Chapter 7
“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ลฎาภามองและขยับตัวลุกขึ้นตามด้วยเช่นกัน ก่อนจะนั่งลงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์แล้วบันทึกเบอร์ของชายหนุ่มที่เพิ่งโทร. เข้าไว้ “ตายละ ลืมถามชื่อ...” เธอนั่งนิ่งอยู่นานเพื่อนึกชื่อพิมพ์สำหรับจำ แต่ในเมื่อไม่รู้จักเขาอย่างเป็นทางการก็ต้องบันทึกอะไรที่ทำให้นึกออกง่ายเอาไว้ก่อน “แบบนี้ละกัน” หลังจากที่บันทึกเบอร์โทรศัพท์แล้ว หญิงสาวก็กดโทร. ออกหาพี่สาว [ยัยจอม ! ทำไมไม่รับสายที่บ้าน นี่แกหาโทรศัพท์เจอแล้วเหรอ] ยังไม่ทันจะพูดเสียงปลายสายทำให้ต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู “หาเจอแล้ว นี่ก็จะโทร. มาถามว่าวันนี้จะกลับมากินมื้อเย็นไหม” [ไม่น่ะ พี่มีนัดกับเพื่อน] “งั้นก็ดีเลย จอมขี้เกียจทำเหมือนกัน” หญิงสาวตอบพลางเอื้อมมือหยิบน้ำเปล่าขึ้นดื่ม [แค่นี้ก่อนนะ พี่รีบ] เมื่ออีกฝ่ายพูดจบก็วางสายไป หญิงสาวได้แต่นั่งงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วรีบหยิบของทั้งหมดเดินออกจากร้านไปทันที เวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง หลังจากซื้อของไปพลางๆ ทว่าก็ไม่ได้เลือกซื้ออะไรมากมาย นั่นเพราะต้องประหยัดเงินในบัญชีประคองจนกว่าจะได้งานใหม่ทำ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะถูกพี่สาวส่งกลับไปอยู่ที่บ้านก็ได้ ลฎาภาถอนหายใจออกมาเดินมองหาร้านอาหารก่อนจะเข้าไปนั่งรับประทานเพียงลำพัง... ถลัชนันท์กลอกตาซ้ายทีขวาที เพื่อมองการสนทนาระหว่างชายหนุ่มและแม่ของเขาบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น แม้ว่าในร้านอาหารนี้จะหรูและแพง รสชาติอาหารเป็นที่ร่ำลือ ทว่าเมื่อเธอตักเข้าปากแล้วกลับรู้สึกขมคอจนอยากจะอ้วกออกมา ตอนนี้ทำเพียงแค่เงียบนิ่งและไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น ก้มหน้าตักกินโดยไม่รับรู้ความอึดอัดนี้ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายถึงขึ้นต้องแต่งงานรับผิดชอบด้วยซ้ำ แต่เมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายชายออกปากมาเอง...เธอก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ ที่สำคัญไม่ใช่แค่ครอบครัวเขาดูมีฐานะดีเท่านั้น แต่ยังรวยมากด้วย ถึงจะแต่งงานเพราะไม่ใช่ความรัก แต่ถ้าต่างคนต่างอยู่ไปเธอก็ยินดี ในเมื่อไม่มีอะไรจะให้เสียหายอีกแล้ว ทั้งถูกแฟนนอกใจ ทั้งเสีย ครั้งแรกให้คนแปลกหน้า ไม่มีอะไรที่โชคร้ายและน่าเศร้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว เอาเป็นว่า...ปลงกับชีวิตแล้วกัน “เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะ” ลภัสรดาพูดขณะหยิบผ้าเช็ดปากเช็ด โดยที่ไม่สนสีหน้าและแววตาไม่พอใจของลูกชายแม้แต่น้อย “ส่วนเธอ...เร็ว ๆ นี้จะทำเรื่องสู่ขอทางผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ ยังไงก็...” “เออ...คือตอนนี้หนูอยู่กับน้องสาวแค่สองคนค่ะ” หญิงสาวพูดปด เพราะไม่ต้องการให้ทางครอบครัวรู้เรื่องนี้ “แล้วญาติผู้ใหญ่คนอื่นล่ะ” “ไม่มีค่ะ” ถลัชนันท์รีบตอบกลับทันที “คุณแม่ครับ...” “งั้นเรื่องงานแต่งนี้ ทางป้าจะเป็นฝ่ายจัดการให้เองแล้วกัน” ลภัสรดาพูดแทรกโดยไม่สนลูกชายเลยสักนิด ความจริงแล้วหญิงสาวตรงหน้าก็ไม่ได้เป็นดังที่หวังไว้มากนัก เพราะเธอตั้งใจอยากจะให้ลูกชายเพียงคนเดียวแต่งงานกับลูกสาวบ้านที่มีฐานะเทียมกัน ทว่านั่นก็เป็นเรื่องยากไปเสียหน่อยเพราะ ศรันภัทรไม่เคยยอมมานัดดูตัวตามที่บอก ถึงมาก็ทำเรื่องที่เกินคาดจนฝ่ายผู้ใหญ่รับไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่าโชคเข้าข้าง แม้จะไม่ชอบเรื่องฐานะของฝ่ายหญิงแต่โดยรวมก็ถือว่าไม่ได้แย่มากนัก “เอ่อ...ค่ะ” ถลัชนันท์ตามน้ำอีกฝ่าย ทว่าในใจก็กลัวเรื่องที่ตามมาอีก “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ทันทีที่พูดจบศรันภัทรก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ “งั้นก็ไปส่งว่าที่ภรรยาของแกด้วยเลยละกัน จะได้รู้จักกันมากขึ้น” ลภัสรดาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ทว่าสายตากลับจ้องมองและบอกเป็นเชิงสั่งว่าต้องทำ “เอ่อ..ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองดีกว่า” หญิงสาวพูดปฏิเสธอย่างเกรงใจ ทั้งที่จริงกลับคิดว่าหากต้องนั่งรถกลับกับเขาแล้วคงทำให้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องนั่งรถมากับเขาจนได้ ถลัชนันท์ได้แต่นิ่งเงียบตลอดทาง มีเพียงการบอกทางเป็นระยะ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาในซอยเกือบจะถึงหน้าบ้านชายหนุ่มก็หยุดจอดลง นั่นเพราะว่ามีรถอีกคันมาจอดขวางอยู่หน้าประตูบ้านก่อนหน้าแล้ว ถลัชนันท์ส่งสายตามองด้วยความตกใจเล็กน้อย มือและร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ แน่นอนว่าไม่เคยลืมเลยว่ารถคันนี้เป็นของใคร ผู้ชายเลว ๆ คนนั้นนั่นเอง... ดวงตากลมมองด้วยความตกใจและสั่นเทา ถลัชนันท์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันมองศรันภัทรทันทีที่รถหยุดจอดลง แล้วฝืนยิ้มหวานให้ชายหนุ่มตรงหน้าราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไร “ขอบคุณค่ะ” ทันทีที่กล่าวจบก็รีบหันตัวเพื่อเปิดประตูออก ทว่า... “แฟนคุณใช่ไหม ?” ศรันภัทรเอ่ยถามออกมาทำให้เธอหยุดชะงักลง ถลัชนันท์หันกลับมา “ก็แค่เคยเป็นค่ะ ทำไมหรือคะ?” “เปล่า” ศรันภัทรตอบเสียงสูงแล้วเงียบนิ่งไม่พูดอะไรอีก จนกระทั่งหญิงสาวเปิดประตูลงจากรถไปแล้ว เขาก็ส่งสายตามองไปยังรถที่จอดอยู่ตรงหน้านั้นทันที นั่นเป็นสิ่งที่เดาไม่ผิดอย่างแน่นอนว่าเธอยังคงมีใจให้ผู้ชายคนนั้นอยู่ ช่างเป็นเรื่องดีจริง ๆ ชายหนุ่มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง ทางด้านถลัชนันท์ก็เดินมาที่หน้าประตูโดยไม่คิดจะสนใจรถที่จอดอยู่ แม้ว่าเจ้าของนั้นจะเดินก้าวเข้ามาหาก็ตาม “เดี๋ยวสิรัก คุยกับพี่ก่อน” อรรถนนท์วิ่งเข้าไปหาและเอื้อมมือคว้าที่ต้นแขน ทำให้ถลัชนันท์หันมามองด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะใช้แรงพยายามสะบัดออกทันที “เอามือสกปรกออกไป !” “ฟังพี่ก่อนสิ ได้ไหม ?” ถลัชนันท์ส่งสายตามองอย่างสมเพช “จะตอแหลอะไรอีกล่ะ ?” “รัก ! ทำไมพูดกับพี่แบบนี้ !” อรรถนนท์ไม่พอใจ “ทำไม !” ถลัชนันท์ข่มน้ำเสียง ส่งสายตาจ้องมองด้วยความขุ่นเคือง ที่ผ่านมาตลอดหลายปีไม่เคยนอกใจเขาสักนิด ทั้งยังพยายามทำตัวให้ดีขึ้นแต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นเขาที่ทรยศต่อความรักของเธอ “กลับไปเถอะ รักไม่อยากจะคุยอีก...” อรรถนนท์ตั้งสติใหม่อีกครั้ง แล้วสบตามองหญิงสาว “รัก...พี่ขอโทษ ให้โอกาสพี่อธิบายได้ไหม มันไม่ใช่แบบที่รักเข้าใจนะ” “พอเถอะค่ะ เรื่องของเรามันจบลงแล้ว” ถลัชนันท์พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “ในร้านอาหารที่รักเห็นมันไม่ใช่เลยนะ” หญิงสาวหัวเราะสมเพช “เหอะ ! ร้านอาหารงั้นเหรอ แต่ที่รักเห็นคือพี่นอนกับผู้หญิงคนนั้น ! และคบกันลับหลังมาตั้งหนึ่งปี นี่น่ะเหรอที่จริงใจ” อรรถนนท์สะอึกโดยไม่กล้าพูดอะไรต่อ “อย่ามาที่นี่อีก อย่าให้รักขยะแขยงมากกว่านี้...” เมื่อพูดจบถลัชนันท์ก็เดินเข้าไปในบ้านทันทีทิ้งให้อีกฝ่ายยืนอึ้งอยู่ ครั้นเดินเข้ามาในห้องรับแขกพบว่าน้องสาวกำลังนอนดูโทรทัศน์อย่างสบายใจ ทั้งท่าทางที่นอนกึ่งนั่งและขนมในมือ...ช่างน่าอิจฉาเสียจริง “กลับมาแล้วเหรอ ?” “อืม” ถลัชนันท์ส่งเสียงในลำคอ พลางวางกระเป๋าแล้วนั่งลงที่โซฟาข้างน้องสาว “เป็นไง ? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้น” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างหนักเมื่อได้ยินคำถาม เธอไม่รู้ว่าจะเรียงคำพูดอย่างไรเพื่อเล่าเรื่องอัดอั้นทั้งหมดให้ฟังดี ทั้งที่จริงแล้วจะตอบปฏิเสธงานแต่งไปตั้งแต่คราวก่อนก็ได้แล้วแท้ ๆ แต่เพราะว่าความขุ่นเคืองและน้อยใจยังคงมีอยู่ จึงไม่สามารถพูดปฏิเสธงานแต่งไป “ไม่รู้สิ” “เรื่องพี่อาร์ตเหรอ ? เมื่อกี้จอมเห็นเขามาหาพี่นะ กดกิ่งถามหาอยู่แต่จอมบอกพี่ไม่อยู่ ไม่รู้ป่านนี้กลับไปแล้วหรือยัง” ลฎาภาเอ่ยขณะที่สายตายังจ้องมองโทรทัศน์ ถลัชนันท์ถอนหายใจออกมาเสียงดังโดยไม่พูดอะไร ขณะที่ลฎาภาขยับตัวลุกขึ้นแล้วหันมาถาม “พี่จะดูต่อใช่ไหม ? งั้นอย่าลืมปิดด้วยล่ะ” “ไม่ละ ปิดไปเลย” ลฎาภามองก่อนเดินไปปิดและถอดปลั๊กออก “ไปนอนละ พี่ก็รีบนอนได้ละนะ” หลังจากที่น้องสาวเดินลับสายตาไปแล้วถลัชนันท์ก็ยังคงนั่งอยู่ไม่ไปไหน นานเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าที่จะลุกขึ้นเดินมายังห้องนอน...Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ่
Chapter 11 ‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อ ป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็ม ลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก “เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !” หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร หลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่ง
Chapter 12 ผ่านมาสองวันแล้วที่ลฎาภาไม่ได้นั่งอยู่เฉยในบ้านเช่นเดิม หลังรับประทานอาหารมื้อเช้าช่วงสายเสร็จก็รีบจัดเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องใส่กล่องไว้เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากนั้นช่วงบ่าย หญิงสาวจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหางานพาร์ตไทม์ทำ “ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะคะ วันนี้ผู้จัดการร้านไม่เข้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับและรับกระดาษโน้ตมาเขียนข้อมูลลงไปก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านมา วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิมคือรอการติดต่อกลับไป เฮ้อ...บางทีอาจจะต้องกลับไปใช้เงินเก่าที่เก็บออมมาประทังชีวิตไปก่อนช่วงที่ยังว่างงาน “ร้านตรงนั้นก็ปิดรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ ตรงนี้ก็ด้วย จะไปหาที่ไหนดีล่ะ แถวนี้ก็ถามเกือบทุกร้านแล้วด้วย” ลฎาภาบ่นพึมพำเพียงลำพังขณะที่เดินหันมองไปยังร้านค้าด้วยสีหน้าสุดผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้วแท้ ๆ “งานก็หายาก เงินก็ต้องใช้ กลับบ้านไปดีไหมช่วงนี้น่ะ !” ลฎาภานิ่งค้างท่าที่ยืนตะโกนพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว เธอหันมองรอบ ๆ แล้วรีบเดินออกมาโดยไวทันที แต่ทว่ามีหญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาหา กล่าวทักทาย อย่างเป็
Chapter 13 ห้องทำงานบนชั้นสอง ภายในห้องเรียกว่าเป็นโทนน้ำตาลดำทั้งหมดจนดูน่าหม่นหมอง แต่ก็เหมาะกับเขาดีเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาวางของว่างบนโต๊ะทำงาน ครั้นเงยหน้าหันตัวก็พบกับตู้หนังสือจึงเดินเข้าไปหา แต่ละเล่มดูแล้วเป็นหนังสือกวีนิพนธ์ ส่วนใหญ่เป็นของของวิลเลียม เชกสเปียร์ ดวงตากลมมองหนังสืออย่างหลงใหล ถึงแม้เธอจะไม่ใช่พวกหนอนหนังสือมากก็จริง แต่สมัยเรียนก็ชอบยืมหนังสืออ่านจากหอสมุดมาบ่อย ๆ “The Tempest” เธอพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับหนังสือตรงหน้าจำได้ว่าสมัยเรียนเคยจะยืมมาอ่านแต่ที่หอสมุดนั้นไม่มี และเธอก็ไม่อยากซื้อหนังสือเก็บจะลำบากตอนย้ายหอถ้าหากของเยอะ สายตามองอย่างอดใจ แม้จะเอื้อมมือแตะสันหนังสือที่วางอยู่โดยไม่หยิบออกมา “เฮ้อ...ตัดใจซะยัยจอม” ลฎาภาถอนหายใจออกมาก่อนที่จะหันตัวออก “อุ๊ย !” หญิงสาวเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนจ้องมองอยู่ เธอยิ้มออกมาเจื่อน ๆ แล้วก้มหน้าลงก่อนจะเดินขยับข้างไปทีละนิด “ฉันนำอาหารว่างมาให้ค่ะ” เธอพูดขึ้นโดยไม่กล้าสบตามองเขาเพราะอีกฝ่ายเงียบนิ่งจนเดาไม่ออกว่าโกรธ ไม่พอใจ หรืออะไรกันแน่ “วันนี้ป้าผ่องจะกลับบ้าน ช่วงเย็นหลังอาหย
Chapter 14 เจ้าตัวกลมไข้ลดและมีอาการดีขึ้นแล้วคุณหมอจึงให้กลับบ้านได้ ทีแรกลฎาภาคิดว่าคงต้องแยกกลับเพราะถ้านั่งรถเมล์อาจจะถึงช้ากว่า ทว่า อวิ่นเยว่เอ่ยปากออกมาว่า “ขึ้นรถสิ” นั่นทำให้เธอรู้สึกประหม่าจนบอกไม่ถูก ทันทีที่ถึงบ้านหญิงสาวก็ลงจากรถอย่างรวดเร็ว เพราะว่าเกร็งมาตลอดทาง “เดี๋ยวฉันรีบไปเตรียมอาหารให้ก่อนนะคะ” เมื่อพูดจบก็เดินจากไป อวิ่นเยว่มองแล้วเปิดประตูรถด้านหลังอุ้ม อาหยูออกมา ปกติแล้วเขาไม่ให้ผู้หญิงคนไหนนั่งติดรถมาด้วยเว้นมารดาเเละภรรยา แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจนี้มันคืออะไรที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ลฎาภาเดินเข้ามาในครัว เธอยกมือขึ้นตบแก้มสองข้างเพื่อขจัดความคิดที่อยู่ในใจออกไป ก่อนจะรีบจัดเตรียมอาหารมื้อเย็นและโต๊ะอาหาร จากนั้นเดินขึ้นไปยังห้องของเด็กชายที่ชายหนุ่มเฝ้าอยู่และทำงานไปด้วย หญิงสาวเคาะประตูก่อนจะเปิดแง้มเข้าไป เธอส่งสายตามองเขาที่นั่งทำงานอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียง “คุณเผิงอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้วค่ะ จะให้ฉันยกขึ้นมาให้ไหมคะ ?” “เดี๋ยวผมลงไปกิน คุณกลับไปก่อนได้เลย” ลฎาภาพยักหน้า มองชายหนุ่มที่ก้มหน้าทำงานโดยไม่สนอะไร เธอเพียงรู้สึกว่ามื้อเย็นนี
Chapter 15 เขาจงใจ...! อวิ่นเยว่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดแต่ก็แอบเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เป็นระยะ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเปิดใจให้ใครล้ำเส้นเข้ามา ลฎาภานั่งเกร็งอยู่ในรถโดยที่ไม่กล้าปริปากพูดอีกเลย เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่สนใจที่เธอพูดสักนิด จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวจึงได้แต่จำใจเปิดประตูลงจากรถและรีบพูดขึ้นทันที “เอ่อ...คือว่า” เธออ้ำอึ้งพูดไม่ออก ทว่าเมื่อมือน้อยดึงที่ชายเสื้อจึงหันมอง เมื่อเห็นสายตาของเด็กชายที่ส่งอ้อนมองมา “ไปด้วยกันนะ คุณป้า” ลฎาภากะพริบตาเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายเปลี่ยนไป ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังมองเธอด้วยความไม่พอใจอยู่เลย แต่จะปฏิเสธอาหยูได้อย่างไรกัน... หญิงสาวพยักหน้าตอบรับขณะที่เด็กชายเดินไปหาอวิ่นเยว่ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง เขาเดินนำไปได้ระยะหนึ่งเธอจึงเดินตามไปห่าง ๆ ทั้งที่คิดว่าพยายามหลีกตัวออกแล้ว แต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันเล่า ! บรรยากาศบนโต๊ะอาหารในตอนนี้ชวนอึดอัดเสียจริง ลฎาภานั่งเกร็งตลอดเวลาที่รับประทานอาหารมื้อเย็นกับอวิ่นเยว่ ทั้งที่ปฏิเสธแล้วแต่เป็นเพราะ
Chapter 47“ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวก่อนนะคะ” ลฎาภาพูดพร้อมหยิบกระเป๋าและลุกขึ้น ทว่าอวี้หลันลุกขึ้นและเข้ามานั่งเกาะขาไว้ทันที ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจกับการกระทำของอีกฝ่าย “คุณจะทำอะไร ?!”“ขอร้องนะคะ คืนสามีให้ฉันเถอะค่ะ !”แน่นอนว่าไม่ใช่คำพูดเบา ๆ เหมือนที่สนทนากันก่อนหน้านี้ อวี้หลันจงใจพูดเสียงดังให้พนักงานในร้านและคนที่นั่งอยู่ออกไปไม่ไกลได้ยินอย่างชัดเจนลฎาภาอึ้งและตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้สติก็รีบพยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกจากขา“คืนครอบครัวของฉันมาเถอะค่ะ ได้โปรด...ฉันแค่อยากอยู่กับลูกและสามีก็เท่านั้น”คำพูดนี้ยิ่งทำให้ลฎาภารู้สึกอายเมื่อคนที่นั่งอยู่ในร้านต่างหันมามอง หล่อนจงใจอยู่แล้วสินะ จงใจให้คนในร้านเห็นราวกับสร้างเรื่องว่าเธอเป็นเมียน้อยที่แย่งสามีมา จนสุดท้ายก็เลิกที่จะยื้อแกะมือของอีกฝ่ายออก“ฉันไม่รู้เหตุผลที่คุณทำแบบนี้นะคะ แต่คุณก็ทิ้งลูกกับสามีไปไม่ใช่เหรอคะ ? ทิ้งให้เขาอยู่ลำพัง...” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่น “คุณไปอยู่ที่ไหนมาคะ ? ทำไมถึงต้องทิ้งลูกตัวเอ
Chapter 46วันเวลาล่วงผ่านไปเกือบเดือนอวี้หลันไม่รู้เรื่องข่าวของบริษัทอวิ่นเยว่อีกเลย ทั้งที่พยายามถามแต่เขาไม่ค่อยจะบอก หน้าที่ตอนนี้เป็นเพียงสะใภ้ที่ต้องคอยดูลูกชายเท่านั้นหญิงสาวรู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนักเพราะอวิ่นเยว่ดูเหมือนจะทำงานทั้งวันจนไม่มีเวลาให้ อีกทั้งเงินใช้จ่ายที่เคยได้ก็ลดลงไป“ป้าผ่อง คุณแม่ออกไปไหน”“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เห็นว่าช่วงเย็น ๆ จะกลับมาค่ะ”หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้นต่อไปว่า “ป้าผ่องว่างอยู่ใช่ไหม ? ฉันอยากจะฝากอาหยูไว้สักสามชั่วโมง”“จะออกไปซื้อของใช้เหรอคะ ให้ป้าไปแทนดีกว่าไหม”อวี้หลันมีสีหน้าหงุดหงิด“ไม่ค่ะ ฉันอยากจะออกไปเอง”“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจะดูแลอาหยูให้เอง” ป้าผ่องตอบรับก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเด็กทารกที่นอนอยู่ในแปลของห้องนั่งเล่น ส่วนหญิงสาวมองด้วยสายตารำคาญและใส่รองเท้าเดินออกจากบ้านไปทันทีอวี้หลันเดินออกมาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อไปห้างสรรพสินค้า ทั้งที่ก่อนหน้าตั้งใจจะอดทนอีกนิดเพื่อรั้งความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ถึงที่สุด ทว่าอวิ่น
Chapter 45“อวิ่นเยว่ !” อวี้หลันกำมือจิกแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บใจ เพราะความเจ็บปวดและรักแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในใจ “ฉันรักคุณค่ะ”อวิ่นเยว่ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขากุมมือของลฎาภาเดินกลับเข้าไปข้างในทันที“จะไม่คุยกับเธอหน่อยหรือคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานเขาอวิ่นเยว่คลายมือออกจากมือของเธอโดยที่ไม่หันกลับมา“ไม่มีความจำเป็น”น้ำเสียงเยือกเย็นทำให้ลฎาภารู้สึกตกใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าอยากจะเห็นแก่ตัวมากกว่านี้แต่ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ผู้ให้กำเนิดเจ้าตัวกลมออกมาจึงทำใจไม่ลง “แต่เธอเป็นหม่าม้าของอาหยูนะคะ”ชายหนุ่มสะอึกก่อนจะหันมามองหญิงสาว “คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?” พอรู้ตัวว่าอารมณ์กำลังขุ่นมัวอยู่ก็คิดได้ว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ควรเอ่ยเลย“สักพักแล้วค่ะ” ลฎาภาพูดต่อไป “เธอเคยมาหาฉัน...เรื่องของคุณ”อวิ่นเยว่มองด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนหันหน้าหนีเบือนไปทางอื่น“ผมขอโทษที่ไม่เคยบอกคุณ”นั่นไม่ใช่ประเด็น
Chapter 44วันรุ่งขึ้นหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลฎาภาก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้าตัวกลมเพราะบอกว่าอยากวาดภาพด้วยกันกับเธอ ทั้งยังทำเสียงอ้อนงอแงด้วย ส่วนอวิ่นเยว่นั้นกลับไปที่ห้องทำงานบอกว่ามีงานต้องสะสางให้เสร็จ จวบจนเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงเธอจึงปล่อยให้อาหยูนั่งระบายสีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นตามลำพังและเดินเข้ามาในครัว ช่วยป้าผ่องเตรียมโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารมื้อกลางวัน“วันนี้มื้อเย็นป้าผ่องจะทำอะไรบ้างคะ”หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นด้วยความเคยชิน“ป้าทำเสร็จหมดแล้วละเพราะช่วงเย็นป้าไม่อยู่ ลูกสะใภ้ป้าไม่สบายไม่มีใครดูแลหลาน ๆ เลย”“ป้ากลับเลยก็ได้นะคะ เดี๋ยวตรงนี้จอมจัดการเองค่ะ” ลฎาภาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ทำให้ป้าผ่องมองหญิงสาวอย่างเอ็นดูและคิดว่าคุณเผิงคงเลือกผู้หญิงไม่ผิดแล้วจริง ๆ“เดี๋ยวป้าจัดการครัวและเก็บเสื้อผ้าก่อน ค่อยกลับจ้ะ”ลฎาภาพยักหน้ายิ้มรับขณะที่ยกกับข้าวออกไปวางที่โต๊ะอาหาร“หม่าม้า” อาหยูเดินจ้ำ ๆ เข้ามาหาพลางเอื้อมมือดึงชายเสื้อของเธอหญิงสาวหันไปหาเจ้าตัวกลม &l
Chapter 43เจ้าตัวกลมสะดุ้งและพยักหน้าหงึก ๆ เป็นการตกลงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อสีหน้าของป๊ะป๋าน่ากลัวกว่าคุณปีศาจซะอีกอวิ่นเยว่ยิ้มอย่างพึงใจก่อนหันมาพูดกับหญิงสาว“คุณนั่งรออยู่แถวนี้ก่อนก็ได้”“คุณจะไปไหนคะ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก “ผมจะไปซื้อคุณหมีให้อาหยู”“ให้ฉันไปช่วยไหมคะ ?”อวิ่นเยว่ส่ายหน้า “ผมฝากคุณดูอาหยูสักพักแล้วจะรีบมา”“ได้ค่ะ” ลฎาภาตอบรับขณะเขาพยักหน้าและเดินกลับเข้าไปในย่านซื้อของฝากทันทีทางด้านอาหยูพอป๊ะป๋าตอบรับว่าจะซื้อให้ก็ไม่ได้ดีใจ ตรงข้ามกันกลับงอนแก้มป่องควันออกหูอีก ลฎาภาสังเกตเจ้าตัวกลมก้มนั่งนิ่งแล้วยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูเธอยกมือลูบศีรษะของเด็กน้อย ขณะที่เจ้าตัวกลมหันมองและก้มหน้าซบลงที่ตักเป็นเชิงอ้อน“หม่าม้ารักอาหยูไหม”ลฎาภาชะงักมองอาหยูที่เงยหน้าส่งสายตารอคำตอบ“รักสิ” เธอตอบพลางใช้มือขยี้เส้นผมของเจ้าตัวกลม“ก็อาหยูน่ารักนี่นา”เจ้าตั
Chapter 42‘ได้โปรดให้ฉันได้พบเขานะคะ’‘คืนเขาให้ฉันนะคะ ได้โปรด...คืนครอบครัวให้ฉันนะคะ’หญิงสาวยกมือขึ้นปิดเสียงที่ดังขึ้นผ่านเข้ามาในหูจนไม่อาจทนรับได้อีกทั้งความเจ็บปวดที่ไม่เข้าใจตัวเอง ทั้งความเศร้าที่ไม่สามารถรับไหว แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวและสับสน หยดน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว มือที่ปิดหูอยู่คลายออกเมื่อเสียงนั้นหายไป‘คุณยังรักเธอไหมคะ ?’เสียงของเธอ ไม่ผิดแน่ !แววตาลฎาภาสั่นระริกเมื่อได้ยินเสียงของตัวเองก้องในหู เธอหลับตาลง อยากหนีไปให้ไกล หากคำถามนี้เป็นคำถามที่ถามเขาเพื่อให้เลือกระหว่างเธอกับอวี้หลันแล้ว ไม่อยากรับรู้ ...หญิงสาวส่ายหน้าหนี ขยับตัวขึ้นจากบ่อน้ำพลางเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนู แต่จู่ ๆ ทุกอย่างรอบกายกลับกลายเป็นสีดำมืดมิดไปหมด เธอก้มลงมองร่างกายที่สวมเสื้อผ้าชุดทำงานที่ใส่ประจำเต็มไปด้วยเลือดสีแดง !ลฎาภาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดวงตากลมสั่นระริกมองไปยังความมืดเป็นแค่ความฝันเท่านั้น ! นี่คงเป็นความฝันของเธอพื้นที่มืดมิดจนมองไม่เห็นแสง แม้สองเท้าจะพยายามก้าวเดินไปข
Chapter 41เพราะเหนื่อยจากการเดินทางในช่วงเช้าจึงไม่ได้ไปไหนนอกจากอยู่ที่พัก จนกระทั่งตะวันเริ่มลับขอบฟ้า เสียงร้องประท้วงถึงอาหารมื้อเย็นก็ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ จากเจ้าตัวกลมที่เพิ่งนอนตื่นขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาเดินออกมาหาลฎาภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ริมระเบียงด้วยท่าทางงัวเงีย“หม่าม้า”ลฎาภาละสายตาจากหนังสือวางไว้บนตักก่อนจะหันมาหาเจ้าตัวกลม“อาหยูหิวแล้วใช่ไหม ?”อาหยูพยักหน้าพลางใช้มือลูบท้องน้อยหญิงสาวขยับตัวลุกขึ้นและพาเจ้าตัวกลมเดินเข้ามาด้านใน “อาหยูรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวหม่าม้าจะไปเรียกป๊ะป๋าก่อน”เมื่อพูดจบลฎาภาก็เดินไปเปิดประตูห้องนอน ดวงตากลมมอง ชายหนุ่มนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะโซฟาตัวเล็ก ใบหน้าคมขรึมจดจ้องกับงานตรงหน้า เธอหันปิดประตูและเดินเข้าไปอย่างเงียบ ๆชายหนุ่มรู้ว่าหญิงสาวเดินเข้ามาจึงละสายตาขึ้น “ขอโทษผมทำงานจนลืมเวลา”ลฎาภามองใบหน้าภายใต้กรอบแว่นสีดำเป็นครั้งแรก คงเป็นเพราะเขานั่งทำงานล้ามาทั้งวัน ทั้งยังต้องจ้องแสงไฟจากโทรศัพท์และจอโน้ตบุ๊กเป็นเวลานานอวิ่นเยว่ปิดหน้าจอโน้ต
Chapter 40เธอมองเขาก่อนหลบสายตา “ไม่มีอะไรค่ะ”อวิ่นเยว่ไม่ได้ถามต่อแต่ก็จ้องมองเธอกระทั่งลฎาภาเงยหน้าขึ้นสบตา“ผมเป็นห่วงคุณ”ดวงตากลมมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นอย่างบอกไม่ถูก ความปรารถนาและเสียงเรียกร้องภายในใจผลักดันให้ก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มเขย่งปลายเท้ายื่นใบหน้าไปประทับริมฝีปากที่ปากของชายหนุ่ม“ขอโทษค่ะ” เธอผละออกยกมือขึ้นสัมผัสที่ปากตัวเอง ไม่คิดว่าจะเผลอสติหลุดถึงขนาดนี้อวิ่นเยว่ยิ้มมุมปากเอื้อมมือคว้าแขนของหญิงสาวแล้วดึงเข้ามาประชิดที่ตัวเขา ลฎาภาเบิกตากว้างด้วยความตกใจพลางยกมือดันแผ่นอกแกร่งออกห่าง ทว่าชายหนุ่มกลับใช้มืออีกข้างรั้งตัวเธอเข้ามาแนบชิด ก่อนโน้มใบหน้าลงประทับจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มในทันทีมือเรียวเล็กที่ออกแรงดันเขาออกหยุดลงเมื่อริมฝีปากประทับลงจูบอย่างอ่อนโยน ลฎาภาหลับตาพริ้มรับสัมผัสและการเล้าโลมเพียงเล็กน้อย นั่นอาจเป็นเพราะความรู้สึกที่อยู่ในใจของเธอทำให้ไม่ต่อต้านหรือขัดขืนเลยสักนิด หากเพียงแต่เป็นความจริงและได้อยู่ในอ้อมกอดเขาแบบนี้นานอีกหน่อย...เนิ่นนานกว่าที่อวิ่นเยว่จะปล่อยเธ
Chapter 39เวลาผ่านไปจนกระทั่งหญิงสาวรับประทานอาหารจนเกือบหมดจานจึงวางช้อน—ส้อมลง เอื้อมมือดื่มน้ำก่อนจะใช้ผ้าเช็ดปากพลางขยับตัวลุกขึ้น“เดี๋ยวฉันไปห้องน้ำก่อนนะคะ”อวิ่นเยว่พยักหน้ารับรู้ขณะที่เธอเดินออกมาลฎาภาเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่อีกทางกระทั่งปิดประตูห้องน้ำลง เสียงถอนหายใจออกมาอย่างหนักก็ดังขึ้นเป็นระยะ เธอไม่ได้อยากทำธุระส่วนตัวหรอกเพียงแค่อยากใช้เวลาเงียบ ๆ สักพัก เพื่อเรียกและทวนสติของตัวเองกลับคืนมาคำพูดของอวี้หลันทำให้เธอตัดสินใจไม่ถูก แม้จะอยู่กับเขาแล้วมีความสุข ทว่าแวบหนึ่งของจิตใต้สำนึกก็รู้สึกผิดขึ้นมา คิดถึงเรื่องนี้อยู่ ๆ น้ำตาก็ไหล ความรู้สึกจุกอยู่ที่อกจนหายใจไม่ออก ความรู้สึกบางอย่างพรั่งพรูจนหญิงสาวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร...รู้เพียงว่าเจ็บปวด เศร้าและทรมานนิ้วปาดน้ำตาบนใบหน้า พลางกลั้นเสียงสะอื้นดังออกมาเป็นระยะ เป็นเวลานานเกือบสิบนาทีกว่าที่จะหยุดร้องและปรับสีหน้า ลฎาภาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เอื้อมมือหยิบกระเป๋าสะพายที่แขวนอยู่ตรงประตูก่อนจะเปิดประตูออกมา ดวงตากลมเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจที่มีผู้หญิง