันท์ส่งสายตามองอย่างสมเพช “จะตอแหลอะไรอีกล่ะ ?” “รัก ! ทำไมพูดกับพี่แบบนี้ !” อรรถนนท์ไม่พอใจ “ทำไม !” ถลัชนันท์ข่มน้ำเสียง ส่งสายตาจ้องมองด้วยความขุ่นเคือง ที่ผ่านมาตลอดหลายปีไม่เคยนอกใจเขาสักนิด ทั้งยังพยายามทำตัวให้ดีขึ้นแต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นเขาที่ทรยศต่อความรักของเธอ “กลับไปเถอะ รักไม่อยากจะคุยอีก...” อรรถนนท์ตั้งสติใหม่อีกครั้ง แล้วสบตามองหญิงสาว “รัก...พี่ขอโทษ ให้โอกาสพี่อธิบายได้ไหม มันไม่ใช่แบบที่รักเข้าใจนะ” “พอเถอะค่ะ เรื่องของเรามันจบลงแล้ว” ถลัชนันท์พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ในร้านอาหารที่รักเห็นมันไม่ใช่เลยนะ” หญิงสาวหัวเราะสมเพช “เหอะ ! ร้านอาหารงั้นเหรอ แต่ที่รักเห็นคือพี่นอนกับผู้หญิงคนนั้น ! และคบกันลับหลังมาตั้งหนึ่งปี นี่น่ะเหรอที่จริงใจ” อรรถนนท์สะอึกโดยไม่กล้าพูดอะไรต่อ “อย่ามาที่นี่อีก อย่าให้รักขยะแขยงมากกว่านี้...” เมื่อพูดจบถลัชนันท์ก็เดินเข้าไปในบ้านทันทีทิ้งให้อีกฝ่ายยืนอึ้งอยู่ ครั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขกพบว่าน้องสาวกำลังนอนดูโทรทัศน์อย่างสบายใจ ทั้งท่าทางที่นอนกึ่งนั่งและขนมในมือ...ช่างน่าอิจฉาเสียจริง “กลับมาแล้วเหรอ ?” “อืม” ถลัชนันท์ส่งเสียงในลำคอ พลางวางกระเป๋าแล้วนั่งลงที่โซฟาข้างน้องสาว “เป็นไง ? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้น” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างหนักเมื่อได้ยินคำถาม เธอไม่รู้ว่าจะเรียงคำพูดอย่างไรเพื่อเล่าเรื่องอัดอั้นทั้งหมดให้ฟังดี ทั้งที่จริงแล้วจะตอบปฏิเสธงานแต่งไปตั้งแต่คราวก่อนก็ได้แล้วแท้ ๆ แต่เพราะว่าความขุ่นเคืองและน้อยใจยังคงมีอยู่ จึงไม่สามารถพูดปฏิเสธงานแต่งไป “ไม่รู้สิ” “เรื่องพี่อาร์ตเหรอ ? เมื่อกี้จอมเห็นเขามาหาพี่นะ กดกิ่งถามหาอยู่แต่จอมบอกพี่ไม่อยู่ ไม่รู้ป่านนี้กลับไปแล้วหรือยัง” ลฎาภาเอ่ยขณะที่สายตายังจ้องมองโทรทัศน์ ถลัชนันท์ถอนหายใจออกมาเสียงดังโดยไม่พูดอะไร ขณะที่ลฎาภาขยับตัวลุกขึ้นแล้วหันมาถาม “พี่จะดูต่อใช่ไหม ? งั้นอย่าลืมปิดด้วยล่ะ” “ไม่ละ ปิดไปเลย” ลฎาภามองก่อนเดินไปปิดและถอดปลั๊กออก “ไปนอนละ พี่ก็รีบนอนได้ละนะ” หลังจากที่น้องสาวเดินลับสายตาไปแล้วถลัชนันท์ก็ยังคงนั่งอยู่ไม่ไปไหน นานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่จะลุกขึ้นเดินมายังห้องนอน...Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ่
Chapter 11 ‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ ป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็ม ลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก “เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !” หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร หลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่ง
Chapter 12 ผ่านมาสองวันแล้วที่ลฎาภาไม่ได้นั่งอยู่เฉยในบ้านเช่นเดิม หลังรับประทานอาหารมื้อเช้าช่วงสายเสร็จก็รีบจัดเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องใส่กล่องไว้เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากนั้นช่วงบ่าย หญิงสาวจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหางานพาร์ตไทม์ทำ “ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะคะ วันนี้ผู้จัดการร้านไม่เข้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับและรับกระดาษโน้ตมาเขียนข้อมูลลงไปก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านมา วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิมคือรอการติดต่อกลับไป เฮ้อ...บางทีอาจจะต้องกลับไปใช้เงินเก่าที่เก็บออมมาประทังชีวิตไปก่อนช่วงที่ยังว่างงาน “ร้านตรงนั้นก็ปิดรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ ตรงนี้ก็ด้วย จะไปหาที่ไหนดีล่ะ แถวนี้ก็ถามเกือบทุกร้านแล้วด้วย” ลฎาภาบ่นพึมพำเพียงลำพังขณะที่เดินหันมองไปยังร้านค้าด้วยสีหน้าสุดผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้วแท้ ๆ “งานก็หายาก เงินก็ต้องใช้ กลับบ้านไปดีไหมช่วงนี้น่ะ !” ลฎาภานิ่งค้างท่าที่ยืนตะโกนพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว เธอหันมองรอบ ๆ แล้วรีบเดินออกมาโดยไวทันที แต่ทว่ามีหญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาหา กล่าวทักทาย อย่างเป็
Chapter 13 ห้องทำงานบนชั้นสอง ภายในห้องเรียกว่าเป็นโทนน้ำตาลดำทั้งหมดจนดูน่าหม่นหมอง แต่ก็เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาวางของว่างบนโต๊ะทำงาน ครั้นเงยหน้าหันตัวก็พบกับตู้หนังสือจึงเดินเข้าไปหา แต่ละเล่มดูแล้วเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ ส่วนใหญ่เป็นของของวิลเลียม เชกสเปียร์ ดวงตากลมมองหนังสืออย่างหลงใหล ถึงแม้เธอจะไม่ใช่พวกหนอนหนังสือมากก็จริง แต่สมัยเรียนก็ชอบยืมหนังสืออ่านจากหอสมุดมาบ่อย ๆ “The Tempest” เธอพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับหนังสือตรงหน้าจำได้ว่าสมัยเรียนเคยจะยืมมาอ่านแต่ที่หอสมุดนั้นไม่มี และเธอก็ไม่อยากซื้อหนังสือเก็บจะลำบากตอนย้ายหอถ้าหากของเยอะ สายตามองอย่างอดใจ แม้จะเอื้อมมือแตะสันหนังสือที่วางอยู่โดยไม่หยิบออกมา “เฮ้อ...ตัดใจซะยัยจอม” ลฎาภาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันตัวออก “อุ๊ย !” หญิงสาวเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนจ้องมองอยู่ เธอยิ้มออกมาเจื่อน ๆ แล้วก้มหน้าลงก่อนจะเดินขยับข้างไปทีละนิด “ฉันนำอาหารว่างมาให้ค่ะ” เธอพูดขึ้นโดยไม่กล้าสบตามองเขาเพราะอีกฝ่ายเงียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่าโกรธ ไม่พอใจ หรืออะไรกันแน่ “วันนี้ป้าผ่องจะกลับบ้าน ช่วงเย็นหลังอาหย
Chapter 14 เจ้าตัวกลมไข้ลดและมีอาการดีขึ้นแล้วคุณหมอจึงให้กลับบ้านได้ ทีแรกลฎาภาคิดว่าคงต้องแยกกลับเพราะถ้านั่งรถเมล์อาจจะถึงช้ากว่า ทว่า อวิ่นเยว่เอ่ยปากออกมาว่า “ขึ้นรถสิ” นั่นทำให้เธอรู้สึกประหม่าจนบอกไม่ถูก ทันทีที่ถึงบ้านหญิงสาวก็ลงจากรถอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเกร็งมาตลอดทาง “เดี๋ยวฉันรีบไปเตรียมอาหารให้ก่อนนะคะ” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป อวิ่นเยว่มองแล้วเปิดประตูรถด้านหลังอุ้ม อาหยูออกมา ปกติแล้วเขาไม่ให้ผู้หญิงคนไหนนั่งติดรถมาด้วยเว้นมารดาเเละภรรยา แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจนี้มันคืออะไรที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาในครัว เธอยกมือขึ้นตบแก้มสองข้างเพื่อขจัดความคิดที่อยู่ในใจออกไป ก่อนจะรีบจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นและโต๊ะอาหาร จากนั้นเดินขึ้นไปยังห้องของเด็กชายที่ชายหนุ่มเฝ้าอยู่และทำงานไปด้วย หญิงสาวเคาะประตูก่อนจะเปิดแง้มเข้าไป เธอส่งสายตามองเขาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียง “คุณเผิงอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้วค่ะ จะให้ฉันยกขึ้นมาให้ไหมคะ ?” “เดี๋ยวผมลงไปกิน คุณกลับไปก่อนได้เลย” ลฎาภาพยักหน้า มองชายหนุ่มที่ก้มหน้าทำงานโดยไม่สนอะไร เธอเพียงรู้สึกว่ามื้อเย็นนี
Chapter 15 เขาจงใจ...! อวิ่นเยว่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดแต่ก็แอบเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เป็นระยะ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดใจให้ใครล้ำเส้นเข้ามา ลฎาภานั่งเกร็งอยู่ในรถโดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอีกเลย เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่สนใจที่เธอพูดสักนิด จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวจึงได้แต่จำใจเปิดประตูลงจากรถและรีบพูดขึ้นทันที “เอ่อ...คือว่า” เธออ้ำอึ้งพูดไม่ออก ทว่าเมื่อมือน้อยดึงที่ชายเสื้อจึงหันมอง เมื่อเห็นสายตาของเด็กชายที่ส่งอ้อนมองมา “ไปด้วยกันนะ คุณป้า” ลฎาภากะพริบตาเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายเปลี่ยนไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมองเธอด้วยความไม่พอใจอยู่เลย แต่จะปฏิเสธอาหยูได้อย่างไรกัน... หญิงสาวพยักหน้าตอบรับขณะที่เด็กชายเดินไปหาอวิ่นเยว่ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง เขาเดินนำไปได้ระยะหนึ่งเธอจึงเดินตามไปห่าง ๆ ทั้งที่คิดว่าพยายามหลีกตัวออกแล้ว แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันเล่า ! บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้ชวนอึดอัดเสียจริง ลฎาภานั่งเกร็งตลอดเวลาที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับอวิ่นเยว่ ทั้งที่ปฏิเสธแล้วแต่เป็นเพราะ
Chapter 61 (special III)“นี่...” เธอเรียกเขาด้วยเสียงสะอื้นก่อนจะใช้มือดึงเสื้อจากทางด้านหลัง “ทำไมถึงยอมมารับฉันล่ะ”“ไม่รู้สิ” ศรันภัทรตอบโดยไม่หันหลังกลับไปงั้นเหรอ...?ถลัชนันท์ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มทางด้านหลัง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่รักเลยเพียงแต่ว่าอยากทำยังไงก็ได้ให้ความเจ็บปวดนี้หายไป“มีอะไรกับฉันได้ไหม” เป็นคำพูดสิ้นคิดหรือความต้องการในส่วนลึกกันแน่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพียงแต่ถ้ามันปลอบใจจากความเจ็บปวดได้แล้วล่ะก็... “แค่ครั้งนี้ แล้วพรุ่งนี้ฉันสัญญาว่าจะหย่ากับคุณ ขอร้องละ”ศรันภัทรยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดจากปากหญิงสาว เขาเองตอนนี้ยังสับสนมากที่จะบอกว่ารู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้แบบคนรักจริง ๆรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...ถลัชนันท์คลายมือออกจากชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา บางทีก็คิดว่าพอแล้วกับความรักที่เข้ามา“ขอโทษค่ะ ฉันคงบ้าไปหน่อย” เธอพูดเสียงสั่นพลางหัวเราะ “ถ้ายังไงพรุ่งนี้เราไปหย่ากันนะค
(special I)เวลาทำงานผ่านไปจวบจนกระทั่งหมดวันแล้ว ถลัชนันท์ขยับตัวเก็บกองเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายเช็กชื่อออกจากบริษัทไป แต่ละวันผ่านไปก็ช่างยาวนานซะเหลือเกิน และก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ตื่นเช้าออกไปทำงานกลับมาบ้านกินข้าวและเข้านอน ถึงแม้ว่าช่วงเดือนนี้จะเริ่มสนทนากับสามีที่แต่งงานด้วยมากขึ้นก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์รักใคร่ก็ไม่ได้พัฒนาตามไปด้วยเลยหญิงสาวเดินออกจากลิฟต์แล้วหยุดชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายที่โทร. เข้ามา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถลัชนันท์เอ่ยถามอย่างทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือสามีนั่นเอง น้อยครั้งที่เขาจะติดต่อมาหาหรือยอมพูดคุยด้วย[เปล่า คุณแม่บอกวันนี้คุณจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เลยให้ผมโทร.มาถามว่ากลับดึกไหม ?]พอได้ฟังก็รู้สึกสมเพชตัวเองมานิดหนึ่ง ทว่าเรื่องนี้ก็เริ่มชินไปซะแล้ว อีกอย่างแม่สามีไม่ได้ใจร้ายเหมือนในละครหลังข่าว ตรงข้ามกันกลับทำดีกับเธอด้วยซ้ำไป“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันมีนักเดตกับเพื่อนสมัยเรียน” เธอตอบกลับไปแล้วพูดต่อไปว่า &ld
ค่ำคืนแสนหวานอันยาวนานได้ผ่านพ้นไปเข้าสู่เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างเล็กบนเตียงขยับตัวปรือตาด้วยความหนักอึ้ง หันมองพื้นที่เตียงว่างเปล่าก่อนใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงร่างกายขึ้นนั่ง สะโพกปวดร้าวระบมไปหมดจนไม่มีแรงจะขยับ ดวงตากลมมองรอบห้องที่เงียบสนิทไร้วี่แววของชายหนุ่มประตูห้องถูกเปิดออกหญิงสาวรีบยกผ้านวมขึ้นปิดบังร่างกาย พลางส่งสายตามองอวิ่นเยว่เดินเข้ามาหา“คุณตื่นแล้วหรือ” เขาเดินเข้ามาหาลฎาภาพยักหน้าแทนคำตอบด้วยความเขินอายพลางขยับตัวลงจากเตียงแต่ว่าขาสั่นจนแทบไม่มีแรง ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนเดินเข้ามาอุ้มเธอขึ้น นัยน์ตาคมมองร่างเปลือยที่เชยชมมาทั้งคืนมีร่องรอยตีตราจนนับไม่ถ้วน“ฉันเดินเองได้ค่ะ”อวิ่นเยว่หัวเราะในลำคอ “แสดงว่ายังมีแรงเหลือสินะ”“คุณเผิง !” เธอแก้มแดงผ่าวร้อนขึ้นมาทันทีชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะอุ้มหญิงสาวมายังห้องน้ำ เขาวางเธอลงบนขอบอ่างอาบน้ำก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณอาบน้ำไหวไหม ?”“ไหวค่ะ คุณออกไปเลยนะคะ” ลฎาภาตอบกลับในทันทีอวิ่นเยว่ยิ้มข
Chapter 57การเคลื่อนไหวของร่างกายรุกล้ำเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด อวิ่นเยว่ดันร่างเล็กให้ชนชิดกับผนังกำแพง บดจูบขยี้ริมฝีปากด้วยความโหยหา คราวนี้ทำเธอหายใจลำบากจึงต้องดันเขาออกห่าง แต่กลายเป็นว่าการพักนั้นทำให้ชายหนุ่มรุกล้ำลิ้นเข้ามาได้สำเร็จ“อื้อ” เสียงร้องครางดังประท้วงบอกจนต้องถอนจูบออกด้วยความเสียดาย อวิ่นเยว่จ้องมองใบหน้าเนียนสวยแดงก่ำก้มหลบเขินอาย มือข้างหนึ่งเชยขึ้นให้สบตาอีกครั้งและจูบหยอกเย้าเบา ๆ จนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวหลุดล่องลอยไปลฎาภาควบคุมความต้องการของร่างกายไม่ได้ราวกับว่าไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งการสักนิด เธอเผลอให้ความปรารถนาที่อยู่ภายในจิตใจเข้าครอบงำจนหมดสิ้น จูบเร่าร้อนอ่อนโยนจนแทบระทวยนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยโหยหามากที่สุดแต่...ที่บ้าที่สุดคือการตอบสนองเผลอไปกับคารมของเขา !อวิ่นเยว่จูบซับไปตามใบหน้าไล่จนมาถึงต้นคอของหญิงสาว มือที่เคยรั้งเอวไว้คลายออกล้วงเข้าไปในสาบเสื้ออย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้มือปลดเสื้อผ้าส่วนบนออกโยนทิ้งลงพื้นในขณะที่สติของเธอกำลังหลุดลอย“คุณเผิง” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขา ทั้งที่ยิ่งเร
Chapter 56อวิ่นเยว่ผ่อนลมหายใจซุกที่หัวไหล่ของเธอ “นะ”เพียงคำเดียวก็รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการบอกว่า ‘ขอซุกหน้าอกแบบอาหยูด้วยคน’“ทำไมอาหยูถึงได้ แล้วผมไม่ ?”ไม่น่าถามนะคำถามนี้ คุณเผิง !“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเข้มพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง“อาหยูเป็นเด็ก”“เหรอ” เขาขานรับอย่างจำใจก่อนจะขยับตัวหันมา นัยน์ตาคมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขาต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่คิดอะไรเกินเลยตอนนี้ ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหนกัน“เราขึ้นกันเถอะ อาหยูกำลังรออยู่”อวิ่นเยว่พูดพลางขยับตัวออกห่างจากหญิงสาว ก่อนจะลุกขึ้นโดยลืมไปว่าร่างเปลือยของเขานั้นเธอได้เห็นเต็มสองตา !ลฎาภาอึ้งนิ่งค้างจนทำอะไรไม่ถูก เขาลืมไปไหมว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ “คุณเผิงรีบออกไปเลยนะคะ !”อวิ่นเยว่หันมองและเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้โชว์กายให้หญิงสาวมองอยู่นั่นเอง เขาทำหน้านิ่งรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำไปอย่าง
Chapter 55หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าผ่องจึงจัดการเก็บครัวและกลับบ้านไป ทางด้านลฎาภาที่ไม่รู้สึกคุ้นชินบ้านหลังใหญ่จึงทำตัวไม่ค่อยถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหนต่อดี จึงได้แต่ยืนงงอยู่หน้าบันไดเป็นเวลานาน“หม่าม้า” เจ้าตัวกลมเดินเข้ามาดึงชายเสื้อของเธอและออกแรงลาก“อาหยู...”เธอเอ็นดูก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรเหรอจ๊ะ”“อาบน้ำกับอาหยูได้ไหม” น้ำเสียงออดอ้อนและแววตาของ เจ้าตัวกลมทำให้ลฎาภานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธหรอกนะ เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ยังพักฟื้นไม่สมบูรณ์ ก็ไม่อยากจะใช้แรงดูแลเด็กมากนัก แต่ถ้าหากปฏิเสธไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจหรือเปล่านี่สิ“ไม่ได้เหรอ” เสียงอู้อี้ในปากและท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวกลมทำให้หญิงสาวรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อเด็กผู้ชายน่ารัก ๆ ทว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้แตกต่างจากการพบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก“แต่ว่านะ...”“ได้สิ” เสียงของอวิ่น
Chapter 54“บางทีฉันอาจจะยังไม่เคยพบเขาเลยก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็คงจำได้สิ แม่ พ่อ พี่และเพื่อนฉันก็ยังจำได้เลย” เธอพูดขึ้น เพราะครั้งแรกที่พบกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าคุ้นเคยหรือรู้จักกันเลยสักนิด“แต่ว่านะ...” ถลัชนันท์หยิบโทรศัพท์มือถือของน้องสาวส่งคืนให้ “แกกับเขาเคยคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ และก่อนเกิดอุบัติเหตุแกก็บอกเลิกเขาอยู่เลย นี่ดูสิ...”ลฎาภาเปิดข้อความที่คุยกันแล้วอ่านอย่างไม่เชื่อสายตา ทุกอย่างเป็นไปตามที่พี่สาวบอก ทว่าทำไมกลับรู้สึกจำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ทำงานที่นี่นี่นา “แต่ว่านะ ตอนฉันทำงานพาร์ตไทม์ เป็นพี่เลี้ยงเด็กกับคนใช้น่ะ ก็ไม่มีอะไรไม่มีใครจีบนะ และอีกอย่างถ้าเป็นความจริงในแชทนี้ ฉันเลิกกับเขาแล้วนะ”เธอพูดเสียงแผ่วลงเรื่อย ๆ เพราะความทรงจำที่จำได้ก็คือการจำได้ แต่ถ้าจะถามหน้าตาของเจ้านายด้วยแล้ว...ทำไมกลับนึกไม่ออก รู้แค่ว่าเคยทำ หลังจากนั้นก็เข้าไปทำงานในบริษัทเมื่อถึงเวลาเริ่มงานวันแรก หรืออาจเพราะเจอคนเยอะแยะก็มีลืมบ้างนะอวิ่นเยว่ที่กินข้าวและเอี้ยวหูฟังอยู่ก็หรี่ตามองด้วย
Chapter 53ภายในห้องพักของโรงแรม ทันทีที่อวี้หลันเดินเข้ามาในห้องก็หยิบกระเป๋าเดินทางออกมาด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเพราะไม่เคยคิดเลยว่าอวิ่นเยว่จะติดต่อเว่ยเหยียนเมิ่งให้มาหาด้วยแบบนี้ หากรู้ตั้งแต่แรกว่าตอนนั้นเหยียนเมิ่งยังไม่มีอำนาจใด ๆ ในมือของบริษัทเธอก็ไม่แต่งงานด้วยหรอก ต่อให้จะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยแต่ว่าต่างคนนำเงินก้อนไปลงทุนและสร้างความมั่งมีเอง ไม่ก็ใช้ความสามารถบริหารงานจนก้าวหน้า แต่ไม่ใช่กับเขาที่กลัวจนทำอะไรไม่เป็นเป็นคุณชายที่ไม่มีอะไรดีนอกจากใช้เงินของตระกูล จนหลายครั้งที่เธอก็ต้องทนคนในบ้านหัวเราะเยาะสมเพช ! ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของลูกชายคนโต คนเล็ก หรือญาติในตระกูลพอกันทีกับความน่าสมเพชนี้...!หญิงสาวเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้และของใช้ส่วนตัวที่วางอยู่ยัดใส่ลงในกระเป๋าเดินทางอย่างไว มีทางเดียวคือการรีบกลับไปหย่าให้เสร็จเพื่อคืนชีวิตอิสระของเธออวี้หลันหันมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋าสะพายก่อนจะหยิบออกมาดูและกดรับ[อวี้หลัน ผมรักคุณนะ เรากลับมาคุยกันก่อน]เธอทำสีหน้าเบื่อที่อีกฝ่ายพยายามโทร. ตามตื๊อ แน่นอนว่าหลายปีที่พยายามรักและแสร้งทำดีด้วยเพ
Chapter 52“คะ...คุณเป็นใคร ?”“ผมเผิงอวิ่นเยว่ สามีเก่าของเจ้าอวี้หลัน”ชายหนุ่มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพลางหันไปเหลือบมองสีหน้า ของอวี้หลันที่ดูลนลาน“เธอ...แต่งงานแล้ว ?” เหยียนเมิ่งมีท่าทีตกใจสุด ๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายแนะนำตัว “ทำไมผมถึงไม่เคยรู้...”ไม่แปลกใจที่ไม่รู้เพราะงานแต่งของอวิ่นเยว่จัดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มากนักแขกที่เชิญมาก็ไม่มากมายล้วนเป็นแขกสำคัญเท่านั้น ตรงข้ามกับงานแต่งของ ‘เว่ยเหยียนเมิ่ง’ ที่ถูกจัดขึ้นหรูหราจนในต่างประเทศคนส่วนใหญ่รับรู้กัน ว่าลูกชายคนรองของประธานเว่ย เจ้าของกิจการโรงแรม RX ที่มีสาขาหลายประเทศแต่งงานแล้วอวี้หลันรีบลุกขึ้นและดันอวิ่นเยว่ออกห่างจากเหยียนเมิ่งทันที“เหยียนเมิ่งเรากลับไปคุยกันทีหลัง...”“เธอบอกว่าอยากกลับมาอยู่กับผม” อวิ่นเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “และจะทิ้งคุณไป”อวี้หลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจและขุ่นเคืองกับคำพูดและน้ำเสียงของอวิ่นเยว่“ไม่จริง...ใช่ไหม ?” เหยียนเมิ่งมีน้ำเสียงผิด